บทที่ เปลี่ยนโลก


“นี่ก็ถือว่ากูเริ่มทำงานแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าออฟฟิศสาขาในไทยนี่ ตกลงมีขึ้นมาเพื่อทำอะไรกันแน่วะ?”

“ทำในสิ่งที่ไม่มีใครในโลกเคยทำ!”

“ขนาดนั้น?”

“จริงๆโว้ย! ไม่ได้โม้” เกาทัณฑ์จ้องเพื่อนด้วยท่าทีขึงขัง “เอางี้! เท่าที่มึงรู้ ดีเอ็นเอเอามาทำอะไรได้บ้าง?”

“ก็… ใช้เป็นหลักฐานว่าเป็นพ่อแม่ลูกกันจริงไหม ตัดต่อยีนรักษาโรคยากๆ แล้วทำให้สัตว์กลายพันธุ์ อย่างพวกวัวไม่มีเขา แพนด้าขนสีน้ำตาล อะไรงี้”

“ถ้าบอกว่า กูใช้ดีเอ็นเอพิสูจน์การกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ด้วยล่ะ?”

เชิงไทยื่นคอมาข้างหน้า หน่วยตาเบิกกว้าง

“นี่มึง?”

“จงดีใจเถอะที่ได้ตกตะลึงเป็นคนแรกๆของโลก!”

“เอาอะไรมาเชื่อวะ ว่าทำได้?”

“กูมีดีเอ็นเอของคนสองคนที่เอามาเทียบกันแล้ว เชื่อได้ว่าเป็นคนคนเดียวกันกลับชาติมาเกิด”

“แม่เจ้า!”

“เพื่อนของกูในจีนชวนไปพิสูจน์ ที่จู่ๆก็มีผู้ปกครองของเด็กอายุ ๔ ขวบคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกัน ติดต่อมา เด็กจำได้ว่าเคยเป็นพ่อของเขา และอยากขอมาพบ

“รู้ได้ไงว่าไม่ใช่แก๊งต้มตุ๋น?”

“เด็กอายุ ๔ ขวบสามารถชี้ตัวญาติถูก ระบุชื่อแม่น พูดคุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่เก่าๆได้แบบน้ำไหลไฟดับ แถมลงรายละเอียดที่เก็บของส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้ ถามมาตอบกลับสดๆ ไม่มีการเตี๊ยม ไม่มีใครเขียนสคริปต์ให้ มึงว่าแก๊งต้มตุ๋นทำได้ไหมล่ะ?”

“ตกลงอะไรแบบนี้เป็นเรื่องจริงหรือนี่?”

“กูก็เคยตั้งคำถามอย่างนี้แหละ และตอนนี้ ถึงกูตอบมึงว่าจริงสิวะ! เชื่อเถอะ! ใจมึงก็ไม่จบ เหมือนอย่างที่มีกรณีเด็กระลึกชาติอยู่เกลื่อน คนในโลกส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเชื่อกันอยู่ดี”

“ก็จริง!”

“แต่ถ้าเราใช้ดีเอ็นเอยืนยัน วันไหนทำได้จริง วันนั้นแหละเรื่องจบ แบบเดียวกับคดีพิสูจน์พ่อแม่”

“ถ้าเด็กระลึกชาติที่มึงว่ามีอายุ ๔ ขวบ ก็แปลว่าต้องตายมาไม่ต่ำกว่า ๕-๖ ปี แล้วมึงเอาดีเอ็นเอจากศพคนตายมาได้ยังไง?”

“เพื่อนกูรักษากระดูกพ่อไว้ในหอเก็บตามประเพณีจีนตอนใต้ กูเลยสามารถสกัดดีเอ็นเอจากกระดูกในชาติก่อน มาเทียบเคียงกับรากผมของเด็กในชาตินี้”

“แล้วหาความสัมพันธ์ระหว่างดีเอ็นเอสองชาติอีท่าไหน?”

“พ่อเพื่อนกูมียีนที่ฟ้องลักษณะคนแข็งกระด้าง ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งก็สอดคล้องกับที่แกเคยเป็นเจ้าของโรงงานใจร้าย ปล่อยปละละเลยให้คนงานตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเป็นพิษ ป่วยเป็นมะเร็งปอดกันหลายราย รู้ทั้งรู้แกก็ไม่สน ไม่คิดป้องกันอะไรให้สิ้นเปลือง ถือคติตายห่าก็หาใหม่”

“เจ้าของโรงงานนรกมีทุกประเทศ ที่ไหนๆก็เป็นกันทั้งนั้น ในไทยนี่ตัวดีเลย ญาติกูเอง… แปลว่าติดกรรมแบบนี้กันหมดสิ”

“นั่นแหละ! ทีนี้พอกูวิเคราะห์ดีเอ็นเอของเด็ก โดยเล็งการกลายพันธุ์ของยีนบางตัว ที่มันสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอด ก็พบความเสี่ยงในระดับที่สูงผิดปกติเสียด้วย เหมือนได้รับผลที่เคยจงใจปล่อยปละละเลยให้คนงานเป็นมะเร็งปอดกัน

“บังเอิญสอดคล้องหรือเปล่า? แค่นี้มึงเรียก ‘หลักฐาน’ แล้ว?”

“มันมีอีกหลายจุด แต่อะไรทำนองนี้เป็นข้อมูลด้านที่เอาไว้เล่าให้มึงกับชาวบ้านทั่วไปฟังเข้าใจง่ายๆ ถ้าต้องคุยกับนักวิทยาศาสตร์ กูจะมีคำอธิบายอีกเวอร์ชั่น”

“ไหนลองเอาเวอร์ชั่นนักวิทยาศาสตร์ซิ ตอนมัธยมกูก็เรียนสายวิทย์ห้องเดียวกะมึงนั่นแหละ”

“งั้นมาทำความรู้จักดีเอ็นเอกัน”

โอเค!”

“๙๘ เปอร์เซ็นต์ ของดีเอ็นเอเคยถูกมองเป็นพื้นที่เก็บขยะที่เปล่าประโยชน์ เลยเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่าเป็น Junk DNA ต่อมาจึงค่อยมีการพบว่าที่แท้เป็นหอบัญชาการ มีไอ้โม่งคอยควบคุมการแสดงออกของยีน ราวผู้กำกับคอยบงการนักแสดง เลยมีคนพยายามเปลี่ยนชื่อเรียกจากดีเอ็นเอขยะมาเป็นดีเอ็นเอผู้คุม คือ Regulatory DNA แทน"

“คอนเซ็ปต์เดียวกับปุ่มกดของพระเจ้า ที่คอยสั่งขีดชะตามนุษย์ ว่างั้นเถอะ"

"ก็มีพวกนักวิทย์หัวใหม่ทางตะวันตกที่สนใจจิตวิญญาณ ขนานนามสิ่งนี้ว่าเป็น God DNA อยู่เหมือนกัน”

“น่าสนใจ กูไม่เคยได้ยิน”

“หลักสูตรชีววิทยาระดับมัธยมที่เราเคยเรียน จะพูดถึงสิ่งนี้ผ่านๆ โดยเรียกมันว่า Non-coding DNA เพราะพวกมันไม่เข้ารหัสโปรตีน มีแต่รหัสควบคุมการแสดงออกของยีน”

เชิงไทเหลือบตามองบนอย่างพยายามนึกทบทวน แต่พอนึกไม่ออกก็ส่ายหน้า

“ลืมไปหมดแล้วจริงๆ”

“ในทางวิทย์ มันคือ ‘พื้นที่มืด’ ของจีโนม เราอธิบายไม่ได้ว่ากลไกอะไรควบคุมความเร็วในการเปลี่ยนแปลง บางจุดเปลี่ยนช้ามาก บางจุดเปลี่ยนเร็วผิดปกติ การเปลี่ยนบางอย่างโยงกับวิวัฒนาการของอวัยวะหรือโรคชัดเจน แต่หลายการเปลี่ยนก็ดูลึกลับ ซึ่งนี่แหละที่กูกำลังจะวิจัยว่า มันอาจเกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกว่า ‘ชะตากรรม’ หรือเปล่า”

“พูดง่ายๆ ถ้าพบการเปลี่ยนแปลงที่ลึกลับในดีเอ็นเอส่วนนี้ มึงจะเอาไปโยงกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเจ้าตัว?”

“ถูก!”

“เอาเถอะ! ย้อนกลับมาเรื่องเดิมก่อน สรุปว่ามึงได้หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างชาตินี้กับชาติก่อนของเด็ก ก็จาก Junk DNA? ซึ่งเปรียบเหมือนหอบัญชาการของพระเจ้า?”

“ใช่!” นักพันธุศาสตร์หนุ่มรับด้วยเสียงหนักแน่น “Junk DNA เป็นสิ่งลี้ลับมาตลอด และจะไม่มีใครไขปริศนาออกเลย ตราบเท่าที่เราไม่รู้ว่าจะเอามันไปเชื่อมโยงกับอะไร”

“เหมือนจิ๊กซอว์ที่หายไป?”

ถูกต้อง! เหมือนธรรมชาติให้จิ๊กซอว์มาครึ่งกล่องในร่างใหม่ของชาตินี้ ยังไงก็ไม่มีทางต่อภาพได้ครบ จนกว่าจะได้จิ๊กซอว์อีกครึ่งกล่องที่เหลือจากร่างเก่าในชาติก่อนมาประกบ”

“กูและชาวบ้านตาดำๆคงไม่มีทางนึกออกหรอกว่า พวกมึงอ่านความสัมพันธ์ในดีเอ็นเอยังไง ถึงโยงใยชาติก่อนกับชาตินี้ได้แบบต่อจิ๊กซอว์”

“เวอร์ชั่นสำหรับอธิบายให้ชาวบ้านฟัง มันไม่ยากหรอก เพราะกูเอาเรื่องการให้ผลของกรรมมาเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยแสดงความเกี่ยวข้องกับดีเอ็นเอทีหลัง”

“เอาล่ะสิ! ได้สารตั้งต้นเป็นความเชื่อทางศาสนากันแล้วเพื่อนกู สมัยก่อนกินเหล้าตอนวัยรุ่น มึงยังแหกปากเย้ยฟ้าท้าดิน ไม่เชื่อนรกสวรรค์อยู่เลย”

“ก็อย่างที่มึงรู้ กูไม่ได้เริ่มต้นจากความเชื่อทางศาสนา กูเริ่มตั้งหลักจากทางตัน ไปต่อไม่ถูกเกี่ยวกับดีเอ็นเอ บอกตรงๆว่าแรกเริ่มเหมือนจับแพะชนแกะ แต่สุดท้ายกลายเป็นปาเป้าเข้าแจ็คพอต ดันมีหลักฐานว่า ถ้าต่อจิ๊กซอว์ถูกชิ้น เราจะไขปริศนาเกี่ยวกับภพชาติด้วยดีเอ็นเอได้จริงๆ!”

เชิงไทฟังไปฟังมาชักขนลุก ทำหน้าเหวอ จากที่สมัยก่อนเคยเถียงเล่นกันได้แบบเอาสนุก ไม่ต้องมีใครเชื่อใคร แต่บัดนี้เจ้าอดีตเพื่อนชั้นมัธยมกลายมาเป็นใครอีกคนที่จบปริญญาเอกสาขา Biomedical Informatics จากสแตนด์ฟอร์ด และทำงานกับบิ๊กเทคอันดับต้นๆของโลก แถมได้ทุนมาทำศูนย์วิจัยขนาดใหญ่ อย่างไรเขาคงต้องฟังให้จบดีๆก่อนเถียง

“ไหนลองขยายความซิ กูชักอยากฟังขึ้นมาอย่างแรง”

“เพื่อจะเข้าใจโมเดลที่กูสร้างขึ้นมา ต้องปูพื้นกันเรื่องกรรมนิดนึง กรรมจะเป็นไปตามเจตนา เช่น ตีหัวใครแล้วหัวเขาแตกตามความตั้งใจ อันนั้นจัดว่าก่อกรรมทางกายสำเร็จ วันหนึ่งต้องให้ผลย้อนกลับมาเข้าตัว เจ็บปวดจากการโดนทำร้ายให้หัวร้างข้างแตกบ้าง”

“ประเด็นคือเมื่อไหร่ล่ะ ที่กรรมจะให้ผล?”

“นั่นแหละ! ตอบไม่ได้เลยทำให้เชื่อกันยาก” เกาทัณฑ์เอนหลังพิงพนัก “สมมุติว่ากูตีหัวมึงแตกสำเร็จสมเจตนาในชาตินี้ ถ้าผลของกรรมมีจริง ก็น่าสันนิษฐานว่าจะเกิดรหัสบางอย่างขึ้นมาใน Junk DNA ของตัวกูในชาติหน้า แสดงร่องรอยว่ากูเคยตีหัวคนแตก และจะต้องโดนเข้าให้บ้าง

“โดยฝีมือกูไปเอาคืน?”

“ตามกฎแห่งกรรม อาจเป็นมึง หรือใครสักคน หรืออุบัติเหตุสุดวิสัยอะไรสักอย่าง เป็นตัวจัดการลงโทษ ไม่จำเป็นว่าเจ้ากรรมนายเวรต้องกลับมาลงมือเอง เอาเป็นว่าต้องได้รับบาดเจ็บที่หัว

“เริ่มเห็นภาพ”

“แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้นนิดหนึ่ง ตามลำดับการให้ผลของกรรม ถ้ากูตีหัวมึงแตกชาตินี้ อาจได้รับผลชาตินี้เลย หรืออาจได้รับผลชาติหน้า หรืออาจยืดเวลาไกลออกไปอีก กว่าจะได้คิวเหมาะที่จะหัวแตกบ้าง อาจต้องรอชาติที่ ๒ ชาติที่ ๓ หรือชาติที่ ๙๙ ข้างหน้านู่น

“ก็ยังพอเข้าใจได้อยู่นะ ในเมื่อแต่ละชาติทำกรรมกันเป็นล้านอย่าง ทบๆกันแล้ว กว่าจะได้คิวเหมาะอาจต้องรอนานหน่อย”

"หนำซ้ำ กรรมบางอย่างแม้ให้ผลแล้ว ก็อาจจะยังไม่หมดแรงส่ง ยังคงให้ผลสืบเนื่องต่อได้อีก นี่แหละ! ที่ทำให้กูเกิดไอเดียสร้างโมเดล ‘แผนที่คิวกรรม’ ขึ้นมา โดยสันนิษฐานว่า ‘ปุ่มกดสั่งชะตา’ ชุดเก่าๆที่ยังอยู่ ต้องมีให้สืบเจอแน่นอน”

“มึงตรวจเจอแล้ว?”

“นับไม่ถ้วนเลยมึง!”

“แน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีแบบเดียวกันในคนอื่น?”

“ก็ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของอีกหลายๆคนสิ แบบที่เรียกว่า ‘กลุ่มควบคุม’ ตามมาตรฐานงานวิจัย”

“เอ้อ! ใช่ ต้องอย่างนั้น”

“กูใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุด ตรวจเทียบด้วยวิธีการอ่านที่ละเอียดที่สุด ไม่เจอที่ซ้ำกันเลย ระหว่างเด็กระลึกชาติกับดีเอ็นเอของกลุ่มควบคุม”

“กลุ่มควบคุมที่ใช้เปรียบเทียบอ้างอิงนี่ มีอยู่ทั้งหมดกี่คน?”

“ห้าคน! ซึ่งดูน้อย แต่มึงต้องเข้าใจนะ ห้าคนนี่ใช้เวลาอ่านกันด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์หลายเดือนแล้ว เพราะต้องตรวจสอบลำดับเบสเป็นพันๆล้านตำแหน่ง”

“บริษัทรวยเบอร์ต้นๆของโลก ทำไมไม่สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขึ้นมาหลายๆเครื่องให้มันพอใช้?”

“แต่ละเครื่องหลายร้อยล้านดอลลาร์ ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างเสร็จ สร้างเสร็จต้องจ่ายโคตรแพงให้กับทีมผู้เชี่ยวชาญที่มาดูแล แล้วบริษัทเราน่ะมีตั้ง ๓ เครื่อง เยอะที่สุดในบรรดาบิ๊กเทคด้วยกันแล้ว คนอื่นเขาเช่าเอา”

“ชักเห็นภาพ งานของพวกมึงนี่ยุ่งยากระดับโลกจริงๆวะ... กูงงอีกอย่าง ทำไมต้องตั้งศูนย์วิจัยในไทยด้วย? ทั้งพวกหัวกะทิ ทั้งเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีที่สุดก็อยู่ที่โน่นหมดไม่ใช่เหรอ?”

ยังไม่ทันที่เกาทัณฑ์จะตอบ เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้นขัดจังหวะให้ชายหนุ่มต้องยกหูรับสาย

“ครับ!”

“คุณเรือนแก้วมาตามนัดบ่ายสองครึ่งค่ะ จะให้นั่งรอก่อนไหมคะ?”

“อ๋อ! ให้เข้ามาเลยครับ” วางหูเสร็จก็ยักคิ้วให้เพื่อน “มึงไปลงทะเบียนเริ่มงานที่เอชอาร์แล้วตามสบายนะ อยากกลับบ้านก็ได้ หรือจะให้คนไอทีพาไปสำรวจโต๊ะทำงานกะคอมพ์เลยก็ดี ขาดตกอะไรจะได้บอกเขา แล้วอย่าลืม พรุ่งนี้ ๑๐ โมงประชุมซูม คนของเฮดควอเตอร์จะอธิบายระบบงานบัญชีให้มึงกะทีม”

“วันนี้ต้องสัมภาษณ์คนทั้งวันเลยสิ?”

“ไม่ใช่สัมภาษณ์หรอก คุยทำความรู้จักกันมากกว่า ขั้นตอนเป็นทางการทั้งหลายผ่านเฮดควอเตอร์มาหมดแล้วแบบเดียวกะมึงแหละ คนที่กำลังจะมาคุยนี่ก็จะมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร เห็นว่าเก่งเอาเรื่องอยู่”

เชิงไทพยักหน้า ขยับลุกขึ้นยืนโบกมือให้อีกฝ่าย

“งั้นไว้เจอกัน”

แต่พอเชิงไทหันหลังจะเดินไปจากห้อง ก็ต้องชะงักกึก เมื่อบานประตูที่อ้าออกเผยให้เห็นดวงหน้าสวยๆของใครคนหนึ่งลอยอยู่ตรงนั้น

“แอ้!”

ชายหนุ่มร้องดังๆ และเธอคนนั้นก็เหมือนจะตกใจเช่นกัน

“อุ๊ย!”

“ไม่ใช่ชื่ออุ๊ย จำผิดแล้ว ผมเชิงไท”

น้ำเสียงร่าเริงกลั้วหัวเราะส่อว่าทั้งคู่รู้จักคุ้นเคยกันพอสมควร เกาทัณฑ์เลิกคิ้วสูง ลุกขึ้นยืนต้อนรับในฐานะเจ้าของห้อง หญิงสาวยกมือไหว้เขา และเขาก็รับไหว้เธอพอเป็นพิธี

“โลกกลมหรือนี่? ดีเลย ผมชอบบรรยากาศกันเองนะ งั้นมานั่งคุยพร้อมหน้าพร้อมตาเลยไหม? ไม่มีอะไรเป็นทางการหรอก”

“ดีค่ะ”

ผู้มาใหม่เอ่ยเสียงใส

“เชิญครับแอ้” เจ้าของสถานที่เรียกชื่อเล่นของฝ่ายนั้นตามเพื่อน พร้อมผายมือเชื้อเชิญ “เรียกผมเต้นะ”

ความเป็นมิตรที่เข้ากันได้เริ่มต้นทันทีที่ตรงนั้น ทั้งหมดมานั่งบนโซฟาที่มุมประชุมเล็ก อันเป็นส่วนหนึ่งของห้องทำงานขนาดเกือบ ๔๐ ตารางเมตรของเกาทัณฑ์

เรือนแก้วมีใบหน้าสวยคม ผิวสีน้ำผึ้ง สูงโปร่ง ปราดเปรียว เตะตาเตะใจในชุดสูทกางเกงสีครีมอ่อน ผมยาวสีดำสนิทรวบเป็นหางม้ายกสูง มีออร่าเปล่งประกายแรง โดยรวมเป็นผู้หญิงประเภทที่แค่ปรากฏตัว ก็บีบหัวใจผู้ชายทุกคนให้เต้นเร็วขึ้นด้วยความระทึกได้ทันทีแล้ว

“สนิทกันมาตั้งแต่สมัยไหนนี่?”

เกาทัณฑ์เอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงโอภาปราศรัย

“กูน่ะอยากสนิทใจจะขาด แต่แอ้เขาไม่ยอมสนิทด้วยนี่สิ”

เชิงไทแหวกอกเผยใจโต้งๆด้วยอารมณ์ครึกครื้น เรือนแก้วยิ้มมุมปากชายตาแลอีกฝ่าย ยอมหยอดทีเล่นทีจริงขำๆ

“ที่ผ่านมาถ้าไม่เรียกสนิท ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้วนะคะ ไปกินข้าวหมูแดงด้วยกันตั้งหลายมื้อ”

“โอ้โห่! ไปด้วยกันตั้งกี่คนล่ะนั่น” แล้วก็หันมาบอกเกาทัณฑ์ “กรรมการที่สำนักงานใหญ่ตาถึงจริงๆ กูขอเอาเกียรติเป็นประกัน รับรองว่าแอ้นี่ไม่มีใครเกิน”

“ทำงานเก่งเหรอ?”

“ทำงานเก่งเอาไว้ก่อน สวยที่สุดในตึกสำคัญกว่า”

เกาทัณฑ์หัวเราะเบาๆ ก่อนเบนหน้าสบตาตรงกับหญิงสาว เสื้อสูทของเธอที่คว้านลงไปเห็นร่องอกหน่อยๆช่างมีแรงดึงดูดล่อตา จนเขาต้องฝืนไว้ไม่ให้สายตาแฉลบลงไปแวะเวียนแถวนั้น เพราะอยากเริ่มต้นรู้จักกันวันแรกเยี่ยงมืออาชีพ ที่อยู่เหนือเสน่ห์อันแรงกล้าท้าทายสายตาของเธอได้

“ผมเห็นโปรไฟล์ของแอ้แล้วทึ่งนะ จบ Biomedical Enterprise จากเอ็มไอที แล้วเฮดควอเตอร์ต้องไปดึงตัวแอ้มาจากโมเดอร์น่าด้วยใช่ไหม?”

“ค่ะ! แค่เห็นข้อเสนอ แอ้ก็รีบตะครุบเลย ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้กลับมาทำงานในไทย แถมโปรเจกต์ยังน่าสนใจสุดๆ!”

เชิงไทยิ้มกริ่ม ชื่นชมเรือนแก้วออกนอกหน้า

“ผมรู้ว่าแอ้ไปต่อโททางบริหาร แต่ไม่รู้เลยว่าเฉพาะทางไฮเทคอย่างนี้ น่าจะเก่งมาก”

เกาทัณฑ์รีบหันมาบอกเพื่อน

“หลักสูตรนี้คนที่เข้าเรียนได้อาจเก่งพอจะเป็นนักวิจัย และคนที่จบได้มีสิทธิ์หมายมั่นปั้นมือเป็นเจ้าของบิ๊กเทคในอนาคต”

“นั่นไง! โหงวเฮ้งบอสใหญ่ลอยมาแต่ไกล”

“เชิงเป็นผู้จัดการบัญชีหรือคะ?”

เธอเดาจากที่เคยทราบว่าเชิงไทเรียนคณะอะไรสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“ใช่แล้วครับผม!”

“เชิงเคยทำกับดีลอยท์” เกาทัณฑ์ช่วยพูดเสริม “ประวัติดีจนทางสำนักงานใหญ่ขี้เกียจดูตัวเลือกอื่น ถึงแม้จะทราบดีว่าสนิทกับผม ก็ไว้ใจไม่ลังเล”

“เต้เองก็คงน่าไว้ใจจริงๆแหละค่ะ ถ้ารุ่นเดียวกับเชิงก็เพิ่ง ๓๐ ได้คุมโปรเจกต์ใหญ่แล้ว”

“ไม่หรอก ในแวดวงพันธุศาสตร์ระดับโลก อายุ ๓๐ นี่ไม่เด็กแล้วแอ้ อย่างเจมส์ วัตสัน ค้นพบโครงสร้างดีเอ็นเอตอนอายุ ๒๕ หรืออย่างเจนนิเฟอร์ ดุ๊ดน่า ก็เริ่มงานวิจัยสร้างกรรไกรตัดยีนตอนอายุ ๓๐!”

เชิงไทฟังแล้วคอหด

“ทำไมเก่งกันจังวะ? ผู้หญิง ๓๐ อะไร หาวิธีตัดยีนได้แล้ว มึงเอ๊ย! กู ๓๐ เท่ากัน ยังตัดกางเกงยีนส์ไม่เป็น”

“ในวงการกู มีแรงจูงใจสูง เพราะเมื่อคนใดคนหนึ่ง หรือทีมใดทีมหนึ่งค้นพบอะไรใหม่ก่อนใคร ก็จะถูกจารึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เปลี่ยนโลก หรืออีกทีก็ติดกลุ่มรวยที่สุดในโลก!”

“แล้วมึงล่ะ อยู่ตรงนี้เพื่อเปลี่ยนโลก หรือเพื่อรวยที่สุดในโลก?”

“ก็ทั้งสองอย่างแหละ! ใกล้ชิดกับนายแบบไหน ในที่สุดเราจะกลายเป็นคนแบบนั้น” เกาทัณฑ์เปิดอก “ดอกเตอร์แม็กซ์ขึ้นชื่อเรื่องไอเดียพัฒนาเทคโนโลยีอ่านดีเอ็นเอได้ละเอียดกว่าใคร และจะไม่มีใครตามทันไปอีกหลายปี แถมปีนี้แกรวยติดอันดับที่ ๕๙ ของโลก ทรัพย์สินสุทธิร่วม ๓๐ พันล้านดอลลาร์!”

“เออ! นี่กูยังจำชื่อเจ้านายพวกเราไม่ได้สักที คนเยอรมันใช่ไหม?”

“พวกกูเรียกแกสั้นๆว่าดอกเตอร์แม็กซ์ ชื่อเต็มคือแม็กซิมิเลี่ยน ควอนเทนบาค”

“ยาวแท้!”

“ยาวและมีแค่หนึ่งเดียวในโลกด้วย เพราะ Quantenbach ในภาษาเยอรมันแปลว่า ‘ลำธารควอนตัม’ แกตั้งเองเพื่อจะได้ไม่ซ้ำใคร”

“เหมือนจะประกาศศาสนาควอนตัมเลยว่ะ ฮ่ะๆ… เห็นว่าที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมานี่ ก็ใช้ชื่อเสียงจากรางวัลโนเบลของแกดึงดูดเงินลงทุนใช่ไหม?”

เกาทัณฑ์พยักหน้า

“ใช่! สร้างมากับมือของแท้”

“มึงก็ต้องไม่เลวแหละ เขาถึงไว้ใจให้มาเปล่งแสง”

เกาทัณฑ์ยักไหล่หน่อยๆ

“ก็ไม่รู้นะ เขาบอกว่าคุยกับกูแล้วรู้สึกเหมือนคุยกับตัวเองตอนอายุเท่ากัน”

“โอ๊-เค! เทพเห็นเทพ” เชิงไทหัวเราะแยกเขี้ยวเสียวฟันแบบอดหมั่นไส้ไม่ได้ “เพราะถ้ามึงเป็นผี คงไปหลอกเทพไม่สำเร็จหรอก”

“กูก็มีผลงานให้เขาดูมานาน” ปลายเสียงของเกาทัณฑ์ลากยาว สีหน้ามีความสุข เมื่อนึกถึงห้วงเวลาที่หว่านล้อมเจ้านายจนยอมลงทุนให้ “กูบอกเขาว่า ถ้าชาติก่อนมีจริงมาเป็นล้านครั้ง และต่อให้ชาติหน้ามีจริงไปอีกล้านหน ก็คงได้แค่ชาตินี้ชาติเดียวที่มีเทคโนโลยีล้ำๆ มีเงินเหลือๆ พอจะเปิดโอกาสให้พิสูจน์ว่า ในดีเอ็นเอมีร่องรอยหลักฐานของภพชาติอยู่จริงไหม!”

เรือนแก้วยิ้มหวาน

“น่าจะเป็นหมัดเด็ดน็อกดอกเตอร์แม็กซ์ให้ยอมเต้เลยนะคะ” แล้วเธอก็เอ่ยเป็นงานเป็นการขึ้นเล็กน้อย “แอ้ฟังขอบเขตงานทั้งหมดของตัวเองมาแล้ว แต่ไม่แน่ใจค่ะว่าเข้าใจความคิดของเต้ดีแค่ไหน เพราะเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก”

“ถึงต้องมาเจอกันวันนี้ไง จะให้ผมไขข้อสงสัย หรือให้เล่าความเป็นมาและวิธีคิดเกี่ยวกับโปรเจกต์ตั้งแต่ต้นเลยไหม?”

“เท่าที่แอ้รู้ คือเต้เจอเด็กระลึกชาติในจีน พบร่องรอยที่ขานรับกันในดีเอ็นเอระหว่างชาตินี้กับชาติก่อน แต่หนึ่งเดียวถือเป็นตัวอย่างที่น้อยเกินไป ต้องทำซ้ำได้ไม่จำกัดเพื่อให้เป็นวิทยาศาสตร์ เต้จึงต้องการสร้างเด็กระลึกชาติขึ้นมาเป็นจำนวนมาก อย่างนั้นใช่ไหม?”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะรับ

“ใช่แล้ว!”

“โว้ว! เอางี้เลยเรอะ?”

เชิงไทร้องอย่างเพิ่งรู้ เรือนแก้วหันมองฝ่ายนั้นแวบหนึ่งด้วยความแปลกใจ แต่พอคิดได้ว่าเชิงไทมาทำงานบัญชี คนของสำนักงานใหญ่จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องบอกกล่าว จึงหันมาคุยกับเกาทัณฑ์ต่อ

“หน้าที่ของแอ้ คือทำให้คนใกล้ตายศรัทธา อยากเข้าร่วมโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ ของเรา นอกจากนั้น ยังต้องโน้มน้าวสามีภรรยาที่อยากมีลูก ให้มาผูกพันกับคนใกล้ตายในโครงการนี้ด้วย ถูกไหมคะ?”

“ถูกต้อง!” เกาทัณฑ์ยืนยัน “แอ้ต้องเป็นด่านหน้า พูดคุย สร้างความสนใจ และเก็บสถิติว่ามีคนไข้เท่าไรที่พร้อมเข้าร่วมกับเรา อันนี้จะเป็นข้อมูลจริงจากสนามที่ใช้ยื่นต่อคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ จริงๆจีเนติกโอ๊ธประสานเบื้องหลังไว้กับบางฝ่ายแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องการคือการยื่นอย่างเป็นทางการ พร้อมหลักฐานหนักแน่นจากแอ้”

“เรื่องใหม่ๆที่ท้าทายความเชื่อมักอ่อนไหว พอนึกดูล่วงหน้าว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ก็รู้สึกเหมือนจะเจอศึกใหญ่หลายด้านนะคะ ไหนจะคนใกล้ตาย ไหนจะผัวเมียที่อยากมีลูก ไหนจะเกรียนคีย์บอร์ดทางโซเชียล”

“ผมกับดอกเตอร์แม็กซ์เชื่อว่า เมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นในไทย ความสนใจใคร่รู้ผลลัพธ์จะอยู่เหนือข้อขัดแย้งต่างๆนานา แล้วการขอจริยธรรมในมนุษย์ก็น่าจะง่ายและได้รับกระแสสนับสนุน เนื่องจากศรัทธาแบบพุทธฝังรากมานาน”

“แน่รื้อ?” เชิงไทอดแทรกไม่ได้ “กูว่าแค่คนรุ่นเราๆทั่วโลก ก็ไม่มีศาสนา ไม่เชื่ออะไรเลยกันเยอะแล้วนะ อย่างเช่นที่หลังๆมีการฆ่าตัวตายออกไลฟ์ราวกับเป็นเรื่องล้อเล่น ก็สะท้อนว่าไม่ได้เชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายกันเลย”

“คนที่มึงเจอๆมา จัดเป็นโลกสเกลเล็ก ต่างจากโลกสเกลใหญ่ ที่เขาสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจริง แล้วพบว่าคนยุคเรายังคงเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายกันเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าประเทศไหน และยิ่งถ้าใกล้ตาย ก็จะแปรจากเชื่อไม่เชื่อมาเป็นหวั่นใจ อยากได้หลักประกันให้กับชีวิตหลังความตายกันหมด โปรเจกต์ของเราจะดีลกับคนกลุ่มนี้ กลุ่มที่ใกล้ตาย… ไม่ใช่กลุ่มที่ยังมีชีวิตอีกนาน”

“เห็นด้วยนะคะ เรื่องนี้เกี่ยวกับสัญชาตญาณและความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นก่อนตาย ไม่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาที่มีอยู่ก่อน เพื่อนแอ้มีญาติคนหนึ่งที่หัวแข็งมาก ปากบอกไม่เชื่อๆมาตลอดชีวิต สุดท้ายใกล้ตายถามหาพระใหญ่เลย สั่งเสียลูกหลานให้ทำบุญส่งไปทุกวันด้วย”

“อ้อ...”

เชิงไทชักเก้อกับการมองภาพไม่ออกอยู่คนเดียว เกาทัณฑ์กล่าวเสริมอีก

“จริงอย่างที่แอ้ว่านะ แล้วที่มึงเห็นข่าววัยรุ่นหรือกลุ่มซึมเศร้าฆ่าตัวตายแบบไม่คิด ทำเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น ก็เป็นแค่ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในอารมณ์มืดเกินกว่าจะเกรงใจยมทูต พวกนี้ไม่ใช่ตัวแทนคนส่วนใหญ่ที่ยังรักตัวกลัวตายอยู่”

“งั้นแปลว่า…” เสียงเชิงไทอ่อนลง “คนใกล้ตายที่อยากได้หลักประกันชาติหน้า จะเดินเข้ามาหามึงกันล้นหลามสินะ?”

เกาทัณฑ์ยืดอกผายสองมือออกกว้าง

“นั่นคือสิ่งที่กูกับดอกเตอร์แม็กซ์คาดหมาย” พูดพลางมองไปรอบด้านเป็นการนำสายตาอีกฝ่ายให้รู้สึกถึงสถานที่ “เราซื้อที่นี่ ‘ศูนย์ศานติธาน’ ที่ใหญ่ระดับโรงพยาบาล แล้วก็มีชื่อเสียงด้านการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ก็ควรเป็นที่คาดหมายได้ว่า พอทางราชการไฟเขียวให้ประกาศแผนของโครงการวันไหน วันนั้นเราจะได้กลุ่มเป้าหมายล้นหลามทันที!”

“แล้วคู่สามีภรรยาที่ต้องการมีลูกล่ะคะ เต้สำรวจแนวโน้มหรือยังว่ามีมากน้อยแค่ไหน ที่พวกเขาจะเอาด้วยกับเรา?”

“ในไทยนี่นะแอ้ ผัวเมียที่อยากมีลูก ต่างก็อยากได้ลูกเป็น ‘เด็กมีบุญ’ มาเกิดกันหมดแหละ แล้วคนกลุ่มนี้ก็จะมีความหวั่นใจอยู่ลึกๆว่า อาจซวย เจอคนบาป หรือได้หมาได้แมวที่ไหนมาเข้าท้อง เพราะงั้นถ้ามีโครงการที่เสนอหลักประกัน โดยให้ผัวเมียไปทำความรู้จักเจ้าตัวคนที่จะมาเกิดเป็นลูกเสียเลยว่า เคยดีมายังไง แอ้ว่าพวกเขาจะสบายใจหายห่วงกว่ากันเยอะไหม?”

“แล้วพวกหมอ พวกนักวิทยาศาสตร์ และเกรียนคีย์บอร์ดทางโซเชียลล่ะคะ? ถ้าหากความเห็นของกลุ่มคนเหล่านี้เป็นลบกันเยอะๆ น่าจะรบกวนจิตใจผู้เข้าร่วมโครงการไม่น้อยเหมือนกัน เต้มีอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นรูปธรรมไว้แบคอัพบ้างหรือยัง?”

“ผมได้หลักฐานมาแน่นหนาสำหรับโชว์นักวิทยาศาสตร์ ถึงขั้นทำให้พวกเขาตาโต อยากรู้ผลการวิจัยในสเกลใหญ่ขึ้นทันทีเลยเชียวล่ะ”

“เต้! มึงกำลังอยู่ต่อหน้าตัวทดสอบที่เหมาะเหม็งเลย กูเป็นตัวแทนคนทั่วไป ส่วนแอ้เป็นตัวแทนนักวิชาการพันธุศาสตร์ ไหนลองจาระไนซิ สมมุติว่าเป็นข่าวแตกตื่นพูดถึงโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ กันไปทั่ว แล้วตอนนี้มีนักข่าว ๒๐ คนยื่นไมค์มาจ่อปากมึงอยู่ กูขอยิงคำถามแรกเลยนะ…” พล่ามน้ำไหลมาถึงตรงนั้น เชิงไทก็ชะงัก เอาหน้าเด๋อๆหันไปหาเรือนแก้ว “เราควรเริ่มถามมันว่ายังไง?”

เรือนแก้วผงกศีรษะหัวเราะร่วนเต็มเสียง แพร่พลังความสดใสใส่อากาศรอบด้าน ทำเอาสองหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะให้กับประกายความน่ารักเกินต้านนั้น

“ควรถามว่า…” เธอเอ่ยเรียบๆหลังหัวเราะเสร็จ “มุมมองตามการวิจัยของเต้ ดีเอ็นเอคือสมุดบันทึกกรรมใช่ไหมคะ?”

เกาทัณฑ์ถึงกับยิ้มออก จ้องหน้าเรือนแก้วอย่างรู้ในนาทีนั้นว่า เธอจะคุยงานกับเขารู้เรื่อง และเอาไปสื่อกับชาวบ้านชาวเมืองถูกจุด ถูกประเด็นด้วย

“ถ้าจะวาดภาพ ‘สมุดบันทึกกรรม’ ขึ้นมาสื่อสาร แอ้ต้องอ้างอิงระบบกรรมให้ครบก่อน เช่น ชี้แจงว่ากรรมมีทั้งที่ทำไว้ในอดีต และทั้งที่ทำไว้ในชาตินี้” เขาร่ายเป็นจังหวะจะโคนอย่างกระตือรือร้น “นอกจากนั้น ยังต้องครอบคลุมเรื่องคิวกรรม ที่มีทั้งการให้ผลในชาติปัจจุบัน ชาติหน้า และชาติถัดๆไป จากนั้นแอ้ค่อยเอามาโยงกับงานวิจัยของเรา ที่ค้นพบว่ากฎกติกาเกี่ยวกับกรรมและวิบาก สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับระบบของสารพันธุกรรม ซึ่งไม่ได้มีแค่ดีเอ็นเออย่างเดียว”

เรือนแก้วพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าตามทัน

“ค่ะ! แอ้ควรเริ่มจากภาพที่ว่า สมุดบันทึกกรรมคือระบบทั้งหมดของสารพันธุกรรม ซึ่งเหมารวมอาร์เอ็นเอ อีพิจีเนติกส์ โครงสร้างโครมาติน และครอบคลุมไปถึงการสื่อสารระหว่างเซลล์ กับกระบวนการทางชีวเคมีที่ส่งผลต่อข้อมูลพันธุกรรมด้วยใช่ไหม?”

“ใช่!”

“แอ้เดานะ เต้น่าจะได้ข้อมูลทางพันธุกรรมที่น่าตื่นเต้น จากช่วงใกล้ตายและช่วงแรกเกิดของผู้เข้าร่วมโครงการ ที่ตอนนี้ยังหาไม่ได้จากเคสเด็กระลึกชาติด้วยแน่ๆเลย”

เกาทัณฑ์ยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจยิ่งขึ้นทุกที เพราะแต่ละคำของเรือนแก้ว ฉายให้เห็นแววรู้มาก ตลอดจนจับจุดน่าสนใจไปสื่อสารได้ดีเยี่ยม

“ถูกเผง!” เขาใช้น้ำเสียงชื่นชม “ตอนนี้ผมตั้งความเชื่อไว้ว่า การแสดงออกของยีนช่วงก่อนที่มนุษย์ตาย ทำนายชาติหน้าของคนตายได้ และการแสดงออกของยีนที่ว่านั้น ต้องบันทึกกันไว้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง เนื่องจากหลังความตาย เซลล์จะเริ่มสลายตัวในเวลาอันสั้น และการแสดงออกของยีนจะเปลี่ยนแปลงไป เอามาศึกษาอะไรไม่ได้อีก”

“ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะเล่นผีถ้วยแก้วว่ะ” เชิงไทเอ่ย “นึกไม่ถึงว่าวิทยาศาสตร์มาถึงจุดนี้แล้ว”

“ถ้าเข้าใจแบบที่กูเข้าใจ มึงจะระทึกกว่าฟังเรื่องผีๆเยอะ รู้ไว้เถอะ ก่อนตายดีเอ็นเอของคนเราจะทำงานเพี้ยนไปจากปกติ ราวกับมีสัญญาณบางอย่างถูกส่งมาจากอนาคต ยีนหลายตัวที่เคยนิ่งเงียบมาตลอด จู่ๆก็เริ่มทำงานพร้อมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีนเกี่ยวกับความทรงจำและการรับรู้”

“อย่างที่ว่ากันว่าเกิดการขุดคุ้ยความจำทั้งชีวิตขึ้นมาทบทวนรึ?”

“ก็คงประมาณนั้น กูไม่เคยตาย เลยไม่รู้ว่าคนตายเห็นอะไร กูบอกได้แค่ว่ามันมีการแสดงออกของยีนขึ้นมาอย่างนี้” แล้วเกาทัณฑ์ก็หันมาหาเรือนแก้ว “มีเรื่องน่าขนลุกอีกอย่างนะ ถ้าทำเป็นคลิป คนคงนึกว่าเราให้ดูฉากในหนังไซไฟมากกว่าจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง เคยมีการใช้เครื่องมือความละเอียดสูงไปวัดคลื่นสมองคนใกล้ตาย พบว่ามีการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปแบบที่เหมือนกับการอัพโหลดข้อมูลขนาดมหาศาล ราวกับว่าประสบการณ์ทั้งชีวิตกำลังถูกบันทึกและส่งต่อไปยังที่บางแห่ง ที่ไม่ใช่มิติปัจจุบัน”

“ซึ่งเต้อาจค้นพบ ‘เครื่องรับข้อมูล’ ในเด็กเกิดใหม่วันแรกจากโครงการนี้ใช่ไหมคะ?”

“เด็กระลึกชาติกลุ่มแรกจะเป็นคนให้คำตอบกับเรา!” เกาทัณฑ์ตอบเนิบๆแบบนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ด่วนสรุปทึกทัก “เรายังไม่รู้ว่าโปรเจกต์นี้จะเปลี่ยนโลกได้แค่ไหน แต่แอ้ลองคิดเล่นๆแล้วกัน ถ้าถึงยุคที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้งานได้จริงและเล็กขนาดเราสวมใส่ได้ แค่นาฬิกาข้อมือก็อาจบอกแบบปัจจุบันทันด่วนว่า ชั่วโมงข้างหน้าเรากำลังจะต้องรับกรรมที่เคยทำไว้จากชาตินี้หรือชาติไหน คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือคู่บุญที่เคยร่วมชาติกับเรามาก่อนหรือเปล่า”

เรือนแก้วขยับตัว ตาเป็นประกายคล้ายผู้หญิงจับจ้องดาราคนโปรด

“เร้าใจจัง! เต้ทำให้แอ้ใจเต้นแล้วล่ะ!”