มีหลายเรื่องตีกันยุ่งในหัวของเกาทัณฑ์
ผลวิจัยที่ได้จากเด็กจีนระลึกชาติ คือหลักฐานสำคัญที่ทำให้เขามั่นใจว่าค้นพบความจริงอันยิ่งใหญ่เหนือชีวิตตัวเองเข้าให้แล้ว
แต่การทำให้วงการวิทยาศาสตร์ยอมรับความจริงที่เขาค้นพบ ระดับที่จะยอมเปลี่ยนตำราชีววิทยาพร้อมกันทั่วโลกนั้น งานของเขาต้องสามารถทำซ้ำได้ทั่วไป ไม่จำกัดเฉพาะที่ห้องแล็บของบริษัทเดียว
ช่วงที่ผ่านมาเกาทัณฑ์คิดถึงช่องทางด่วนที่เขาจะได้คู่ดีเอ็นเอสองชาติมาเดี๋ยวนี้เลย และช่องทางนั้นก็คือสถาบันมีชื่อเสียงน่าเชื่อถือ ที่เคยทำวิจัยเกี่ยวกับเด็กระลึกชาติมาก่อน อย่างเช่นศูนย์วิจัยการรับรู้เหนือธรรมชาติ ของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย
สถาบันดังกล่าวมีการเก็บบันทึกพร้อมร่องรอยหลักฐาน ซึ่งเต็มไปด้วยกรณีน่าเชื่อถือของเด็กระลึกชาตินับพันราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่ ๓ ราย เช่น Ravi Shankar, Sukla Gupta และ Imad Elawar ที่นักวิจัยสามารถขุดศพขึ้นมาตรวจสอบสภาพ พิสูจน์การบอกเล่าจากปากเด็กได้
ตอนแรกเกาทัณฑ์คิดถึงการสกัดดีเอ็นเอจากร่างในชาติปัจจุบันกับศพในชาติก่อนของบุคคลทั้งสามเอามาทำวิจัย แต่พอคำนวณความวุ่นวายต่างๆนานา ก็ล้มเลิกความตั้งใจ เพราะต้องใช้เวลานาน ออกแรงเยอะ เพียงเพื่อได้ผลลัพธ์ที่ยังไม่ตื่นตาตื่นใจพอ ไม่อาจก่อกระแสการยอมรับทั่วๆไปอยู่ดี
สู้สร้างกลุ่มเด็กระลึกชาติขึ้นมาใหม่เลยไม่ได้ เหนื่อยทีเดียวจบ อาจต้องเสียเวลานานปี แต่ผลลัพธ์จะสยบข้อโต้แย้งทั้งปวงได้ราบคาบ เพราะนอกจากจะมีตัวตนบุคคลเป็นที่ประจักษ์ ก่อกระแสความตื่นตัว เรียกสื่อทั่วโลกมาให้ความสนใจได้แล้ว ยังมีขั้นตอนแน่นอนให้ทำซ้ำอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย
นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’
ปัญหาจุกอก คือ โครงการนี้เหมือนขายฝัน ตราบเท่าที่ยังไม่มีกลุ่มเด็กระลึกชาติออกมายืนยัน
ดอกเตอร์แม็กซ์ฝากความหวังไว้กับเขา โดยให้เวลา ๕ ปีกับงบไม่อั้นเพื่อสร้าง ‘กลุ่มเด็กต้นแบบ’ ให้สำเร็จ
และอันเนื่องจากความสำเร็จของโครงการนี้ จะพลิกโฉมประวัติศาสตร์มนุษยชาติ อีกทั้งจะสถาปนาบริษัทของเขาให้เป็นมหาอำนาจที่โลกไม่มีวันลืมไปตลอดกาล ทั้งเกาทัณฑ์และดอกเตอร์แม็กซ์จึงไม่เผื่อใจรับความล้มเหลวกันเท่าใดนัก อย่างไรก็ต้องดิ้นรนสุดแรงเกิด จนกว่าโครงการจะสัมฤทธิ์ผล
วันนี้ เกาทัณฑ์ขับรถเลียบถนนพุทธมณฑลมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดที่มีป้าย ‘วัดทางนฤพาน’ ตั้งเด่นสะดุดตา เขาเลี้ยวเข้าซอยที่ทอดยาวร่มรื่นด้วยแมกไม้และบ้านเรือนสองฝั่ง ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรจากปากซอยก็พบจุดหมายตามพิกัดจีพีเอส เป็นหมู่เรือนไทยไม้สักทอง หลังคาทรงสูงสง่า เรียงรายในเนื้อที่กว้างขวางบอกฐานะเจ้าของ รอบด้านมีบ้านใกล้เรือนเคียงแทรกอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เผื่อแผ่เงาครึ้มถึงกัน
ความวุ่นวายถูกทิ้งไว้ไกลๆ รอบด้านเงียบเชียบให้ความรู้สึกสงบผาสุก ชายหนุ่มลงจากรถ กดออดแล้วยืนรออย่างใจเย็น ไม่นานก็ปรากฏร่างระหงของหญิงในชุดกระโปรงขาวเยื้องย่างตรงมา
“มาหาคุณปู่ใช่ไหมคะ?”
กังวานวิเวกหวานของแก้วเสียงนั้น ราวเวทมนตร์ที่เป่ามาแล้วสลายความฟุ้งยุ่งแน่นหนาในศีรษะของเขาได้ เกาทัณฑ์รู้สึกหัวโล่ง ตาตื่น คล้ายฉากตรงหน้าปรับแสงสีและความคมชัดต่างไปจากเดิมเฉียบพลัน
“เอ่อ... ครับ ที่เมื่อวานผมนัดกับท่านไว้”
“คุณปู่กำลังรอค่ะ”
หญิงสาวเปิดประตูเล็กให้ และแม้เกาทัณฑ์ก้าวเข้ามาแล้ว ก็ยังเผลอจ้องใบหน้างามด้วยอาการคล้ายไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ซึ่งเธอก็ดูไม่ประหลาดใจ หรืออีกทีคือคุ้นเป็นปกติกับการถูกจ้องเอาจ้องเอาอยู่แล้ว
“คุณปู่อยู่ชั้นบนนะคะ”
ผายมือไปทางบันไดขึ้นเรือน ก่อนยอมเบนสายตามาสบและยิ้มให้นิดๆ แต่เพียงวินาทีเดียวก็หันหลังย่างกรายหายไปทางหลังเรือนใหญ่
พลังแห่งมณีเนตรนั้น ถึงขั้นลบความจำของเขาทิ้งได้ เกาทัณฑ์มองตามร่างนั้นไปราวถูกสาปให้ลืมเลยว่ามาอยู่ตรงนั้นทำไม ความสวยของเธอเข้าขั้นพาไปอยู่โลกอื่นได้จริงๆ
อึดใจหนึ่ง จึงก้าวเดินขึ้นเรือนด้วยความใจลอยหน่อยๆ
“เอ้า! ว่าไง นายเต้ มาแล้วรึ”
เสียงทักเยี่ยงเจ้าบ้านของปู่ชนะ ดึงชายหนุ่มให้กลับมามีสติอยู่กับเนื้อกับตัวได้ เกาทัณฑ์กะพริบตามองผู้อาวุโส พบว่ากำลังนั่งเอกเขนกกางหนังสืออ่านอยู่บนเก้าอี้โยก อันเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและข้อ ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อของร่างในวัยราวแปดสิบ
แม้ปู่ผมขาวทั้งศีรษะแต่ก็ยังดกอยู่ แขนขายาวอย่างคนร่างสูงดูมีกำลังวังชาพร้อมเดินเหินได้สะดวก ริ้วรอยบนใบหน้าคล้ายเป็นสัญลักษณ์แทนประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวหลายพันฉาก กระทั่งมาถึงฉากท้ายๆของชีวิตที่สงบ ผาสุก และเปี่ยมสติ
“เอ่อ… สวัสดีครับปู่ ขอบพระคุณนะครับที่อนุญาตให้มารบกวนเวลา”
“ได้เลยนะ คนแก่มีเวลาว่างเท่าฟ้าอยู่แล้ว ไม่รบกวนอะไรหรอก เอ้า! นั่งสิ”
เกาทัณฑ์หย่อนร่างลงบนเก้าอี้ไม้ปูเบาะนั่งสบายใกล้กับท่าน
“ปู่ดูดีจังนะครับ ท่าทางยังแข็งแรงมาก”
“เออ! ฉันก็รักษาตัวเอาไว้รับคำสรรเสริญเยินยอแบบนี้แหละ”
เกาทัณฑ์หัวเราะเบาๆ ปู่ชนะเป็นคนเสียงดังฟังชัด หนักแน่น ไม่มีวี่แววเส้นเสียงฝ่อหรือหย่อนยานเลย
“เหมือนว่าปู่จะมีคนดูแลดีด้วย เดาว่าน้องเขาเป็นห่วงและดูแลปู่สุดฝีมือ”
ใจวนเวียนคิดถึงใคร ปากก็พูดพาดพิงไปถึงคนนั้น
“อือ! บางทียายแพเข้มงวดยิ่งกว่านางพยาบาลดุๆอีก หมอข้างบ้านเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมฉันไม่ป่วยเสียที”
แม้ทราบเพียงชื่อเล่น ชายหนุ่มก็ดีใจราวกับได้ใครช่วยเฉลยข้อสอบ
“น้องแพเรียนจบหรือยังครับนี่?”
“เพิ่งจบ”
“ให้ผมทายนะ ต้องจบด้านมนุษยศาสตร์ คณะครองใจคน แน่นอน”
“คณะอะไรของแก มีด้วยเหรอะ?”
“มีสิครับ เหมาะกับน้องแพมากด้วย”
ไม่ทันขาดคำ ‘น้องแพ’ ก็เดินขึ้นมาบนเรือนอย่างเงียบเชียบ เธอนำแก้วน้ำส้มคั้นมาวางบนโต๊ะเล็กข้างเก้าอี้ของเกาทัณฑ์ ท่านผู้อาวุโสจึงเห็นเป็นโอกาสแนะนำตัว
“แพ… นี่พี่เต้ หลานปู่อินทรนะ”
หญิงสาวถอยออกมาพนมมือไหว้เขาเงียบๆ เกาทัณฑ์รับไหว้และตอบอู้อี้ด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ
“อ่อ… ครับ… สวัสดีครับแพ”
เมื่อพิธีทักทายตามมารยาทผ่านไป เธอก็หันหลังเดินลงบันไดไป ชายหนุ่มมองตามความเคลื่อนไหวของร่างอ้อนแอ้นละมุนตาจนลับหาย ด้วยความอยากหาเชือกมาทำบ่วงบาศก์เหวี่ยงไปดึงเธอกลับมาร่วมวงคุยกัน ไม่ใช่ปรากฏตัวให้ตื่นตาตื่นใจแล้วล่องหนไปเฉยๆอย่างนี้
“ที่มานี่มีอะไรจะคุยกับฉันหรือ?”
เสียงเข้มๆของปู่ทำเอาเกาทัณฑ์สะดุ้งโหยง
“เอ่อ…” หันกลับมาด้วยหน้าตาเลิ่กลั่ก “อ้อ… ใช่ๆ! ผมอยากมาขอคำแนะนำจากปู่”
ชายชราเห็นหลานชายตอบตะกุกตะกัก สติสตังยังไม่เข้าที่เข้าทางดี จึงเลี่ยงไปคุยอีกทาง
“แกนี่ดูคล้ายอินทรตอนหนุ่มๆนะ”
“อ๋อ… ครับ ใครๆก็บอกว่าผมคล้ายปู่อินทร”
“ฉันเคยเดินกับอินทร เห็นจนเบื่อ มีสาวๆตามทางหันมาวี้ดว้ายความหล่อกัน”
“ฮ่ะๆ ผมแค่หล่อตามที่ตระกูลกำหนดไว้คร่าวๆครับ สู้ปู่อินทรตอนหนุ่มๆไม่ได้หรอก”
“ได้ยินว่าแกจบเอกจากสแตนด์ฟอร์ดในสามปี สาขาที่ปกติต้องใช้เวลากันหกเจ็ดปีใช่ไหม?”
พอถูกเอ่ยถึงตัวตนอันน่าภาคภูมิ ความรู้เนื้อรู้ตัวจึงค่อยกลับเข้าที่เข้าทาง เกาทัณฑ์ขยับกายตั้งหลังตรง
“ที่จบเร็วๆลัดๆ เพราะงานวิจัยของผมเข้าตากรรมการ แถมได้กำลังภายในจากบิ๊กเทค ที่อยากให้ผมรีบออกไปช่วยเต็มเวลาครับปู่”
“อือ! อินทรเคยเล่าว่าแกเก่งหลุดโลก บิ๊กเทคที่จ้างได้นี่คงอลังการเหมือนที่เห็นในหนังไซไฟเลยสิ… บริษัทอะไรนะ?”
“จีเนติกโอ๊ธครับ”
ชายชราหรี่ตาคิดถึงคำว่า Genetic Oath ในหัว
“ที่หมายถึงพันธสัญญาจากพันธุกรรมหรือ?”
“ประมาณนั้นครับ”
“เป็นดอกเตอร์ทางพันธุศาสตร์?”
“ครับ!” แล้วชายหนุ่มก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “ผมทราบมาว่าปู่เคยทำงานแวดวงการศึกษา ปู่ทราบไหมครับว่าใครเป็นคนบัญญัติศัพท์ คำว่า ‘พันธุกรรม’ ขึ้นมา?”
“ก็น่าจะพวกราชบัณฑิตยสภา”
“อันนั้นทราบครับ ที่ถามคือเผื่อว่าปู่รู้จักคนที่เป็นต้นคิดคำนี้”
ปู่ชนะส่ายหน้า
“ไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าคนบัญญัติคำนี้ เอามาจากคำว่า ‘กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ’ คือสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ย่อสั้นๆเหลือกรรมพันธุ์ หรือพันธุกรรม”
“ปู่ทราบไหมครับว่าไทยเราเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ให้ความหมายของคำว่า ‘genetic’ เกี่ยวข้องกับกรรม แม้แต่ประเทศที่เป็นพุทธอื่นๆก็จะแปลตรงตัว คือ ‘สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดยีน’ กันหมด”
“อย่างนั้นหรือ ฉันก็ไม่เคยค้นคว้าหรอก เพิ่งรู้จากแกนี่แหละ” แล้วปู่ก็ถามกลับ “ตัวคำว่า genetic เองล่ะ เดิมทีมีความหมายอย่างไร?”
“มาจาก genesis ในภาษากรีกครับ แปลว่า ต้นกำเนิด”
“แบบที่เขียนไว้ในหนังสือปฐมกาล เกี่ยวกับการสร้างโลกของพระเจ้าน่ะหรือ?”
“ครับ!”
“เอ้อ! ทำไปทำมา เรื่องยีนนี่เกี่ยวข้องกับศาสนาหมดเลย แล้วแต่ใครจะปักหลักอยู่กับความเชื่อแบบไหนนะ”
“นั่นแหละครับ…” เกาทัณฑ์สบจังหวะเข้าเรื่อง “งานใหญ่ของผมกำลังจะพิสูจน์ว่า ‘พันธุกรรม’ ไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์รับรองได้ครับปู่!”
สีหน้าของชายชราแปรไปเล็กน้อย
“นี่แกกำลังทำวิจัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของภพชาติ?”
“ใช่ครับปู่!” เกาทัณฑ์รับหนักแน่นไม่อ้อมค้อม “ผมสร้างโมเดลเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างดีเอ็นเอปัจจุบันชาติ กับดีเอ็นเออดีตชาติของเด็กคนหนึ่งได้!”
“เรื่องใหญ่นะนี่”
“ใช่ครับ! ใหญ่มากจนผมต้องมาขอรบกวนพึ่งพาปู่”
ว่าแล้ว เกาทัณฑ์ก็ใช้เวลาประมาณ ๕ นาทีอธิบายให้ปู่ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับความสำเร็จในการพิสูจน์แนวคิดที่ผ่านมา จากนั้นตบท้ายว่า
“อย่างที่ปู่ทราบ เคสเดียวไม่เคยพอสำหรับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ถ้าจะสร้างตำราพันธุศาสตร์เล่มใหม่ ผมจำเป็นต้องได้หลักฐานซ้ำจากอีกหลายๆเคส”
“แล้วแกจะทำยังไง ตระเวนหาเด็กระลึกชาติเพิ่มหรือ?”
ดอกเตอร์หนุ่มส่ายหน้า
“แบบนั้นจะไม่ชัด และไม่เป็นข่าวดังครับปู่ เราต้องสร้างเด็กระลึกชาติขึ้นมาอย่างเป็นระบบ ชนิดที่ใครๆก็เอาขั้นตอนวิธีไปทำซ้ำได้ไม่จำกัด!”
“ให้ตายเถอะ! แกนี่หลุดโลกสมคำร่ำลือจริงๆ” ปู่ชนะหัวเราะเอื่อยๆ “แต่คงไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะ แกมีวิธีการแล้วหรือ?”
“ผมวางแผนไว้ระดับหนึ่งครับ หนึ่งคือหาคนใกล้ตายที่อยากมั่นใจว่าจะได้เกิดใหม่กับพ่อแม่ดีๆ สองคือหาคนอยากได้ลูกดีๆที่เป็นเด็กมีบุญมาเกิดด้วย เมื่อพาพวกเขามารู้จักมักจี่สนิทสนม แล้วต่างฝ่ายต่างอธิษฐานร่วมกัน ผลน่าจะเกิดขึ้นตามนั้น”
“นี่แกเรียนหนักจนเอาเรื่องอธิษฐานจิตมาใช้ในงานวิจัยแล้วหรือ?”
เกาทัณฑ์ยิ้มๆให้กับคำหยอกของปู่
“เดี๋ยวนี้มีวิทยาศาสตร์ทางเลือกเกิดขึ้นหลากหลายครับปู่ แล้วก็วัดค่ากันได้แบบไม่มั่วเสียด้วย อย่างเช่นทฤษฎี Morphic Resonance เสนอว่ามีสนามพลังงานเชื่อมโยงชีวิตทั้งหลายเข้าด้วยกัน หรืออย่างงานวิจัย Quantum Consciousness ที่ทดลองใช้ทฤษฎีความโน้มถ่วงเชิงควอนตัมมาทดลองกับน้ำในสมอง แล้วพบปรากฏการณ์ Quantum Entanglement ผมเอาอะไรพวกนี้มาประยุกต์กับการอธิษฐานได้อย่างเป็นระบบ”
“อ้อ!”
“เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อ ไม่เคยชายตาแล แถมแอบด่าด้วยว่าเป็นไสยศาสตร์เชิงควอนตัม กระทั่งเจอตอกับตัว เลยเปิดใจศึกษา เข้าใจองค์รวม และเห็นทางประยุกต์กับงานตัวเอง”
“สรุปคือแกจะให้ฉันช่วยยังไง?”
“แม้ผมจะออกแบบไว้บ้างแล้ว แต่ก็อยากให้ปู่ช่วยพิจารณาว่า กระบวนการมีความรัดกุมและแน่นอนพอหรือยัง แล้วที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด อยากให้ปู่ช่วยเป็นแบ็กอัพ เช่น ชี้ขาดว่าใครมีทิศทางได้ไปเกิดเป็นลูกใครแล้วไหม”
“นี่แกเอาอะไรมาเชื่อว่าฉันทำได้ หือ?”
“ผมเล่าให้พ่อฟังเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้ และถามหาใครบางคนที่มีญาณทัศนะ สามารถรู้เรื่องกรรมและวิบากได้จริงๆ พอพ่อฟังสเปกเสร็จ ก็เฉลยเลยว่าไม่ต้องตามหาสุดหล้าฟ้าเขียวที่ไหน อยู่ใกล้ๆนี่เอง”
“คือฉัน?”
“ครับ!”
“นี่พ่อแกไปโฆษณาไว้อีท่าไหนล่ะ?”
“พ่อเล่าว่า ตอนเด็กๆแอบได้ยินปู่คุยกับปู่อินทรว่า ต่อไปพ่อจะเป็นหมอ เพราะชาติก่อนช่วยรักษาคนไข้ไว้มาก จิตวิญญาณความเป็นแพทย์ยังเป็นเงาตามมา ทีแรกพ่อไม่อยากเชื่อ เพราะตอนนั้นพ่ออยากเป็นนักร้อง อยากเป็นดาราดังเหมือนที่เห็นในทีวี แต่โตขึ้นพ่อก็เกิดแรงบันดาลใจ นึกอยากรักษาคนไข้ขึ้นมาจริงๆ เข้าใจชัดถึงคำว่าจิตวิญญาณความเป็นแพทย์ ที่ปู่เห็นในตัวพ่อมาก่อนพ่อเองจะเห็น นั่นแหละครับ พ่อเลยเชื่อว่าปู่รู้จริง”
“อ้อ…”
“พ่อยังเล่าให้ฟังด้วยว่า ปู่ทำสมาธิได้แก่กล้าตั้งแต่หนุ่มๆ อีกทั้งทำนายทายทักใครต่อใครอยู่เงียบๆ แค่ไม่ได้เอาดีทางนี้เป็นอาชีพ”
ชายชราสงบปากสงบคำ ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“ผมยังทราบมาว่า ปู่ใฝ่ใจเกี่ยวกับการให้ความรู้ความเข้าใจคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เรียนจบก็เริ่มงานในทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ วางแผนหลักสูตรและประเมินคุณภาพการศึกษา จึงคุยภาษาเดียวกับพวกผมอยู่แล้ว เพราะงั้น ปู่นี่แหละครับคือคนที่ผมพลิกแผ่นดินหา!”
สบตากัน ปู่ชนะจ้องลึกมา จนเกาทัณฑ์รู้สึกราวกับท่านเป็นเครื่องสแกนไฮสปีดที่กวาดอ่านทุกหน้าได้ในชั่วพริบตา
“ฉันอยากช่วยแก”
ปู่ตอบเรียบๆ มีผลให้ชายหนุ่มพนมมือไหว้ท่านด้วยความดีใจระดับลิงโลด
“ขอบพระคุณครับปู่”
“ยัง!”
“เอ๋อ?”
“แกเคยตริตรองไหมว่า ถ้าโครงการนี้แพร่หลายออกไป จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกที่เต็มไปด้วยคนซึมเศร้า ท้อแท้ เหนื่อยหน่ายกับการมีชีวิต?”
นักพันธุศาสตร์หนุ่มอ้ำอึ้งอย่างไม่แน่ใจว่าปู่จะมาท่าไหน
“เอ่อ…”
“ฉันเคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานรับผิดชอบเกี่ยวกับนโยบายควบคุมอัตราการฆ่าตัวตาย เลยรู้จักคนพวกนี้ดี และรู้ด้วยว่าโครงการของแกจะกระตุ้นให้คนคิดอยากฆ่าตัวตายก่อนกาลอันควรกันมากขึ้น เพราะมั่นใจแบบลมๆแล้งๆว่าจะได้ไปเกิดใหม่ในที่ที่ดีกว่า… มันเย้ายวนมากนะ สำหรับคนที่กำลังบ้อท่ากับชีวิตเส็งเคร็งของตัวเองอยู่”
“เราประกาศให้เป็นที่รับรู้ชัดๆดีไหมครับว่า โปรเจกต์ของเราเกี่ยวข้องกับคนตายดีเอง ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย ไม่ใช่แม้แต่การุณยฆาต?”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เอางี้! โครงการของแกชื่ออะไร?”
“ขอเลือกเกิด”
“นั่นไง! ขอให้รู้ไว้เถอะว่า คนจะจำแต่ชื่อโครงการ แล้วไม่สนใจรายละเอียดอื่น ถ้ามีใครฆ่าตัวตายสังเวยชื่อโครงการนี้แม้แต่คนเดียว แกจะกลายเป็นเป้านิ่งให้คนโจมตียิ่งกว่ากลุ่มการุณยฆาตหลายเท่าตัว”
“ไม่น่าเอามาเกี่ยวกันได้นะครับ”
นักพันธุศาสตร์หนุ่มขมวดคิ้วแย้ง แต่ปู่ชนะยังคงพูดต่อ
“ถ้าโครงการของแกได้ผล หรือเป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผย จะมีพวกคิดทำธุรกิจเอากับคนอยากเกิดใหม่ตามมาเป็นพรวน แนวทางดีๆของแกอาจถูกตัดทิ้ง เหลือแต่การเป็นธุรกิจจับคู่ เป็นนายหน้าค้าความสัมพันธ์ระหว่างคนอยากเกิดใหม่ กับคนอยากเป็นพ่อแม่เด็กมีบุญ ซึ่งถึงตรงนั้น แกจะควบคุมไม่ได้แล้วว่าจะให้เขาฟังอะไร เลือกเชื่อตามคำอธิบายของแกท่าไหน”
“ดีครับ ที่ปู่เตือนให้ระวังตั้งแต่เนิ่นๆ” เอ่ยพลางขยับตัวคลายความอึดอัด “ผมจะต้องหาทางป้องกันแน่นอน”
“ยังมีปัญหาอื่นที่แกคิดไม่ถึงรออยู่อีกเยอะ แกรู้ไหมว่าบ่อเกิดของสงครามศาสนาคืออะไร?”
“คิดว่า… น่าจะเป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกันอย่างหนักครับ”
“ความเชื่อน่ะต้นทาง แต่การยอมไม่ได้ที่ศรัทธาของตนจะถูกโค่นล้มต่างหาก ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายก่อนเกิดสงครามศาสนา”
“ครับ… นึกออก”
“คราวนี้นึกนะ ยุคเรา ทุกคนยอมให้ดีเอ็นเอชี้ขาดว่าใครเป็นพ่อแม่ลูก ซึ่งใครๆก็รับได้กันหมด แต่ถ้าวันหนึ่งจะต้องยอมให้วิทยาศาสตร์ชี้ขาดว่า ชาติก่อนมีจริง ใครเคยเป็นใคร จากหลักฐานคือดีเอ็นเอ แกคำนวณได้ไหมว่าจะมีใครไม่ยอมมั่ง?”
“มัน… ไม่น่าจะถึงขั้น…”
“สงครามแก่งแย่งดินแดน เป็นไปเพื่อความอยู่รอดของชีวิต แต่สงครามศรัทธา เป็นไปเพื่อความอยู่รอดของความเชื่อ ฉันเดาว่าแกคิดๆเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่เห็นว่ายังไกลตัว”
“ผมจะควบคุมภาพที่ออกมาให้อยู่ในรูปของวิทยาศาสตร์ ไม่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา”
“ควบคุมภาพอะไรของแก? ทุกวันนี้คนทุกศาสนาต่างเชื่อเรื่องการพิสูจน์ดีเอ็นเอกันหมด แล้วคิดซิ ถ้าดีเอ็นเอสั่งให้เปลี่ยนความเชื่อทางศาสนา แกจะเอาอะไรไปควบคุมความโกลาหลได้?”
“ไม่ดีหรือครับ ถ้าคนจะหันมาเชื่อสิ่งที่ตรงกับความจริงกันมากขึ้น?”
“คนในโลกนี้ไม่ได้ต้องการความจริง!” ปู่ชนะเอ่ยเยี่ยงผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนเจน “พวกเขาแค่ต้องการทำโลกนี้ให้เป็นจริง ตรงตามที่ตัวเองเชื่อเท่านั้นแหละ”
เกาทัณฑ์คิดหนัก ก่อนแย้งด้วยการคุมโทนเสียงสุภาพ
“ยุคเรา ถ้าหลักฐานเบ่งบานเป็นดอกเห็ด กระแสโซเชียลน่าจะแรงพอทัดทานกันได้กับพวกเลือกเชื่อตามอารมณ์ไหมครับปู่?”
“แกเคยอยู่ท่ามกลางอารมณ์ร่วมทางศาสนาที่รุนแรงระดับโลกไหม?”
“ไม่เคยครับ”
“ทุกวันนี้ผู้คนต่างมีความสุขอยู่กับโซเชียลมีเดียทางศาสนาของตัวเอง โดยยังไม่มีชุมชนไหนพิพากษาได้เป็นเด็ดเป็นขาดว่า คัมภีร์ใครถูกใครผิด แต่รู้ไว้เถอะ ถ้าแกทำโครงการนี้สำเร็จ อำนาจชี้เป็นชี้ตายจะเกิดขึ้นจริงๆ และเมื่อนั้น แกจะรู้จักความรุนแรงทางอารมณ์ศาสนาชัดขึ้น”
“คงแบ่งเป็นสองขั้ว ขั้วของอารมณ์ กับขั้วของเหตุผล แต่นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดกับมนุษย์เรานี่ครับ”
“ปัญหาของอารมณ์ร่วมทางศาสนาระดับโลก มันยิ่งกว่าอารมณ์ร่วมทางการเมืองระดับประเทศที่แกเคยคุ้นมาก โซเชียลขั้วเหตุผลจะอยู่หน้าคอมพ์แบบต่างคนต่างอยู่ ขณะที่โซเชียลขั้วอารมณ์จะมีสิทธิ์ติดอาวุธมาเจอกันตัวเป็นๆ คนในบริษัทแกมีสิทธิ์ถูกไล่แทงกลางถนน หรือหนักกว่านั้นอาจมีมือปืนไล่ยิงกราดคนทั้งบริษัท… แกว่าฉันพูดเกินจริงไหม?”
คราวนี้เกาทัณฑ์ก้มหน้านิ่ง แค่คิดถึงข่าวผู้ก่อการร้ายคลั่งศาสนา แอบอ้างศาสนาไปยิงกลุ่มคนเห็นต่างขณะประกอบพิธีกลางโบสถ์ ก็ปิดปากเขาให้เงียบสนิทได้แล้ว
เขาแค่อยากพิสูจน์ความจริงด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ช่วยไม่ได้เลยที่ความจริงดังกล่าว จำเป็นต้องรบกวนความเชื่อทางศาสนาของทุกคนบนโลก!
“เออ! เอาเถอะเต้ ไว้ฉันจะคิดดูใหม่ก็ได้ แต่เดี๋ยวฉันจะออกไปตรวจสุขภาพ ต้องไปเตรียมตัว วันนี้ขอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
ฝ่ายหลานทราบว่านั่นคือการตัดบท เพราะจำได้ ตอนนัดหมาย ปู่บอกว่าว่างถึงเย็น
“ครับปู่...”
ลงบันไดเรือนมาข้างล่าง จิตใจห่อเหี่ยวจากการถูกปฏิเสธ แถมยังโดนบีบให้คิดหนักเกี่ยวกับผลข้างเคียงในอนาคตที่คาดเดายากเข้าให้อีก แต่ชั่วอึดใจ อารมณ์ก็แปรไปอย่างรวดเร็ว เพียงเมื่อนึกถึงความสวยหวานแปลกใหม่น่าตื่นเต้นของเธอคนนั้น
ความจริงเขาจะเดินออกจากบ้านไปเองก็ได้ เพราะเห็นอยู่ว่าประตูเล็กไม่ได้ล็อก แต่เกาทัณฑ์ก็ทำเป็นตีมึน ออกตามหาเธอมาช่วยเปิดอยู่ดี
เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหลังของเรือน ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างพอจะปูหญ้าเขียว และประดับไม้พุ่มไม้ดอกสูงต่ำสลับกัน โดยมีประธานเด่นเป็นกล้วยพัดยืนต้นที่ริมรั้ว มองคล้ายนกยูงรำแพนหางตัดกับฟ้ากว้างเบื้องบน
เธอที่เขาตามหา กำลังยืนใช้กรรไกรเล็กลิดกิ่งไม้ที่ริมรั้วด้านหนึ่ง ใจฟูแม้ได้เห็นเพียงด้านหลัง เกาทัณฑ์แอบพินิจรูปศีรษะมนสวยเงียบๆ ชุดเดรสเผยลำคอและเรียวแขนขาวราวฉายแสง รู้สึกราวกับเห็นฉากราชินีแห่งสวนดอกไม้ในฝันดี มีชีวิตชีวาน่าพิศวง
และเพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้ เพียงมองใครบางคนที่สว่างเรืองนานพอ ก็สามารถเห็นออร่าของฝ่ายนั้นขึ้นมาเองด้วยตาเปล่า
เกาทัณฑ์มั่นใจว่าสติดีขึ้น บอกตัวเองว่าถ้าอยากให้เธอสนใจ ก่อนอื่นเขาต้องไม่แพ้ความเฉิดฉายที่ทรงอานุภาพของเธออีก
เหมือนรู้ว่ามีใครคนหนึ่งลอบพินิจอยู่เบื้องหลัง สะกิดเธอให้เหลียวมา และแค่สบตากัน เกาทัณฑ์ก็ถูกสะกดให้เข่าอ่อน เขาพยายามส่งยิ้มให้อย่างจะขอผูกมิตร ทว่าเธอเพียงมองตอบด้วยนิลเนตรทอแววนิ่ง มิได้ยิ้มรับแต่อย่างใด คล้ายไม่พอใจที่เขาถือวิสาสะยืนลอบมองเธอเงียบเชียบไม่ให้สุ้มให้เสียง
“จะกลับใช่ไหมคะ?”
ฝ่ายมาเยือนทำเป็นไม่ได้ยิน เบนสายตาไปมองกิ่งไม้ที่เธอกำลังตัดแต่งให้เป็นระเบียบเรียบร้อยพลางกล่าวชม
“ให้ผมเดานะ แพเป็นคนออกแบบสวนเองเมื่อไม่กี่ปีมานี้ใช่ไหม?”
เธอเงียบนิดหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนตอบตามมารยาท
“ค่ะ”
“ที่ผมเดาถูก เพราะรู้สึกว่าแพให้ชีวิตจิตใจกับพวกมัน ไม่ใช่แค่ทำให้พวกมันมีชีวิตขึ้นมาเฉยๆ”
แม้เธอรักษาความเงียบไว้ เกาทัณฑ์ก็สัมผัสได้ถึงความสุขสงบในอากาศ แบบที่ทราบได้ว่าเธอจะยอมฟังเขาพูดต่อโดยดี
“ท่าทางที่แพตัดกิ่งไม้ ทำให้ผมนึกถึงเจ้าของหมาแมวกำลังตัดขนให้พวกมัน นี่สอนให้ผมสัมผัสเป็นครั้งแรกว่า ต้นไม้ก็รักเจ้านายตอบได้ ไม่ต่างจากที่หมาแมวรักเจ้านาย”
รอฟังว่าเธอจะโต้ตอบอะไรบ้าง แต่เมื่อยินแต่ความเงียบเลยต้องพูดเอง
“ลองดูสิ…” เกาทัณฑ์หมุนตัวช้าๆ กวาดตามองรอบบริเวณ “เหมือนแพสอนผมให้เห็นความสว่างของสิ่งมีชีวิตพวกนี้ได้ด้วยตาเปล่า และแสงของพวกมันก็ได้รับการแจกมาจากแพ”
ริมฝีปากคู่งามเริ่มสยายยิ้มบาง นัยน์ตาเรียวงามรูปหงส์มองมานิ่งๆ อย่างรอดูว่าเขาจะเพ้อพกอะไรต่อ ซึ่งเกาทัณฑ์ก็รู้ตัว เลยไม่ยอมพูดอยู่คนเดียว
“นี่ดอกพวงแก้วใช่ไหม?”
“ค่ะ!”
“ดอกของมันรูปเหมือนหัวใจนะ รู้ไหมทำไมเรียกพวงแก้ว ไม่เรียกดอกหัวใจ หรือดอกมินิฮาร์ทกันบ้าง?”
“ก็มีเรียกนะคะ” เธอตอบแผ่วเบา และยอมอธิบายยาวขึ้น “ฝรั่งเรียกมันว่า Bleeding Heart เพราะกลีบเทียมเป็นรูปหัวใจ แต่กลีบดอกและเกสรที่ยื่นออกมาดูเหมือนหยดเลือด”
“โอ้!” เกาทัณฑ์ห่อปากครางอย่างคนเพิ่งสังเกตตาม “จริงด้วยแฮะ”
พูดจบก็หัวเราะเบาๆ หันมายิ้มประกาศความสนใจเธอด้วยสายตาเปิดเผย หญิงสาวสบตาด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบและเบนห่างไปทางอื่นเนิบช้า
“แล้วนี่ล่ะ? ผมคุ้นกับดอกนี้มาก เหมือนจะเคยรู้ชื่อ แต่ลืมแล้ว”
เอ่ยพร้อมก้าวไปชี้กลุ่มกระถางดอกไม้สีฟ้าสดใสรูปใบหอกแหลม รวมกันบนชั้นวางเป็นกระจุก
“Forget Me Not ค่ะ”
“ใช่ๆ! ฟังเหมือนจะมีสตอรี่นะ แพพอจะรู้ที่มาของชื่อนี้ไหม?”
หญิงสาวทอดตามองดอกไม้อันเป็นเป้าความสนใจ ก่อนตอบนุ่มๆ
“ตามตำนานออสเตรีย-ฮังการี มีคู่รักคู่หนึ่งเดินเล่นกันบนเขาสูง ฝ่ายหญิงเห็นดอกไม้สีสันสะดุดตาแล้วอยากได้ ฝ่ายชายเลยพยายามชะโงกจากริมผาเอื้อมมือไปเด็ดมันมาให้ แต่พลาด พลัดตกลงสู่น้ำที่เชี่ยวกรากเบื้องล่าง ฝ่ายหญิงได้ยินแต่เสียงสุดท้ายแว่วมาว่า รักฉัน... อย่าลืมฉัน”
แทนที่จะซึ้ง เกาทัณฑ์ฟังจบแล้วเกือบหลุดหัวเราะออกมาดังๆ
“เด็ดดอกไม้แล้วตกเหวตาย ไม่รู้จักเดินไปซื้อจากตลาด”
หวังให้เธอขำ แต่เธอไม่ขำ ยังคงทำหน้าเฉย เลยเปลี่ยนท่าทีใหม่
“ตอนตัวจะตาย คนเราก็มักหวังให้ตัวเองเป็นที่จดจำ ไม่อยากถูกลืม แต่ถ้าเป็นผมนะ ดอกไม้นี้จะมีตำนานใหม่ ได้ชื่อจากคำลาครั้งสุดท้ายว่า ชาติหน้าเจอกัน ผมจะจำคุณให้ได้!”
ดวงตาคมเฉียบตวัดขึ้นแลเขานิ่ง สายลมผ่านมาระลอกหนึ่งเป่าปอยผมเธอลู่ไหว เกาทัณฑ์ยิ้มอย่างรู้สึกมั่นคงและเป็นตัวของตัวเองกว่าเดิม สานตาตอบตรงๆไม่หลบ
“แพ!”
เสียงปู่ชนะดังมาจากชั้นบน หญิงสาวละสายตาจากเขา หันไปขานรับไม่ดังไม่เบา
“ขา”
“หนูเตรียมตัวหรือยัง?”
“ค่า!”
รับคำปู่เสร็จก็เบนสายตามามองเขา เป็นสัญญาณบอกว่าให้ไปได้แล้ว
“เห็นทีผมคงต้องขอตัว”
ราชินีแห่งสวนดอกไม้ตอบเขาด้วยการทิ้งกรรไกรไว้บนชั้นวางกระถาง แล้วเดินนำไปทางหน้าบ้านเงียบๆ ซึ่งชายหนุ่มจำต้องเดินตามด้วยความเสียดาย
“ขอบคุณนะแพ” พูดเมื่อก้าวพ้นเขตรั้ว “เร็วๆนี้ผมอาจจะต้องขอรบกวนอีก เพราะยังคุยกับปู่ไม่จบดีนัก”
“ได้ค่ะ”
ขาดคำ เธอหมุนตัวเดินจากไป ร่างในชุดกระโปรงขาวมีลีลาเย็นตาเย็นใจ และถึงหญิงสาวจะขึ้นเรือนลับตาแล้ว ชายหนุ่มก็ยังคงมองค้างเติ่งอยู่เป็นนาน
แก้วล้ำค่า หายาก
ยากเหมือนไม่มีหวัง หรือถึงหวัง ก็ไม่มีวันได้มา
แต่คนอย่างเขา ถ้าอยาก... ต้องได้!