“กดปุ่มแล้วพูดเลย ใจรู้สึกอยากพูดอะไรก็พูดใส่ไมค์บอกแอ้ไปอย่างนั้น”
เกาทัณฑ์ให้สัญญาณกับเชิงไท
“แอ้ไม่ได้ยินแน่นะเว้ย?”
“เออสิ! อยากพูดอะไรพูดได้เลย ขอแค่ให้ออกมาจากใจจริงๆเถอะ”
“ต้องออกมาจากใจด้วย?”
“ต้องงั้น! เพราะคลื่นเสียงของมึงจะถูกแปลงเป็นอัลตราซาวด์ แอ้จะไม่ได้ยินด้วยหู แต่สมองของเขาจะสามารถรับคลื่นความรู้สึกของมึงผ่านแก้วหูได้”
“โอเค” เชิงไทหัวเราะ แล้วเก๊กหน้าหล่อนิ่งๆ กดปุ่มก่อนทำเสียงทุ้มนุ่มกรอกใส่ไมค์
“แอ้! ผมรักคุณ!”
เกาทัณฑ์ในห้องคอนโทรลหัวเราะขำเสียงเพื่อน
“เดี๋ยวกูจะเปลี่ยนไปคุยกับแอ้นะ ฝั่งมึง ขอให้รักษาความรู้สึกชื่นมื่น หลงรักข้างเดียวนี้ไว้ดีๆ”
“ชะช่า! ไอ้น้อง! ดูถูกกันขนาดนี้มาแข่งกันดีกว่าไหม?”
เกาทัณฑ์ไม่สนใจคำท้านั้น เขากดปุ่มเพื่อสลับสัญญาณเสียงไปคุยกับเรือนแก้ว ซึ่งนั่งอยู่คนละห้องกับเชิงไท
“แอ้รู้สึกยังไง?”
“เอ่อ… ขำๆมั้งคะ เชิงพูดแล้วเหรอ?”
“พูดแล้ว และที่แอ้รู้สึกก็ถือว่าตรงกับอารมณ์ที่เชิงพูด”
“อารมณ์คือ?”
“เก๊กหน้าหล่อ ทำเสียงนุ่ม พูดว่า แอ้! ผมรักคุณ!”
เรือนแก้วหัวเราะเอื่อยๆ
“คราวนี้ตาแอ้พูดมั่งใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว! เอาเลย กดปุ่มแล้วพูดได้ ผมเปิดไฟสัญญาณบอกเชิงให้ตั้งใจรับฟังความรู้สึกของแอ้แล้ว”
“พูดคำเดียวหรือพูดเป็นประโยคดีกว่ากัน?”
“คำเดียวหรือเป็นประโยคก็ได้ ขอแค่ว่ามันสื่อความรู้สึกจากใจเดียว หนึ่งเดียวที่เป็นของจริงเท่านั้น”
หญิงสาวพยักหน้า กดปุ่มแล้วพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“เชิงคะเชิงขา! เราตกที่นั่งเดียวกัน แอ้ก็รักตัวเองม้าก… มากค่ะ!”
จริตจะก้านลอยหน้าลอยตาน่ารัก ที่มาพร้อมการออกเสียงชัดถ้อยชัดคำทรงพลังสะกดนั้น เกาทัณฑ์เห็นแล้วหรี่ตาคิดในใจว่า แม่คนนี้แรงฤทธิ์เกินต้าน ไม่น่ามีผู้ชายคนไหนรอดถ้าเธอคิดวางแร้วดักจริงๆ
“ผมขอเปลี่ยนไปคุยกับเชิงก่อนนะ” บอกเช่นนั้นแล้วกดปุ่มสลับสัญญาณเสียงไปคุยกับเชิงไท “แอ้พูดเรียบร้อย มึงรู้สึกยังไง? ใช้ความรู้สึกล้วนๆนะ ห้ามคิด!”
“แปลกว่ะ! เหมือนเห็นรูปร่างหน้าตาของนางชัดขึ้นมาวูบนึง ไม่รู้อุปาทานหรือเปล่า”
“แล้วความรู้สึกที่เกิดจากการเห็นชัดนั้นล่ะ?”
นักวิจัยหนุ่มถามย้ำ
“ก็ประมาณว่า…” เชิงไทคิดเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจพูดตามความรู้สึก เพราะเห็นว่าคุยอยู่กับเพื่อนที่สนิทที่สุดคนหนึ่ง “หลงรักหัวปักหัวปำมั้ง ตอนเกิดมโนภาพนางชัดๆ เหมือนมีแรงบีบหัวใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แปลกดีว่ะ”
“โอเค” เกาทัณฑ์กดปุ่มเพื่อเปิดให้ทั้งสองคนได้ยินเสียงเขาพร้อมกัน “ทั้งสองคนดูที่หน้าจอนะ เห็นไหม นั่นแหละค่าสัมพันธภาพที่เอไอมันตีความจากเสียงจริง ตลอดจนการสนองตอบทางชีวภาพจากทั้งสองฝั่ง”
เบื้องหน้าของทั้งสองคือ จอโฮโลกราฟิกขนาด ๑๒๐ นิ้ว ซึ่งเส้นแสงเรืองถูกเหนี่ยวนำให้ผุดขึ้นจากแผ่นกระจกใสไร้สี ลอยกลางอากาศอย่างไร้กรอบไร้โครง เหมือนข้อมูลโผล่จากความว่างเปล่า
ภาพตรงหน้ากำลังแสดงกราฟและค่าผลลัพธ์ตามพารามิเตอร์หลากหลาย ก่อนปิดท้ายด้วยข้อสรุปเป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวโตชัดที่มุมขวาล่างว่า ‘เพื่อนสนิท’
“โอ๊!” เชิงไทร้องแล้วโอดครวญเสียงละห้อย “ผมเป็นได้แค่เพื่อนเองเหรอเนี่ย?”
“เขาให้มาแค่นี้” เกาทัณฑ์ทำเสียงปรานี “มึงต้องรู้จักพอใจและขอบคุณในความเมตตาบ้าง”
“ท่าทางห้องนี้ทำวิจัยได้หลากหลายนะคะ เต้เรียกมันว่าอะไรนะ?”
“ไม่ได้คิดชื่ออะไรไว้โดยเฉพาะหรอกแอ้ แต่ตอนอยู่ที่เฮดควอเตอร์ พวกเรามักเรียกกันติดปากตามสภาพใช้งานว่า ‘นิวโรแล็บ’ นะ”
เชิงไทเปรยถามตามความสนใจแบบนักบัญชี
“เครื่องไม้เครื่องมือในห้องนี้คงแพงน่าดู ทั้งหมดถึงร้อยล้านไหม?”
“เกิน! ถ้าคิดเป็นเงินไทย แค่เครื่องตรวจจับความพัวพันทางควอนตัมก็ ๒๐๐ ล้านเข้าไปแล้ว ไหนจะสแกนเนอร์ฝังเพดานที่วัดคลื่นสมองกับคลื่นหัวใจได้จากระยะไกล ก็อีก ๔๐ ล้าน รวมกับเซ็นเซอร์ฝังผนังและพื้นอื่นๆ กับอุปกรณ์ในห้องคอนโทรล รวมเบ็ดเสร็จก็ราวๆ ๔๐๐ ล้านโน่น!”
“สำหรับบิ๊กเทคอย่างจีเนติกโอ๊ธ ถือว่าเศษเงินค่ะ” เรือนแก้วช่วยเสริม “เพราะแค่รายได้วันเดียว ขั้นต่ำก็สร้างห้องวิจัยนี้ได้ ๒ ห้องแล้วล่ะ บางวันที่เฮงๆอาจได้ถึง ๑๐ ห้องด้วยซ้ำ!”
“อะฮ้า!?”
เชิงไทร้องเสียงหลง ขณะที่เรือนแก้วสนใจมากกว่าเรื่องเงิน
“ห้องแล็บนี้ เอาไว้ฝึกคุยกันผ่าน ‘ข้อความที่ไม่ได้ยินด้วยเสียงพูด’ โดยเฉพาะหรือคะเต้?”
“จริงๆยังใช้ทำอะไรได้อีกหลายอย่างนะ คิดง่ายๆว่าห้องนี้เป็นเทคโนโลยีศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยให้การอธิษฐานขอเกิดเป็นพ่อแม่ลูก สมความปรารถนาได้จริงก็แล้วกัน”
“ให้แอ้เห็นภาพเป็นขั้นเป็นตอนหน่อยได้ไหม?”
“ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ จะต้องผ่านหลายด่าน เพื่อจูนให้เกิดแนวโน้มความเป็นพ่อแม่ลูกกัน”
“ด่านแรกคือ?”
“ด่านตรวจมนุษยธรรม เราจะตรวจสอบประวัติอาชญากรรมโดยได้รับความยินยอมจากผู้สมัคร กับทั้งวิเคราะห์ดีเอ็นเอและอีพิจีเนติกส์เพื่อหาความโน้มเอียงต่อพฤติกรรมเห็นอกเห็นใจและความกตัญญู”
“พูดง่ายๆว่าคนดีเท่านั้นมีสิทธิ์เข้าร่วม?”
“ใช่! เพื่อให้แบรนด์ ‘ขอเลือกเกิด’ เป็นที่จดจำว่า พ่อแม่จะได้ลูกมีความเป็นมนุษย์ และรู้สึกโชคดีที่มีลูก ส่วนลูกก็อุ่นใจว่าจะได้พ่อแม่ดีๆ มีคุณธรรมมาเลี้ยงดู”
“แล้วถ้าผู้สมัครเลวร้าย แต่ร่ำรวย และมีอิทธิพลพอจะบีบให้เรายอมปิดหูปิดตารับเข้าโครงการล่ะคะ?”
“จะมีด่านต่อๆมาที่ทำให้เขาไปไม่ถึงดวงดาว”
“โอเคค่ะ! งั้นต่อเลย ด่านที่สองคือ?”
“ด่านที่ผมตั้งชื่อว่า ‘ปรากฏการณ์ ๓ คน’ ด่านนี้เราจะให้ผู้สมัครทั้งหมดเข้าไปรวมกันในห้องที่แอ้นั่งอยู่ แล้วตรวจดูว่าสนามพลังชีวภาพของพวกเขาจะทำปฏิกิริยาต่อกันเองท่าไหน”
“วัดค่าอะไรบ้างคะ?”
“คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ ความแปรปรวนของชีพจร รวมถึงสนามแม่เหล็กชีวภาพของร่างกาย เราจะเห็นบนจอว่าสนามพลังจากพวกเขาอาจปรับจังหวะเข้าหากัน หรือรบกวนกัน แล้วเอไอจะตีความว่าพวกเขาเข้ากันได้หรือไม่”
“แค่มาปรากฏตัวด้วยกัน ก็รู้ผลแล้ว?”
“ผลเบื้องต้นนะ ไม่ใช่ข้อสรุป”
“แล้วด่านที่ ๓ ล่ะคะ?”
น้ำเสียงของเรือนแก้วส่อแววกระตือรือร้นตั้งใจฟังมากขึ้นทุกที
“ด่านตรวจสัมพันธภาพกลุ่ม อันนี้จะเน้นให้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อดูความเข้ากันได้ และอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันไหม เช่น แก้ปริศนาที่ต้องการความร่วมมือร่วมใจ”
“คนดี เข้ากันได้ มีเรื่องสนุกให้ผูกพันกัน”
เรือนแก้วเริ่มบันทึกเสียงใส่มือถือ เมื่อความเข้าใจเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
“ด่านที่ ๔ คือด่านร่วมบุญ เพื่อเชื่อมจิตสำนึกของทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน แบบเดียวกับอนุภาคควอนตัมที่ถูกพันธนาการเข้าไว้ด้วยกัน”
เชิงไทตาตื่น
“จิตวิญญาณเชื่อมโยงกับทฤษฎีควอนตัมด้วย?”
“ทฤษฎีใหม่ๆ มองว่าทุกอย่างในจักรวาลเข้าหลักควอนตัมได้หมดแหละ เหมือนที่ถ้ามีเหตุการณ์ให้สองอนุภาคเกิดพันธะต่อกัน ไม่ว่าพวกมันจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็จะมีผลกระทบต่อกันได้ตลอด หรือกลับมาเจอกันได้อีก”
“แปลว่าถ้าอยากเป็นพ่อแม่ลูกกันจริงๆ บุญที่ทำร่วมกันก็จะดึงมาเข้าท้องจนได้?”
“อย่างนั้น!”
“เต้เอาอะไรมาชี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์คะว่า พวกเขาร่วมบุญ และเกิดบุญร่วมกันแล้ว?”
“เมื่อพวกเขาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ตั้งใจทำบุญร่วมกัน จะเกิดดวงสว่างอย่างใหญ่ที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา อันนี้เราโชว์ให้เห็นเป็นภาพได้ผ่านเทคนิคใหม่ล่าสุดที่ต่อยอดมาจาก Gas Discharge Visualization”
“น่าสนใจมากๆ เหลืออีกกี่ด่านคะ?”
“ด่านที่ ๕ ด่านรู้ใจ ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับการซิงค์กันขึ้นมาอีกขั้น ด่านนี้ก็ที่แอ้กับเชิงเพิ่งลองกันไปนั่นแหละ”
“อ้อ!”
ทั้งเรือนแก้วและเชิงไทประสานเสียงอุทานราวกับนัดกันไว้ เกาทัณฑ์อธิบายว่า
“เมื่อฝึกโต้ตอบกัน ผ่านข้อความที่ไม่ต้องได้ยินด้วยหู คนเราสามารถรับรู้ความคิดของอีกฝ่าย อาจเป็นถ้อยคำ หรืออาจเป็นภาพ แบบที่เมื่อกี๊เชิงเห็นแอ้ชัดขึ้นมาในใจ”
“อย่างนั้นเหรอคะเชิง?”
“จริง!”
เชิงไทรับหนักแน่น เกาทัณฑ์เสริม
“อันนี้ทั้งสองคนรู้จักและมีความผูกโยงกันมาแล้วพอควร เลยรู้สึกถึงกันได้เร็วตั้งแต่ครั้งแรก สำหรับกลุ่มผู้เข้าร่วมโครงการ อาจต้องสื่อสารกันนานกว่านี้… ประเด็นคือเมื่อสานใจเข้ากันได้ ในที่สุดอาจสัมผัสอารมณ์กันได้แม้อยู่ไกล หรือกระทั่งสื่อสารสองทางแบบโทรจิต”
“อ๊ะ!” เชิงไทตาโต “คืนนี้เราจะเจอกันในฝันได้ไหมแอ้?”
เกาทัณฑ์เห็นจากห้องคอนโทรลแบบที่เชิงไทไม่มีทางเห็น นั่นคือเรือนแก้วเผลอย่นหน้าให้คำเชิญชวนนั้น แต่กลับตอบเสียงพลิ้ว
“น่าสนใจนะคะ นัดแนะกันก่อน จะได้แน่ใจว่าไม่มีใครฝันอยู่ข้างเดียว”
ดอกเตอร์หนุ่มหัวเราะหึหึ ในจักรวาลแห่งมายาแบบมนุษย์ คนส่วนใหญ่ยากจะปรับคลื่นจิตให้สอดรับตรงกัน เพราะเป็นธรรมดาเหลือเกินที่ปากพูดอย่าง ใจดันคิดไปอีกอย่าง
“เสร็จจากด่านรู้ใจ มาถึงด่านท้ายสุดที่เป็นยอดสุดกัน”
“ด่านอธิษฐานเหรอคะ?”
เรือนแก้วเดา
“ผมตั้งชื่อให้ว่า ‘๓ อธิษฐาน’ ซึ่งหมายความว่า ต้องมีพลังอธิษฐานเกิดร่วมกัน สมกันทุกฝ่าย”
“มีคาถามาตรฐานไว้ให้ท่องกันเลยไหมคะ? ข้าพเจ้าขอเกิดใหม่เป็นลูกพ่อลูกแม่ที่อยู่ตรงหน้า”
“มีดีกว่านั้น! ผมจะให้ทั้งสามนั่งบนเก้าอี้ไร้แรงโน้มถ่วงแบบที่แอ้กับเชิงกำลังนั่งอยู่ จากนั้นจะปล่อยกลิ่นคล้ายกำยานและไม้จันทน์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ากระตุ้นความจำให้เข้มข้นขึ้น”
“อันเดียวกับที่กูได้กลิ่นหอมๆนี่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ อันนี้ตะไคร้หอม แค่ช่วยให้ผ่อนคลายและกระชุ่มกระชวยเฉยๆ เหมาะกับการสร้างบรรยากาศกันเอง”
“ห้องบ้านี่ทำได้สารพัดจริงโว้ย”
“แล้วไงคะ? นั่งเอนสงบ ได้กลิ่นที่กระตุ้นความทรงจำให้เข้มขึ้น แล้วเกิดอะไรขึ้นอีก?”
“ในห้องที่ปิดไฟมืดและเก็บเสียงเงียบสนิท จะเกิดภาพเสียงที่เราบันทึกไว้ระหว่างสามคนอยู่ด้วยกัน คัดเฉพาะที่ตรวจจับได้ว่าเป็นห้วงเวลาที่เป็นสุขร่วมกัน ภาพและเสียงจะเหมือนความจำที่ลอยในอากาศว่าง เลียนแบบการทบทวนความจำแสนสุขของมนุษย์ จบลงด้วยเสียงกระซิบในหู ซึ่งเราใช้เอไอสังเคราะห์ขึ้นมาจากเสียงจริงของแต่ละคน เป็นข้อความอธิษฐาน เช่น ‘ฉันจะเกิดเป็นลูกพ่อต๊อกแม่แต๊ก’ หรือ ‘ฉันจะเป็นพ่อ’ หรือ ‘ฉันอยากเป็นแม่’ อะไรอย่างนี้”
“โห! เหนี่ยวนำให้รู้สึกเหมือนคิดเอง เต็มใจเองใช่ไหมคะ?”
“เรื่องความเต็มใจนี่ ทุกคนต้องมีอยู่ล่วงหน้าแล้ว”
เกาทัณฑ์แก้ความเข้าใจ
“พอจบด่านนี้ ก็ต่างคนต่างแยกย้าย รอผลลัพธ์ได้เลย?”
“อาจจะจบกระบวนการ หรืออาจจะยังต้องมีการทำซ้ำอีกหลายรอบ จนกว่าดัชนีความเหมาะสมของพ่อแม่ลูกจะถึงขีด”
“เต้เอาค่าพารามิเตอร์มาจากไหนคะ ถึงชี้ความเป็นพ่อแม่ลูกได้?”
“เราเก็บตัวอย่างค่าชีวภาพเชิงสัมพันธ์ของครอบครัวที่มีความสุขเป็นพันครอบครัว จนได้ค่าดัชนีความสุขขณะอยู่ด้วยกันที่แน่นอนมาเป็นเกณฑ์ชี้”
จากการเป็นฝ่ายมองได้ข้างเดียวจากห้องคอนโทรล เกาทัณฑ์เห็นสีหน้าของเรือนแก้วครึ่งเชื่อครึ่งกังขา ซึ่งก็สะท้อนว่าการนำเสนอของเขายังชนะใจเธอไม่ได้ขาด แล้วก็จริงอย่างที่คิด เมื่อเธอเผยความรู้สึกออกมาตรงๆในฐานะของผู้ที่จะต้องรับผิดชอบสื่อสารกับสังคมวงกว้าง
“เต้ออกแบบได้ใจมากค่ะ ทุกอย่างฟังดูเข้าที มีความสมเหตุสมผลไปหมด แต่ตราบใดยังไม่มีเด็กระลึกชาติคนแรกมาเป็นหลักฐาน ตราบนั้นโครงการของเราจะถูกมองเป็นวิทยาศาสตร์เทียมเท็จที่เอาไว้ถกเถียงกันอย่างดุเดือดไปอีกหลายปี”
“เออ! นั่นสิ” เชิงไทรับลูกทันที “ไหนขออีกที ตอนนี้มึงมีอะไรในมือมั่ง? อย่าลืมว่าแอ้ต้องเป็นด่านหน้ารับเสียงวิจารณ์ก่อนใครเพื่อนนะ”
“อันดับแรก เรามีหลักฐานที่เป็นดีเอ็นเอสองชาติที่สัมพันธ์กัน หลักฐานนี้จะทำให้นักพันธุศาสตร์ระดับหัวแถวอึ้งเงียบ และไม่กล้าออกมาวิจารณ์เราว่าเป็นโครงการขายฝัน”
“เคสเดียวไม่น่าเชื่อถือไหม?”
“มองอย่างนี้ ถ้า ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีข้างหน้ายังไม่มีเด็กระลึกชาติจากโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ ก็จะไม่มีใครตาย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้า ๓ ปีข้างหน้ามีเด็กคนแรกเกิดขึ้นมาแล้วส่งเสียงร้องยืนยันว่า เขาคืออดีตผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่สมัครเข้าร่วมโครงการ วันนั้นจะมีคนสร้างอนุสาวรีย์ให้พวกเรา คุ้มไหมกับการอดทนต่อเสียงล้อเลียน เสียงประณามหยามเหยียดต่างๆนานาตลอด ๓ ปี ที่จะผ่านไปแบบไม่มีใครจดจำ?”