แพตรีจบปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ แต่วันหนึ่งเมื่อเจ้าของโรงเรียนอมรเมธามาที่บ้านปู่ชนะประสาเพื่อนเก่า เห็นเธอแล้วเปรยเล่นๆว่าดูมีสง่าราศีครูบาอาจารย์ น่าให้ไปยืนแจกความรู้ในห้องเรียนมากกว่าไปนั่งอุดอู้อยู่ในแล็บที่ไหน
เธอก็ตอบปู่อมรไปว่า ตอนเลือกเรียน ใจเธอมาทางวิทยาศาสตร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ตอนเรียนจบ ใจเธอนึกถึงการสอนเด็กด้วยความอยากมีส่วนสร้างอนาคตใหม่
อยากผลิตอนาคตดีๆให้กับโลก
เมื่อซักกันจนปู่อมรแน่ใจว่าเธอไม่ได้พูดเล่น จึงชักชวนให้มาสอนที่โรงเรียนของท่าน โรงเรียนเอกชนไม่ต้องสอบบรรจุแบบโรงเรียนรัฐบาล แค่ต้องทำเรื่องให้ถูกกฎหมาย โดยปู่อมรจะช่วยทำเรื่องขอใบอนุญาตครูชั่วคราวให้
แพตรีตอบตกลงทันที และขอว่าถ้าเป็นไปได้ เธออยากสอนวิชาเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาให้กับเด็กด้วย ซึ่งปู่อมรก็เต็มใจยิ่ง บอกว่ามีหลักสูตรจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดีอยู่แล้ว
โรงเรียนอมรเมธาเป็นโรงเรียนของลูกหลานผู้มีอันจะกิน ซึ่งความหมายคือเด็กจำนวนมากตามใจตัวเอง เมื่อปู่อมรเตือนเกี่ยวกับจุดนี้ แทนที่แพตรีจะพรั่นใจ เธอกลับเห็นเป็นความท้าทาย และขอลองรับมือกับวัยที่ผู้ใหญ่รับมือได้ยากที่สุด ซึ่งปู่อมรก็จัดให้ โดยเริ่มจาก ม. ๑ ซึ่งอายุเฉลี่ยอยู่ที่ ๑๒-๑๓ ปี
วันนี้ เธอเดินตามระเบียงอาคารชั้นสองจนพบป้ายหน้าห้อง ม. ๑/๑ ที่นั่นมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจได้ยินออกมาถึงข้างนอก หญิงสาวตั้งจิตให้ตรงและแผ่นิ่งเป็นสมาธิ แล้วกำหนดรัศมีความสงบสงัดให้กว้างเท่าห้อง ซึ่งความรู้สึกภายในคล้ายเกิดเกราะแก้วแห่งความเงียบขนาดใหญ่ เข้าครอบสถานที่ทั้งมวลไว้
เปิดประตูพาร่างเข้าสู่ชั้นเรียน และทันทีที่เธอก้าวเข้ามา เสียงพูดคุยก็ชะงักเงียบลงทันที ราวกับเกิดคลื่นความนิ่งกดความวุ่นวายทั้งหลายให้สลายลงสู่ความราบคาบราบเรียบ
ครูสาวหน้าใหม่ปรากฏตัวในภาพผู้นำความเงียบ ซึ่งไม่ใช่แค่ระงับส่ำเสียงที่ออกมาจากปากเด็กนักเรียน แต่ยังเหมารวมไปถึงความว้าวุ่นซัดส่ายภายในใจของพวกเขาด้วย
นั่นเป็นอุปเท่ห์วิธีสะกดคนกลุ่มใหญ่ ที่คนเล่นกีฬาทางจิตใช้กันและมักได้ผลเสมอ แพตรีนำมาใช้เพื่อให้เด็กๆรู้สึกถึงความเป็นบุคคลสำคัญของเธอ โดยไม่จำเป็นต้องพร่ำสอนออกปาก
“นักเรียน! ทำความเคารพ”
เสียงหัวหน้าห้องดังขึ้น เด็กทั้งห้องพนมมือก้มหน้าไหว้พร้อมเพรียงกัน ตามธรรมเนียมที่โรงเรียนอมรเมธาวางไว้เพื่อให้เกียรติคุณครูทุกครั้ง
“สวัสดีครับ/ค่ะคุณครู”
แพตรียิ้มให้ มองกราดไปทั่วห้องที่เกลื่อนไปด้วยโหงวเฮ้งของเด็กมีบุญ เกิดกับพ่อแม่มั่งมี หน้าตาดี ได้เรียนที่ดีๆ
ทว่านั่นเป็นเรื่องของบุญเก่าที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
ยามใช้ใจสัมผัส แพตรีรู้สึกราวกับกำลังเห็นตุ๊กตาราคาแพง ทำจากวัสดุแสนดี ปักเย็บด้วยมืออย่างประณีต บางตัวเหมือนได้รับการทำความสะอาดมาสมตัว ทว่าบางตัวถูกเอาเข้าตู้อบที่ไม่มีใครดูแล เต็มไปด้วยเชื้อโรคและกลิ่นเหม็นหืน
หากกล่าวว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่มีกลิ่น ก็ต้องบอกว่าเกือบครึ่งห้องกำลังส่งกลิ่นคล้ายน้ำครำโชยคละคลุ้งได้ที่ทีเดียว!
“สวัสดีจ้ะนักเรียน!” แพตรีเปิดประกายเสียงเป็นมิตร แต่ขณะเดียวกันก็มีอำนาจแบบผู้ใหญ่ที่พูดแล้วเด็กต้องฟัง “ครูชื่อแพตรี วิมุตติมารา พวกเธอเรียกว่าครูแพก็ได้ เทอมนี้ครูมาสอนวิชาจริยธรรมและหน้าที่พลเมืองดีให้พวกเธอนะ”
แม้นั่นเป็นคำเปิดตัวธรรมดาๆ แต่นักเรียนทุกคนก็จ้องเป๋ง แพตรีคลี่ยิ้มกว้างขึ้น เพราะสัมผัสถึงความสนใจรูปโฉมของเธอ ตลอดจนความรู้สึกแปลกใหม่ที่มีต่อกัน และเธอก็เตรียมไว้แล้วว่าจะสร้างกระแสความคุ้นเคยอย่างไร
ครูสาวทอดเท้ามาข้างหน้าสองก้าวสั้นๆ เป็นลีลาเขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้น
“คราวนี้ให้ครูรู้จักพวกเธอหน่อย”
นักเรียนเตรียมยืนขานชื่อตนเองตามลำดับโต๊ะ อันเป็นวิธีที่นิยมทำกันทุกครั้งเมื่อพบครูคนใหม่ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครูสาวถามเด็กชายหัวหน้าชั้นซึ่งสั่งทำความเคารพเมื่อครู่ว่า
“เธอชื่อจักกายหรือเปล่านะ?”
เด็กชายเบิกตานิดหนึ่ง ก่อนรับมาจากกลางห้องว่า
“ครับ!”
“ครูไปค้นมา ‘จักกาย’ แปลว่าแม่ทัพใช่ไหม?”
“ใช่ครับ!”
“จริงๆเธอยังไม่แตกเสียงหนุ่มดี แต่เมื่อกี๊ตอนนำทำความเคารพ ครูรู้สึกถึงพลังความเชื่อมั่นคล้ายผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็อ่อนน้อมแบบพร้อมจะเป็นผู้น้อย นั่นทำให้ครูสนใจนะ ให้เดา ทุกวันนี้เธอยังไหว้คุณพ่อคุณแม่อย่างนุ่มนวลก่อนมาโรงเรียนอยู่ และเป็นการไหว้ด้วยใจ ไม่ใช่ถูกสั่ง ถูกไหม?”
“ครับ!”
“ความนอบน้อมต่อผู้ให้กำเนิดเป็นพลังชนิดหนึ่งนะ อย่างเมื่อเช้าเธอก็อาจจะเพิ่งคิดว่า เราเริ่มสูงเกือบไล่ทันคุณแม่ ต่อไปเวลาไหว้ต้องน้อมศีรษะให้ต่ำลงกว่านี้อีก อะไรทำนองนั้น”
เด็กอื่นๆฟังแล้วเฉย เพราะเป็นการได้ยินเรื่องของคนอื่นผ่านๆแบบไม่เกี่ยวกับตัวเอง กับทั้งนึกว่าคุณครูคงพูดยกตัวอย่างเรื่อยเปื่อย
แต่สำหรับจักกายคนเดียว ที่ได้ยินเข้าเช่นนั้นถึงกับตาค้างอ้าปากหวอ ในหัวระเบิดคำถามขึ้นมาดังๆว่า ‘ครูรู้ได้ไง?’
ทว่าก่อนที่จักกายจะได้รับการไขข้อข้องใจ คุณครูสาวก็เปลี่ยนโฟกัสอย่างรวดเร็ว
“คนนี้รจเลขใช่ไหม?”
แพตรีชี้นิ้วไปที่เด็กผู้หญิงมุมขวาแถวหน้าสุด ซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกคนทราบว่าคุณครูเริ่มเรียกชื่อตามลำดับที่นั่ง
“ค่ะ!”
เสียงขานรับของรจเลขไม่สดใสตามวัยเท่าใดนัก ฟังแล้วเห็นภาพเก็บตัวเหงาๆ และเต็มไปด้วยการรอคอยพ่อแม่มาหาแบบไม่ค่อยสมหวังเท่าใดนัก
“ได้ยินเสียงเธอแล้ว ครูนึกถึงตอนตัวเองก้มหน้าก้มตาทำงานแบบลืมเวลา เดาว่าเธอต้องขยันมากแน่ๆ”
รจเลขยิ้มรับเขินๆ ขณะที่เพื่อนใกล้ตัวบางคนพยักหน้าอย่างรู้ว่าใช่
แพตรีชั่งใจ ถ้าพูดต่ออย่างที่เธอเห็นจุกอกรจเลขมาแรมปี เช่น ‘หนูขยัน แต่หลายครั้งรู้สึกว่าไม่รู้จะขยันไปทำไม ในเมื่อไม่มีใครคอยชื่นชม’ เธอก็รู้ว่าแม่หนูจะต้องร้องไห้เดี๋ยวนั้น ซึ่งแรงไปสำหรับการเริ่มต้นทักทายกัน
“ถ้าเธอขยันด้วย สนุกกับการค้นหาตัวเองให้เจอด้วย ตอบตัวเองได้ด้วยว่าเราจะเป็นใครในอนาคต ครูว่าหนูจะไม่ต้องมานอนถามตัวเองทุกคืนว่า เราจะเป็นเด็กขยันตามคำสั่งใครไปเพื่ออะไร”
เช่นเคย ทุกคนในห้องฟังแล้วไม่รู้สึกอะไรนัก ต่างจากแม่หนูรจเลขที่ชะงักตาค้าง มองคุณครูคนสวยด้วยความงงงันอยู่คนเดียว เพราะเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธออยู่กับคำสั่งให้ขยันเรียนมาทั้งชีวิต แต่พ่อแม่ไม่เคยสนใจถามแม้กระทั่งว่าผลการเรียนเป็นอย่างไร
จะมีก็แต่ครูสอนพิเศษเท่านั้น ทำหน้าที่ดูแลแทน และรางวัลที่ดีที่สุดที่เธอจะได้รับจากครูสอนพิเศษ ก็คือสีหน้าโล่งอกกับการเห็นนักเรียนสอบผ่าน ในวิชาที่ครูรับผิดชอบอยู่
แพตรีปรายตามองโต๊ะถัดมา
“เธอชื่ออคินธรหรือเปล่า?”
“อะ… ครับครู”
เด็กชายร่างสูงโย่งเกินวัยตอบไม่เต็มเสียงนัก เหมือนแค่จะต้องเปิดฉากคุยกับคนไม่รู้จัก ก็เกิดความฝืนใจให้สัมผัสได้แล้ว
แพตรีมองสบตากับฝ่ายนั้นนิ่งก่อนถาม
“ทำไมเธอได้ชื่อนี้รู้ไหม?”
“เอ่อ… คุณแม่บอกว่าอยากมีลูกเก่งๆครับ”
“อื้อม์… เก่งแบบปราบรอบทิศ ไม่พ่ายแพ้ให้แก่ใครเลยด้วยนะ รู้ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ…”
เสียงนั้นแผ่วสิ้นดี แพตรีรับรู้ถึงความรู้สึกจุกอกที่มีมายืดเยื้อยาวนานจากฝ่ายนั้น มันชัดและน่าสงสารจนเธอเกือบเศร้าตาม ทว่าครูสาวก็ตั้งสติเปล่งประกายความสดใส คล้ายแสงอาทิตย์ที่สาดไปขับไล่ความหม่นหมองของคนวัยเยาว์
ฝั่งของอคินธร อยู่ๆก็รู้สึกสบายตัวขึ้่น ภายในสงบเบา คล้ายพลิกจากคว่ำเป็นหงาย รู้สึกว่าร่างครูเปล่งแสงมาถึงตน
“ตอนครูตัวเท่าเธอ คุณปู่สอนครูว่า ถ้าพยายามเก่งกว่าคนอื่นในวันนี้ เราจะแพ้มากกว่าชนะ แต่ถ้าพยายามเก่งกว่าตัวเองเมื่อวาน เราจะชนะอย่างเดียว ไม่แพ้เลย”
อคินธรสะอึก เพราะไม่เคยได้ยิน และที่แน่ๆคือไม่เคยมีผู้ใหญ่ใกล้ตัวที่ไหนสอนไว้อย่างนี้มาก่อน
“ครับ!”
“เพลินพิชชา เธอชื่อนี้ใช่ไหม?”
“ค่ะ!”
เด็กนักเรียนหลายคนเริ่มมองตากันเองงงๆ เพิ่งเคยเห็นครูท่องชื่อนักเรียนแล้วมาเรียกให้ขานรับทีละคนตามลำดับโต๊ะอย่างนี้
“ไฟกำลังแรงว่ะ”
เด็กชายตัวอ้วนๆ โหงวเฮ้งเจ้าพ่อใหญ่ในอนาคตกระซิบกับเพื่อนร่างผอมด้านซ้ายมือข้างตัว ทั้งสองนั่งอยู่หลังห้องรั้งท้ายสุด
“อือ! สงสัยนั่งท่องเป็นชั่วโมง”
คู่หูร่างผอมตอบกลับ เพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าได้ยินเข้า ก็หันหลังมาผสมโรง
“กูว่าสวยเช้งขนาดนี้ ชั่วโมงเดียวท่องไม่หมดหรอก ต้องสามวันเป็นอย่างต่ำ!”
“ครูครับ! อ้ายนี่บอกว่าครูสวยเช้ง”
เด็กร่างอ้วนตะโกนดังๆพร้อมชี้นิ้วฟ้อง นักเรียนชายแถบเดียวกันฮาครืน ท่าทางทุกคนในห้องคุ้นแล้วกับความทะลึ่งทะลุกลางปล้องของหมอนี่
แพตรีหยุดคุยกับเพลินพิชชา เบนสายตามาทางต้นเสียง ริมฝีปากยังระบายยิ้มอ่อน
“เธอตะโกนกลบเสียงครูอย่างนี้เสียมารยาทมากนะปรศุ”
เด็กชายปรศุทำหน้าเป็น ต่อตากับครูสาวอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่เพียงอึดใจเดียวก็หุบยิ้ม เกิดความตะครั่นตะครอประหลาด ถึงร่างจะบางระหง และแม้ดวงหน้าจะสะอางใสคล้ายพี่สาวใจดี แต่ปรศุก็รู้สึกได้ถึงรัศมีอำนาจที่ทรงพลังแผ่ขยายมาข่มขวัญให้ใจสั่นได้ ในที่สุดจึงต้องหลบตาไป
จากนั้น ครูคนสวยก็แปรสายตาคมๆมาจับเด็กชายซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าของปรศุ
“แล้วก็ฉมา! ครูบอกอะไรเธออย่าง เด็กแก่แดดมักจะงงตาค้างกับผลสอบวิชาจริยธรรมอยู่เสมอ”
เกิดเสียงหัวเราะครืนจากทั่วห้อง ฉมาคอหด นึกเคืองปรศุมากที่ประจานตนจนหน้าม้านอย่างนี้
บรรยากาศตกเป็นสิทธิ์ขาดของครูสาวมากขึ้น สุ้มเสียงปรานีที่มีความเฉียบคมอยู่ในทีนั้น ไม่ธรรมดานัก
“จ้ะ! เพลินพิชชา เรามาคุยกันต่อ”
ระหว่างคุณครูทำความรู้จักกับเพลินพิชชา ปรศุก็ชวนคู่หูนินทาอีก
“ไม่ต๊องแฮะคนนี้”
“เออ! แต่แปลกๆว่ะ”
พัลลภเอียงหน้าตอบเบาๆ ซึ่งปกติถ้าเป็นชั่วโมงครูคนอื่นเขาจะกล้าพูดดังกว่านี้
“ยังไง?”
“ท่าทางเหมือนอยากมาเป็นแม่เรา”
ทั้งคนพูดและคนฟังงอตัวซุ่มหัวเราะ ปรศุเหลือบตามองคุณครูหน้าชั้นด้วยแววผูกใจเจ็บที่ถูกกระหนาบ
“อยากทำความรู้จักกับนักเรียน ก็ต้องให้รู้จักซะหน่อย ไหนๆกูก็กลายเป็นคนเสียมารยาทไปแล้ว เอาตะขาบยางมารึเปล่า?”
ถามด้วยสำเนียงรู้กัน
“เฮ่ย! อย่าเลยวะจ้ำ... เอาของใหม่ดีกว่า งูเห่า! เหมือนของจริงเปี๊ยบ ยาวเฟื้อยรับรองเห็นแล้วหวีดดังไปแปดห้อง”
สองเด็กคะนองหัวเราะเงียบ ไม่ทันสังเกตว่าครูแพตรีปรายหางตาผ่านมา
“พัลลภ!”
เด็กชายพัลลภสะดุ้งสุดตัว เพราะนึกไม่ถึงว่าจู่ๆจะมีการลัดคิว ถูกเรียกตัวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดกะทันหันเช่นนั้น
“คะ... ครับ!”
“ตกลงจะคะหรือจะครับ มันทำให้ครูสับสนนะว่าเธอเพศไหน”
เพื่อนๆหัวเราะขรม
“ครับ…”
เสียงของพัลลภแผ่วลงแบบที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่าขี้หดตดหาย
“รู้ไหมทำไมครูลัดคิวเรียกเธอก่อน?”
“อะ… เอ่อ… ไม่รู้ครับ”
ครูแพตรีกอดอก ทำหน้าดุ แต่แทนที่เธอจะซักไซ้ว่าเมื่อครู่ซุบซิบอะไรกับปรศุ กลับกลายเป็นถามตามปกติเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
“รู้ความหมายของชื่อตัวเองใช่ไหม?”
“ครับ… พัลลภแปลว่า เอ่อ… ผู้ให้ความคุ้มกัน”
“ถ้าให้เธอเลือก เธอจะเลือกให้ความคุ้มกันคนแบบไหน คนดีหรือคนไม่ดี?”
“คนดีครับ”
“ตอบแบบรีบตอบให้ดูดี หรือว่าคิดดูดีแล้วถึงตอบด้วยใจจริง?”
สุ้มเสียงของคุณครูยังนุ่มนวล แต่กลับมีพลังแหลมคมบางอย่างที่กดดันมาก พัลลภไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อนในชีวิต ราวกับมีปลายหอกปลายดาบจ่อคอหอย คุกคามสวัสดิภาพจนต้องเกร็งตัว คล้ายจะฉี่ราดรำไร
“ผม… ผม…”
“เอาล่ะ! ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ครูหมายความตามนั้นนะ สำรวจให้ดีว่าเธอจะปกป้องคุ้มกันคนแบบไหน แล้วก็อยู่เงียบๆไปจนกว่าครูจะทักทายเพื่อนๆคนอื่นเสร็จ เข้าใจไหม?”
ราวกับถูกสาปให้เป็นหิน พัลลภไม่กระดุกกระดิก นอกจากนั่งกะพริบตาปริบๆ
แต่เมื่อครูสาวหันไปต่อบทสนทนาทำความรู้จักตามลำดับ ปรศุก็หันมาทวง
“เอาของออกมาสิโว้ย”
ปรศุต้องแปลกใจ เมื่อเพื่อนคู่หูกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่ทราบ พัลลภเอาแต่สั่นหน้าดิก ตาจ้องมองครูหน้าชั้นเหมือนคนคอตีบ ถูกล็อกไว้ให้พูดอะไรไม่ออก คล้ายถูกสะกดไว้ด้วยเวทมนตร์ขลัง
เด็กร่างอ้วนถึงกับเกาหัว ก้มตัวลงไปลากกระเป๋าสะพายจากใต้โต๊ะเพื่อนมาเปิดเอาของด้วยตนเอง ก่อนจะหันไปทางขวามือ
“เฮ้ย! ไอ้แก๊ก เดี๋ยวรอจังหวะกัน งานนี้กูมีรางวัลให้”
แพตรีใช้เวลาทำความรู้จักกับนักเรียนเรียงตามลำดับมาเรื่อยๆ มีทั้งเสียงหัวเราะ มีทั้งความเงียบอึ้งสลับกันตลอดระยะเวลาพูดคุย เด็กๆรู้สึกแปลกใหม่มากขึ้นทุกที
จนกระทั่งถึงคิวปรศุ ครูแพตรีแปรสีหน้าจากยิ้มละไมมาตลอด เป็นเรียบเฉยอ่านยาก เธอมองเด็กร่างกลมด้วยสายตาว่างเปล่า
“ปรศุ!”
“ครับผม”
เขาลอยหน้าลอยตา มองทางอื่น ขานรับด้วยการทำเสียงเล็กเสียงน้อย ส่อแววพร้อมยวนยีตีรวน ราวกับเห็นเธอเป็นเพื่อนเล่น
แทนการเปิดฉากจากความหมายของชื่อเหมือนเด็กอื่นๆ แพตรีกลับถามไปอีกทาง
“ครูอยากรู้ว่าเธอชอบอะไร สนุกกับอะไร ขนาดอยู่กับมันได้นานๆบ้าง?”
เด็กร่างอ้วนยิ้มเผล่
“ผมเป็นคนประทับใจยากครับครู รสนิยมเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์”
มีเสียงหึหึจากคนที่อยู่รอบข้างปรศุ และแพตรีก็ไม่แปลกใจเลยกับความเจ้าสำนวนของเด็กน้อยยุคโลกร้อนคนนี้ อันที่จริงเธอได้รับคำเตือนเป็นพิเศษมาล่วงหน้าจากปู่อมรและครูรุ่นพี่ด้วยซ้ำ เกี่ยวกับหัวโจกจอมกวนโทสะ ที่เป็นถึงลูกท่านรองนายกรัฐมนตรีคนนี้
“แล้วอาทิตย์นี้ รสนิยมช่างเปลี่ยนของเธอ ชวนให้ประทับใจอะไรมากกว่าเพื่อน?”
หมอนั่นเชิดปากส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม
“ไม่ครับ! อาทิตย์นี้ใจผมว่างเปล่าเหมือนอากาศโปร่ง”
“อ้อ...”
แพตรีไม่ใส่ใจกับอาการกวนโทโสเกินเด็กของปรศุ เธอหันหลังกลับไปหยิบปากกาหมึกแดงขึ้นมาเขียนไวท์บอร์ดเป็นรูปวงกลม พลางพูดทั้งยังหันหลังว่า
“สมมุติว่าวงกลมทั้งวงนี้เป็นชีวิตของพวกเธอ” แล้วแพตรีก็แต้มจุดที่ศูนย์กลางของวงกลม “แล้วนี่เป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำ เธอจะเห็นว่าวงกลมนี้ดูง่าย แค่มองมาที่จุดศูนย์กลางจุดเดียว ก็สามารถเห็นได้ครอบคลุมทั้งหมดของชีวิต”
หันกลับมา รู้สึกว่าเท้าเหยียบอะไรหยุ่นๆ เมื่อก้มดูก็เห็นงูยาวดำมะเมื่อมเป็นมันปลาบ หัวใจแทบหยุดเต้น แต่ด้วยเดชะแห่งกระแสสติที่บ่มตัวมาเนิ่นนาน ทำให้จิตรวมลงเท่าทันความตกใจ ก่อนเอะอะวี้ดว้ายเพียงเสี้ยววินาที
เงยหน้าขึ้น เห็นอาการจดจ้องรอคอยเขม็งของเด็กใจร้ายสองสามคนที่แถวหลัง กับทั้งสังเกตเห็นอาการของเด็กทั้งห้องที่ก้มหน้าลงมองต่ำ ก็รู้ทันทีว่าอะไรอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ แล้วก็ไม่มีใครทำอะไรได้ ต่อให้โวยวายขึ้นไปถึงเจ้าของโรงเรียนก็ป่วยการ
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับมาเฟียวัยละอ่อน ครูสาวจึงเหยียบงูค้างปลายเท้าอย่างใจเย็น พูดต่อจากที่คาไว้ด้วยเสียงเรียบสนิทไร้รอยต่อ
“พวกเธอเคยไหม? นึกถึงใครบางคน แล้วไม่ได้นึกถึงแค่ใบหน้าของเขา แต่ยังนึกถึงสิ่งที่เขาทำให้เห็นเป็นประจำด้วย นั่นแหละ แปลว่าชีวิตของเขามีจุดศูนย์กลางให้เรานึกถึง แล้ว...ปรศุ” แม่พิมพ์ของชาติเบนสายตามาที่หัวโจกจอมเกเร “ออกมาช่วยครูที่หน้าชั้นนี่หน่อย”
เด็กชายปรศุทำหน้าเหลอหลา เมื่อแพตรีเรียกซ้ำให้ออกมาที่หน้ากระดานด้วยเสียงเค้นเข้มกว่าเดิมก็ชักใจเสีย เกิดวูบความกลัวแบบเด็กๆขึ้นมา ถึงกับหันหน้าไปหาพัลลภ ซึ่งก็พบว่าเพื่อนช่วยให้กำลังใจเสียงเครือ
“เจอแส้ฟาดแน่มึงเอ๊ย!”
ปรศุนึกฮึด ลุกเดินออกจากที่นั่งอย่างจะแสดงให้เพื่อนเห็นว่าเขาไม่กลัวใคร โดยเฉพาะครูผู้หญิงตัวบางๆแค่นี้
มาถึงหน้าชั้น พ่อจอมป่วนก็เห็นครูคนสวยยืนเหยียบงูจากพรรคพวกของตนเฉยๆ ดูสงบ แต่น่าเกรงขาม จนทำให้ปรศุลืมไปชั่วขณะว่าตนเป็นลูกคนใหญ่คนโตของประเทศ
“จากคำตอบของเธอ ที่บอกว่าประทับใจยาก รสนิยมเปลี่ยนทุกอาทิตย์ น่าจะแปลว่า พอเพื่อนๆนึกถึงเธอ ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะนึกถึงอะไร”
ครูแพตรีดึงต้นแขนนักเรียนของเธอโดยละม่อมให้มายืนใกล้กระดาน ตำแหน่งวงกลมอยู่เสมอไหล่ของปรศุ ซึ่งสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันพอควร
“เราพอจะเอาเขามาเทียบเคียงกับวงกลมบนกระดานนี่ เป็นวงกลมที่ปราศจากจุดใดๆ”
พูดแล้วก็ใช้แปรงลบกระดานปาดจุดศูนย์กลางทิ้ง ซึ่งก็กลายเป็นว่า วงกลมที่เหลือมีความคล้ายกับรูปร่างของปรศุไปโดยปริยาย ทำให้บรรดาสหายชายหญิงร่วมชั้นหลุดหัวเราะออกมาเกินห้ามใจ จนปรศุต้องทำหน้าบูด แจกสายตาสะกดให้เลิกหัวเราะไปทั่ว
“แต่ชีวิตเธอก็มีความหมายนะปรศุ ใช่ว่าอาทิตย์นี้ไร้จุดรวมสายตาแล้วเธอจะกลายเป็นความว่างเปล่าไป” ครูสาวใช้น้ำเสียงจริงจัง ฟังอ่อนโยนจริงใจ “อย่างตอนนี้เธอช่วยครูได้ หยิบงูยางบนพื้นให้ที”
จอมเกเรเงอะงะ เพราะรู้แก่ใจว่างูมาจากตน อีกทั้งสายตาเพื่อนๆทั้งห้องที่จ้องมา ก็กดดันให้จำต้องก้มหยิบมันยื่นส่งให้ครูตามคำสั่ง
ทว่าครูแพตรีกลับไม่รับ เพื่อนๆที่ไม่รู้เห็นกับแผนการของตัวแสบต่างตะลึงตาโตกันเป็นแถวเมื่อเห็นงูดำยาวหย่องแหย่งน่าเกลียดน่ากลัวในมืออ้วนอูม
“รู้ไหมว่างูนี่ของใคร?”
ปรศุสั่นหน้า แพตรีจึงพูดต่อ
“ตอนอยู่ที่ร้าน มันคือตัวกระตุ้นคนเห็นให้อยากซื้อไปแกล้งคน แต่เมื่อมันมากองอยู่บนพื้นหน้าชั้นเรียนของครู เธอรู้ไหมมันมีความหมายยังไง?”
ปรศุสั่นหน้าซ้ำ แบบเด็กไม่มีสัมมาคารวะ ปล่อยให้คุณครูพูดไปคนเดียว
“มันคือความคิดอุตริของพวกเราบางคน แสดงถึงหัวจิตหัวใจที่ขาดน้ำเลี้ยงสะอาดๆ คิดแกล้งกระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งกำลังทำหน้าที่อันควรเคารพ ครูไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร แต่เมื่อมันมาอยู่ในเขตของครู ก็ถือว่าครูเป็นเจ้าของนะ ครูยกให้เธอ ปรศุ! นี่หวังว่าคงยกให้ถูกคนนะ ถ้าคิดจะแกล้งใครล่ะก็ ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ”
เด็กชายหุ่นลูกบาสได้แต่อั้นอึ้งพูดไม่ออก
“กลับไปนั่งที่จ้ะ! เอ้าทุกคนช่วยปรบมือให้กับผู้กล้าหาญจับงูยางของเราหน่อย”
เสียงปรบมือดังกราวราวกับฝนตก ปรศุเดินกลับที่นั่งด้วยสีหน้าพรรณนาลำบากสุดขีด ครูแพตรียิ้มแย้มกับนักเรียน หน้าตามีน้ำมีนวลเฉิดฉายชวนพิศวง
“ครูว่าเราเริ่มต้นทำความรู้จักกันได้ดีนะ พวกเธอว่าไหม?”