เม็ดฝนพรำเบาๆลงมาจากท้องฟ้าสีเทาหม่น เกาทัณฑ์เลี้ยวรถเข้าซอยวัดทางนฤพานด้วยความไม่แน่ใจนักว่า เขาจะมาเอาอะไรจากที่นี่ได้อีก
ตอนโทร.นัดหมายปู่ชนะ เขาพูดตรงๆว่าอยากนำเสนอแผนการให้ชัดขึ้น เผื่อปู่จะยอมรับแนวทางป้องกันภัยของเขา ท่านจึงไม่ขัด และอนุญาตให้มาพบได้
แต่นอกเหนือจากปู่ชนะ เขายังนึกถึงหลานสาวของปู่ด้วย ภาพและเสียงของเธอวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอด และเกาทัณฑ์ก็เกิดความอยากจีบผู้หญิงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ชีวิตเขาถึงจุดที่สาวๆสวยๆอยากพุ่งใส่มานานแล้ว แต่กับหลานสาวปู่คนนี้ ทำไมอารมณ์คล้ายเอื้อมเด็ดดอกฟ้า เหมือนแม้พยายามอย่างไรก็ไม่มีทางได้ชอบกล
รวมๆแล้ว บ้านปู่มีแต่กระแสปฏิเสธตัวตนของเขา เป็นเหตุบั่นทอนความภาคภูมิในตนเองหลายซับหลายซ้อน แล้วทำไมเขาถึงต้องดิ้นรนมาซ้ำ เหมือนใจคออยากได้ความเจ็บปวดเพิ่มเติมอีก?
ตอบตัวเองว่าที่นี่มีแรงดึงดูดน่าพิศวง เหมือนหัวใจร่ำร้องจะมาบ้านปู่ แม้จะไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลยก็ตาม
วันนี้เห็นแต่ไกลว่าประตูรั้วบ้านปู่เลื่อนเปิดโล่ง แว่บแรกดีใจ นึกว่าเปิดไว้รอท่าเพื่อให้เขาเข้าจอดในบ้าน แต่แล้วก็พบว่าผิดคาด เมื่อหันไปเห็นปู่ชนะและแพตรีกำลังหิ้วปีกหญิงสูงวัยร่างท้วม ท่าทางกำลังหมดสติคนหนึ่ง กลางลานปูนหน้าบ้าน ท่าทางกำลังทุลักทุเลกับการพาไปให้ถึงรถเก๋งโตโยต้าที่อ้าประตูหลังรอ
ชายหนุ่มจอดรถลงหน้าบ้าน ไม่เสียเวลาดับเครื่อง เปิดประตูรุดไปหากลุ่มคนผู้ลำบากอย่างรีบด่วน
“ให้ผมช่วยนะครับ”
เกาทัณฑ์แข็งขันอาสา สีหน้าของทั้งปู่ชนะและแพตรีดีขึ้นทันที
“อ้อ! เต้ มาพอดีจังหวะเลย”
ปู่ชนะกับแพตรีประคองโดยให้แขนทั้งสองของหญิงร่างท้วมพาดอยู่บนบ่าของทั้งคู่ แต่ด้วยรูปร่างของนางที่สูงราว ๑๗๐ เซนติเมตร ค่อนข้างท้วม แถมหมดสติ ร่างอ่อนปวกเปียก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหนึ่งสตรีกับอีกหนึ่งชายชราที่สูงไล่เลี่ยกันจะพาขึ้นรถ แพตรีต้องคอยประคองศีรษะที่เอนเอียงไปมา ขณะเดียวกันปู่ชนะก็ต้องเกร็งตัวอย่างหนัก
แต่เกาทัณฑ์ซึ่งร่างสูง ๑๘๔ เซนติเมตร และข้อลำกำยำเยี่ยงคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ สามารถรวบร่างของหญิงไร้สติขึ้นอุ้มปลิวจากพื้นด้วยสองแขนตามลำพัง แค่ฝืนเกร็งนิดหน่อย
“ไปรถผมเถอะนะครับ แถวสองเอนนอนได้สบาย ลดแรงกระแทกดีกว่า และแพจะได้คอยดูแลอยู่ข้างๆด้วย”
เขาเสนอ ซึ่งปู่ชนะก็พยักหน้ารับง่ายๆ แพตรีจึงไม่รอช้า เดินครึ่งวิ่งไปเปิดประตูขวาตอนหลังของรถเอสยูวีรุ่นท็อปของวอลโว่ให้
“แพช่วยกดปุ่มเอนทีนะ” ชายหนุ่มเอ่ยขอ โดยใช้นิ้วชี้จากมือซ้ายที่รองคอแม่บ้านชี้ปุ่ม “นั่นครับ! ปุ่มนั้น… นั่นแหละ”
เบาะแถวสองด้านขวาเอนลงถึงองศานอนสบาย เกาทัณฑ์ก็วางร่างในอ้อมแขนลงอย่างนุ่มนวล พอเขาถอนเท้าถอยหลังมา แพตรีก็ช่วยปิดประตูให้ แล้วหันมาบอกชายชรา
“ปู่พักอยู่กับบ้านเถอะนะคะ เมื่อกี๊แพเห็นหัวใจปู่เต้นแรงเลย”
ปู่ชนะผงกศีรษะรับโดยดี เพราะเห็นว่าหนุ่มสาวสองคนก็เพียงพออยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องฝืนนั่งรถไปด้วยให้เกะกะเปล่า
แพตรีสาวเท้าเร็วๆไปเอากระเป๋าสตางค์ออกมาจากรถของตน ดับเครื่องและปิดประตู แล้วมายกมือไหว้ขอปู่ชนะว่า
“ช่วยทำตัวให้แห้งด้วยนะคะ เหงื่อออกโชกปนฝนแบบนี้กลัวปู่ไม่สบายค่ะ”
“ไปเถอะ ปู่ดูแลตัวเองได้น่า”
แพตรีมาขึ้นรถเกาทัณฑ์ โดยนั่งแถวสองตอนซ้ายคู่กับคนเก่าคนแก่ของบ้าน ชายหนุ่มยกมือไหว้ท่านแบบรวบทั้งทักทายและขอลาชั่วคราว
“เดี๋ยวผมกลับมานะครับปู่”
“เออๆ!” เจ้าของบ้านยกมือให้แทนการรับไหว้ “ขอบใจมากนะที่ช่วย”
เกาทัณฑ์ก้าวสวบขึ้นประจำที่นั่งคนขับ ถอยรถเอาท้ายเข้าบ้าน แล้วหักซ้ายวิ่งกลับไปหน้าปากซอย ซึ่งแพตรีก็ต้องทำหน้าที่ระวังดูแลทันที โดยใช้มือประคองศีรษะคนป่วยไม่ให้เอนโยกหรือกระแทกเบาะ
คนขับลดระดับความเย็นและความแรงลมลง จากการเห็นหญิงสาวเปียกฝน เดาได้ว่าน่าจะหนาว และเมื่อมาถึงเกือบปากซอย เกาทัณฑ์ก็ปรับกระจกมองหลังภายในรถจากโหมดแสดงภาพจากกล้องหลัง มาเป็นกระจกเงาธรรมดา แล้วสองหนุ่มสาวก็ได้สบตากันผ่านกระจกนั้น
“ให้ไปไหนครับ?”
“จากปากซอย คลินิกจะอยู่ห่างไปทางซ้ายมือไม่ถึง ๕๐๐ เมตรค่ะ”
“ดูท่าทางป้าหน้าซีด น่าเป็นห่วงอยู่นะ ทำไมถึงไม่ตามรถพยาบาลมาล่ะ?”
“ตอนพบป้าก้อย แกหมดสติอยู่กับพื้นครัว น่าจะนานแล้วเหมือนกัน รอเรียกรถพยาบาลอาจช้าเกินไป แพกลัวเรื่องเลือดออกในสมองจากการล้มแรงๆ อีกอย่างพี่หมอที่จะไปหานี้ ก็เป็นเพื่อนบ้านติดกัน มีประวัติป้าก้อยครบด้วยค่ะ”
เกาทัณฑ์พยักหน้ารับ เข้าใจความเร่งด่วนตามคำอธิบาย เขาลอบยิ้ม เพราะสถานการณ์ช่วยยกระดับความสนิทขึ้นมาพรวดพราด จากเดิมที่เธอพูดกับเขาเหมือนคนแปลกหน้า บัดนี้มีคำอธิบายยาวๆให้กัน ลดช่องว่างที่ห่างเหินได้มหาศาล
สายตาแวะเวียนมองผ่านกระจกเงา เห็นแพตรีใช้นิ้วแตะข้อมือป้าก้อยเพื่อตรวจชีพจรด้วยความห่วงใย แถมก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆฝ่ายนั้นเพื่อดูว่ายังหายใจดีอยู่หรือไม่
“เดาว่าป้าก้อยคงอยู่กับแพมาตั้งแต่เด็ก” เกาทัณฑ์ก็เปรยนิ่มๆ “ดูจากระดับความห่วงใยนี่ เหมือนญาติมากกว่าเจ้านายกับลูกจ้างนะ”
พอได้ยินเช่นนั้น แพตรีก็ลดสีหน้ากังวลลง หันมาสบตาผ่านกระจกเงาก่อนตอบสั้นๆว่า
“เดาถูกค่ะ” แล้วเธอก็หันกลับไปกระซิบเรียกคนป่วยเพื่อเป็นการทดสอบและกระตุ้นให้มีการตอบสนอง “ป้าก้อย ได้ยินแพไหมคะ? ป้าก้อย หนาวไหม?”
“ผมลืมไป” เกาทัณฑ์เพิ่งนึกได้ “เบาะแถวสามมีผ้าห่มอยู่นะแพ เอามาห่มให้ป้าได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
แพตรีเอี้ยวกายไปหยิบผ้าห่มมาคลี่ให้ป้าก้อยทันที จากนั้นเธอก็จับจ้องข้างทาง เมื่อตึกแถวอันเป็นที่ตั้งของเป้าหมายปลายทางเขยิบใกล้เข้ามา
“ที่เห็นป้ายใหญ่ๆนั่นนะคะ ศูนย์แพทย์มติเวช”
เกาทัณฑ์เห็นคลินิกเวชกรรมขนาดสามคูหา เห็นสภาพพร้อมรับอาการแบบป้าก้อยแล้วจึงเข้าใจชัดขึ้นว่าเหตุใดปู่ชนะกับแพตรีจึงไม่คิดเรียกรถพยาบาลในย่านชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบทเช่นนั้น
หันหัวรถมาจอดห่างไปจากหน้าคลินิกไม่มาก และเมื่อแพตรีลงจากรถมายืนบนพื้นเป็นที่สังเกตได้ ก็มีบุรุษพยาบาลนำเตียงเข็นมารับถึงที่ทันที แสดงว่ามีการนัดหมายกันไว้เรียบร้อยล่วงหน้า
ฝนขาดเม็ดพอดี ชายหนุ่มลงมาเปิดประตูขวา ใช้สองแขนช้อนร่างของป้าก้อยยกขึ้นวางบนเตียงโดยไม่ต้องลำบากสองสามคนที่กรูมา พอร่างไร้สติวางบนเตียงเรียบร้อย บุรุษพยาบาลก็เข็นเตียงเข้าสู่ตัวอาคารทันทีอย่างคล่องงาน
แพตรียืนถอนใจโล่งอก และเมื่อนึกอะไรได้ ก็หันมาพนมมือไหว้เขาอย่างอ่อนช้อย ยิ้มเยี่ยงผู้รู้จักบุญคุณคน
“ขอบคุณมากนะคะ”
เกาทัณฑ์ยิ้มกระจายสุข รับไหว้แล้วบอกเธอว่า
“ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวมีบริการขากลับให้ด้วยนะ”
“ไม่รบกวนค่ะ ที่เหลือแพจัดการเอง” แล้วเธอก็รีบบอก “เดี๋ยวแพจะไปจัดการกรอกข้อมูล ยังไงเชิญไปคุยกับปู่ได้เลยนะคะ ไม่ต้องห่วงทางนี้แล้ว”
ชายหนุ่มก้มหน้า หลุบตามองพื้นถอนใจเฮือกหนึ่ง เธอยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลง เคยปิดประตูอย่างไรก็ยังคงปิดไว้อย่างนั้น นี่เสน่ห์ของเขามีไม่พอจะทำงานบ้างเลยหรือ?
หรือว่าเธอจะมีคนรักที่วิเศษวิโสกว่าเขาอยู่?
เชิดหน้าแบบตัดสินใจว่าตายเป็นตาย ยังไงก็ขอรุกเพื่อให้รู้ ดีกว่าไปนอนก่ายหน้าผากสงสัยตลอดชีวิตที่เหลือ
“พอดีผมมีเรื่องอยากขอปรึกษาแพ” เขาลดเสียงลงเหมือนคนกำลังมีปัญหาชีวิต “แพทราบใช่ไหม ผมมาคุยเรื่องงานกับปู่แล้วถูกปู่ปฏิเสธ?”
หญิงสาวสั่นศีรษะ
“ไม่ทราบอะไรเลยค่ะ ปู่ไม่ได้เล่า”
“ผมเล่าให้ฟังได้ไหม? อยากได้คำแนะนำดีๆจากแพ เผื่อจะเข้าใจปู่ และมีวิธีคุยกับปู่ได้ดีขึ้น”
เกาทัณฑ์ทำหน้าวิงวอนขอร้องได้น่าเห็นใจ แพตรีเงยหน้า หรี่ตาจ้องเขาครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจชี้
“เข้าซอยขวามือนี้นะคะ มีร้านชื่อ ‘หอมเนยปุยนุ่ม’ อยู่ในตึกฝั่งขวา เดี๋ยวแพกรอกข้อมูลป้าก้อยเสร็จแล้วจะตามไป”
ชายหนุ่มดีใจแทบกระโดด
“ได้! เดี๋ยวผมไปรอนะ”
ร้านที่เธอว่า อยู่ในตึกแถวที่แต่งร้านไว้สดใส โดดเด่น ผนังด้านหน้าเป็นกระจกใสบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติ ภายในอบอวลด้วยกลิ่นขนมปังปิ้งเนย มีโต๊ะไม้สีอ่อนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เข้าคู่กับเก้าอี้หวายพนักโค้ง และครบเครื่องเรื่องของกินเบาๆ เช่น นมเย็น ซาลาเปา ติ่มซำ เครป
ยังไม่มีลูกค้าอื่นใดนอกจากเขาเป็นโต๊ะแรก เกาทัณฑ์สั่งนมเย็นและขนมปังสังขยามากินเล่น รอคนสวยด้วยอารมณ์ชื่นมื่นยิ่ง จริงๆเขาเพิ่งผ่านวัยเรียนมาไม่นานนัก แต่อารมณ์ฝันละมุนหวานแหววชนิดนี้เหมือนร้างหายไปนานแสนนาน
นานจนรู้สึกแปลกเมื่อมันเกิดขึ้นอีกครั้ง
หลายปีที่ผ่านมา งานสูบเวลาในชีวิตไปทั้งหมด นึกไม่ออกว่าจะเอาเวลาที่ไหนมาสร้างสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ที่คิดสร้างครอบครัว แต่การมาบ้านปู่ในวันนี้ อาจสอนเขาว่าถ้ารักพอ ความรักจะผลิตเวลาให้พอเอง!
ไม่นานนัก แพตรีก็ปรากฏตัวตามมา
ที่นั่งติดผนังโต๊ะหน้าร้าน ทำให้เขาเห็นถนัด เธอเดินทแยงจากมุมตึกฝั่งตรงข้าม ข้ามถนนมาเนิบๆจากระยะไกล ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คอตั้งหลังตรงสง่างามแบบไม่ต้องพยายาม วันนี้เธอใส่เสื้อแขนสั้นกับกางเกงครึ่งเข่าสีทรายเข้ากัน ดูรูปลักษณะภายนอกเผินๆคล้ายวัยรุ่นอายุน้อย
เนื่องจากเตรียมไว้ก่อน ความเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องมือถือของเขา เกาทัณฑ์จับตามองเธอยิ้มๆ ความอ้อยอิ่งของการก้าวเท้าลงน้ำหนักแต่ละครั้ง คล้ายโน้ตดนตรีที่อ่อนโยน แต่ได้จังหวะจะโคนพอดี อาจเป็นเอวองค์และสรีระต่างๆที่สมส่วนยิ่งของเธอด้วย จึงทำให้ท่วงทีเดินเหินชวนชม ยิ่งมองยิ่งรื่นรมย์และหลงใหล
แพตรีรู้ตัวว่าถูกจับจ้องมาแต่ไกล เธอแค่มองไปทางอื่น และทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าเมื่อเปิดประตูร้านเข้ามาแล้วเห็นเขาคว่ำโทรศัพท์ จึงค่อยทราบว่า นอกจากจ้องด้วยตา เขายังบันทึกด้วยกล้องอีกด้วย
ลงนั่งตรงข้าม ยังคงมองทางอื่น เธอไม่ชอบสบตากับผู้ชายนัก เนื่องจากทราบดีว่า สายตาตนมีแววหวานประเภทละลายหัวใจคนได้ ตลอดมาจึงไม่อยากให้ใครคิดมาก แล้วก็ไม่เคยรู้สึกดีกับการมีใครต่อใครมาลุ่มหลง ตรงข้าม รำคาญแบบที่รู้สึกกับแมลงหวี่แมลงวัน แตกต่างกันมากกับผู้หญิงทั่วไปที่ยินดีกับการเป็นที่พิศวาสของชายทั่วหล้า
“แพสั่งอะไรหน่อยไหม?”
เกาทัณฑ์ชักชวนด้วยน้ำเสียงที่ใครฟังก็รู้เลยว่า เขากำลังควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้น
“ขอบคุณค่ะ แพเพิ่งกินข้าวเช้า” เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “มีอะไรให้แพช่วยก็รีบบอกมาเถอะนะคะ”
น้ำเสียงละมุนเหมือนมือนางฟ้าลูบผ้าแพรนั้น ช่างขัดกันอย่างน่าขันกับถ้อยคำเร่งรัดให้เขารีบพูดธุระเร็วๆ จะได้จบๆ
“ไม่กินก่อนเข้าเรื่องเหรอ?”
“ค่ะ! ไม่กิน”
เกาทัณฑ์เกือบไปต่อไม่ถูก เธอตั้งระยะห่างชัดเจน และไม่มีท่าทีว่าสนใจความเป็นเขาแม้แต่น้อย แต่แปลกยิ่ง แทนที่จะท้อและอยากถอย เขากลับนึกสนุกที่จะรุกต่อ เกิดความเชื่อมั่นที่ไร้คำอธิบาย เหมือนทุกสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าถูกเตรียมไว้หมดแล้วอย่างชัดเจน บางสิ่งกระซิบว่าเขาจะได้กอดเธอเร็วๆนี้!
ไม่ใช้เวลาคิดนานนัก เธอมานั่งอยู่ตรงหน้าเพราะเขาอ้างเรื่องงาน ฉะนั้นก็เรื่องงานนั่นเองที่สมควรยกขึ้นมาขอคำปรึกษา
“ผมทำงานกับบริษัทจีเนติกโอ๊ธ”
เกริ่นไปอย่างนั้นเอง เตรียมจะโฆษณาความยิ่งใหญ่ของบิ๊กเทคที่ตนกำลังทำงานให้ แต่นึกไม่ถึงว่านั่นทำให้นิลเนตรเบิกวาวขึ้นเฉียบพลัน
“เหรอคะ?”
ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ ถึงแม้บริษัทจีเนติกโอ๊ธจะเป็นเบอร์ต้นๆของโลก ก็ไม่ได้มีสักกี่คนแสดงท่าทีว่ารู้จักหรือสนใจ
“รู้จักด้วยหรือครับ?”
“ค่ะ! คลิปหลายๆคลิปของดอกเตอร์แม็กซ์นี่เปิดโลกเลย”
“แพเรียนจบอะไรมานี่?”
“วิทย์ค่ะ”
“อ้อ!”
ให้ตายเถอะ! ใครจะไปนึกว่าสิ่งที่เร้าใจเธอได้ ก็คือตัวตนของเขาเอง!
“ทำที่ออฟฟิศในซิลิคอนแวลลีย์หรือคะ?”
“ใช่เลย! อยู่มาตั้งแต่เข้าทำงาน แต่ตอนนี้มาเปิดสาขาในไทย และมีสิทธิ์ได้ทำอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ”
พูดจบ เกาทัณฑ์ก็ได้เห็นประกายตาตื่นเต้นและยิ้มโลกเปิดที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
“ไม่เคยได้ยินเลยค่ะว่าจีเนติกโอ๊ธมาเปิดสาขาที่นี่ด้วย ถือเป็นโอกาสใหม่ๆของคนไทยอีกหลายๆคนเลยนะคะ”
“เพิ่งเปิด ยังไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้หรอก แต่เราซื้อศูนย์อภิบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายชื่อดังไว้เป็นออฟฟิศเลยนะ”
“รู้สึกเลยค่ะว่าจะมีอะไรดีๆที่ยิ่งใหญ่มากๆเกิดขึ้น”
“อยากมาทำงานด้วยกันไหมล่ะ?”
ถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้เธอรู้ว่าอำนาจตัดสินใจอยู่ในมือเขาเดี๋ยวนี้เลย แต่หญิงสาวได้ยินแล้วส่ายหน้า
“ยากไปค่ะ แพไม่ได้เก่งขนาดนั้น แถมเพิ่งจบตรีหมาดๆ”
พูดอย่างรู้ว่าวุฒิขั้นต่ำที่เข้าขั้นทำงานกับจีเนติกโอ๊ธได้คือดอกเตอร์ หรืออย่างน้อยก็กำลังทำวิจัยบันลือโลกอะไรสักอย่าง
“คนเก่งบางคนในบริษัทเรา ไม่ได้มีผลงานเป็นนวัตกรรม แต่มีดีในทางประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเกิดการรับรู้นะ สเปกแบบแพนี่ ดอกเตอร์แม็กซ์จ้างไว้ในระดับสูงๆเยอะเลย”
เขาพูดเป็นจริงเป็นจัง และนั่นก็ทำให้แพตรีจำต้องเผย
“ถึงแพอยากทำ ก็คงรู้ช้าไปแหละค่ะ ตอนนี้แพได้งานที่ใจรักแล้ว และคงต้องทำไปอีกนานตามสัญญา”
“ทำอะไรหรือ?”
“สอนเด็กมัธยม”
เกาทัณฑ์ทำหน้าไม่ถูก ถ้าได้ยินว่าเธอทำงานได้เงินเดือนสูงลิ่วจากห้องแล็บที่ไหน เขาจะสู้ด้วยการเกทับสองเท่าสามเท่า แต่พอได้ยินอย่างนี้แล้วหมดแรง เพราะรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องของใจรักล้วนๆ เงินแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้
“เข้าใจแล้ว” ในที่สุดเขาก็ใช้น้ำเสียงชื่นชม “แพน่าจะกำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าเข้ามาอยู่กับจีเนติกโอ๊ธมาก”
“ปีไหนเลิกสอนจะขออนุญาตยื่นใบสมัครนะคะ”
“รอเลย!”
“ฝากบอกดอกเตอร์แม็กซ์ด้วยนะคะว่า แฟนคลับคนหนึ่งจากไทยอ่านงานของท่าน ทั้ง DNA is Cosmic Memory และ Quantum Grandeur ถือเป็นคัมภีร์ที่ช่วยให้เข้าใจทะลุทุกมิติเกี่ยวกับควอนตัมและดีเอ็นเอจริงๆ”
“รู้ไหมว่า Quantum Grandeur มีฉบับปรับปรุง?”
เกาทัณฑ์พูดยิ้มๆ แววตาแฝงนัยภาคภูมิใจในตน ซึ่งแพตรีมองปราดเดียวก็อ่านออกทันที ต้องมีการค้นพบบางสิ่งจากเขา ที่ทรงอิทธิพลขนาดทำให้ดอกเตอร์แม็กซ์ต้องแก้ไขเนื้อหาในหนังสือแน่ๆ
“บทไหนเกี่ยวกับอะไรคะ?”
“บทที่ ๗ ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ผมกับทีมพิสูจน์เบื้องต้นได้ว่า สนามพลังงานควอนตัมมีบทบาทในการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ ซึ่งแปลว่าถ้าหลักฐานชัดกว่านี้ เราอาจต้องแก้ตำราเรียนชีววิทยาทั่วโลก เกี่ยวกับวิวัฒนาการของชีวิต ที่เคยเชื่อกันว่า เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ มันไม่ใช่!”
แพตรีอึ้งงัน จ้องเขาด้วยแววสงสัยครามครันว่า ผู้มีสิทธิ์พลิกตำราชีววิทยา จะมานั่งกินขนมปังสังขยาอยู่ตรงหน้าเธอได้ด้วยหรือ
เกาทัณฑ์อ่านสายตาเธอออก ส่วนหนึ่งก็แอบยิ้มขำ หนำใจที่ความเก่งกาจของตนโดนเส้นเธอได้ แต่อีกส่วนก็รู้สึกว่าต้องรีบเคลียร์ภาพขี้โม้เกินจริงให้พ้นตัวโดยพลัน
“ถ้าแพกลับไปอ่านดีๆ จะเห็นชื่อผมกับทีมงานอยู่ในบทนั้นด้วย แพคงคุ้นนะ กับสไตล์เขียนหนังสือของดอกเตอร์แม็กซ์ที่จะยกย่องเด็กๆในสังกัดให้เป็นที่รู้จัก”
“อ๋อค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เสียงแปร่งไปเล็กน้อย “การค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นแทนที่ความเชื่อเก่าๆได้ทุกวันนะคะ”
“ยังไม่ถึงขั้นแทนที่ได้หรอก ผมกับทีมเพิ่งพิสูจน์ได้กับสัตว์เล็กอย่างเช่นยีสต์และไดอะตอม ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่ยากลำบาก ยังห่างไกลมากกับการไต่ระดับขึ้นมาแก้ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน เรายังต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำกว่านี้อีกพอดู กว่าจะทดลองกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เพื่อให้ทีมเราคู่ควรพอจะไปงัดข้อกับเขา”
แพตรีพยักหน้าน้อยๆอย่างเชื่อแล้วว่า กำลังนั่งอยู่กับหนึ่งในกลุ่มคนที่เกิดมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่
“ถ้าทำสำเร็จ คงมีทั้งการเปลี่ยนแปลง และมีทั้งนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมามากมายเลยใช่ไหมคะ?”
“แค่เอาไปโยงกับเทคโนโลยีควอนตัมได้ ก็เปิดช่องให้โยงกับทุกสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการได้นะ ไม่ว่าจะเป็นวิธียืดอายุ วิธีรักษาโรคลึกลับ หรือแม้กระทั่งไขความลับเกี่ยวกับที่มาของชีวิต เช่น พิสูจน์ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมจริงไหม”
แพตรีพยักหน้าอีก ขยับตัวแก้อาการเกร็ง อันเกิดจากการรู้สึกว่าตนเป็นคนแรกๆที่มีโอกาสรับฟังแนวคิดบันลือโลกนั้น
“งานยังไม่เสร็จ ทำไมหัวหน้าทีมมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”
“เพราะมีงานที่ท้าทายกว่า และส่งผลกับชีวิตมนุษย์ทั้งโลกได้แรงกว่า!”
“ยังมีโปรเจกต์ที่สำคัญกว่านั้นอีกหรือ?”
“มีสิ!”
เกาทัณฑ์ได้จังหวะตัดตรงเข้าประเด็น แล้วเรียบเรียงคำพูดแบบมีต้นมีปลาย เล่าเรื่องเด็กจีนระลึกชาติ การค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างดีเอ็นเอกับวิบากกรรม กระทั่งมาถึงโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ ซึ่งหญิงสาวรับฟังด้วยแววกระตือรือร้นสนใจยิ่ง
แต่ทว่าเมื่อขมวดปมสู่จุดโดนปู่ปฏิเสธที่จะให้คำปรึกษา บรรยากาศก็เริ่มต่างไป
“ปู่มองว่ามีโทษมากกว่าคุณ” เขาเปิดเผยตรงไปตรงมา “อย่างเช่นคนจะฆ่าตัวตายแสวงที่เกิดใหม่กันมากขึ้น แล้วก็อาจเกิดสงครามศาสนาในระดับที่คาดเดายาก ป้องกันยาก”
หญิงสาวรับฟังเงียบๆ สีหน้าเรียบเฉย ประกายความกระตือรือร้นมลายสิ้น และแค่เห็นเท่านั้น เกาทัณฑ์ก็พอจะทราบแล้วว่าเธอเชื่อปู่เหนือสิ่งอื่นใด อีกทั้งไม่มีทางมาเข้าข้างเขาด้วยกรณีไหนๆ
“ปู่ทิ้งท้ายไว้แบบไม่ปิดประตูเป็นเด็ดเป็นขาดเสียทีเดียว” ชายหนุ่มพยายามแง้มโอกาสให้ตนเอง “ท่านใช้คำว่า ‘จะคิดดูใหม่’ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมอยากมาคุยอีกที เผื่อมีวิธีที่ปู่จะสบายใจ ผมอยากถามแพในฐานะคนรู้ใจปู่ว่า ผมควรขอรบกวนปู่แค่ไหน จะเรียกว่าเป็นการเจอกันครึ่งทาง?”
แพตรีถอนใจเบาๆ
“ในฐานะหลานของปู่ แพรู้ใจปู่แค่ส่วนที่จะต้องดูแลท่านค่ะ แล้วในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่ง แพยังอ่อนด้อย ไร้วิจารณญาณใดๆไปคัดง้าง ให้เดาใจท่านว่าทำไมปฏิเสธนี่คงยิ่งไม่กล้า เพราะฉะนั้น คำแนะนำที่แพพอจะให้ได้ คือคุยกับท่านโดยตรงเถอะ”
เกาทัณฑ์สะดุดหูกับคำว่า ‘ลูกศิษย์’ ที่เธออ้างถึง เขาเริ่มคิดถึงหนทางออกที่ไม่เคยคิดมาก่อน และเมื่อคิดได้ก็ตาเป็นประกาย แอบยิ้มอยู่กับตัวเองเงียบๆ ซึ่งเมื่อแพตรีเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แพยังเด็กเกินไป ขอไม่เลือกข้างนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะคิดอะไรออกบ้างแล้ว” แล้วเกาทัณฑ์ก็เบี่ยงเบนมาคุยเรื่องส่วนตัวบ้าง “แพอยู่กับปู่มาแต่เด็กเลยหรือ?”
“คุณพ่อคุณแม่ของแพเสียในอุบัติเหตุเครื่องบินตกตั้งแต่แพยังแบเบาะค่ะ ปู่กับย่าเลี้ยงแพมาตั้งแต่นั้น”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณ”
“ผมไม่เคยเห็นคุณย่า…”
“เสียไปหลายปีแล้วค่ะ”
“อ้อครับ… ไม่ทราบว่าเหมาะสมที่จะเสนอตัวไหม แต่ในฐานะที่เพิ่งมีโอกาสบังเอิญได้ช่วยๆกัน ผมคิดว่าชะตาพวกเราน่าจะพึ่งพากันได้แหละ หากเกิดอะไรฉุกเฉิน จะเกี่ยวกับปู่หรือเกี่ยวกับป้าก้อย หรือจะกับแพเอง อยากให้คิดว่าเบอร์ผมเป็นเบอร์ฉุกเฉินนะ อยู่ในเครื่องปู่”
พูดอย่างรู้ว่ายังไม่ใช่จังหวะที่จะขอเบอร์เธอไว้ แต่อย่างน้อยก็รุกคืบเข้าไปอีกนิด
“ขอบคุณค่ะ”
เธอเปิดรับง่ายๆ เนื่องจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นค่ามาหมาดๆ จากนั้นก็ยกมือถือขึ้นมากดดูเวลาก่อนเงยหน้าบอกเขา
“ต้องขอตัวนะคะ อยากไปติดตามอาการป้าก้อยหน่อย ยังไงลองคุยกับคุณปู่ดูเถอะค่ะ ท่านว่ายังไงคงต้องเอาอย่างนั้น แพช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”
ภาพที่แพตรีเห็นจากใบหน้าของเกาทัณฑ์ก่อนจากกัน คือรอยยิ้มเยี่ยงผู้รู้ว่าจะได้สิ่งที่ต้องการมาด้วยไม้ไหน
“คุยกันครั้งนี้ ช่วยให้ผมได้ไอเดียแล้วล่ะแพ!”
ประตูรั้วยังคงเปิดค้าง เกาทัณฑ์ลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านได้โดยไม่ต้องกดกริ่งเรียกใคร
ปู่นั่งอยู่บนชั้นสองของเรือน และเกาทัณฑ์ก็ยกมือไหว้
“สวัสดีครับปู่”
ชายชราพยักหน้าแทนการรับไหว้
“ขอบใจมากนะเต้ แกมาได้พอดีจังหวะจริงๆ”
“เรื่องเล็กมากครับปู่ ตอนนี้น้องแพเฝ้าดูอาการป้าก้อยอยู่แล้ว ปู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
ลงนั่งใกล้ปู่แบบมีความเป็นกันเองมากขึ้น
“อือ! ยายก้อยอาจจะอายุมากแล้ว เดิมมีเด็กอีกสองคน ตอนนี้เหลือแค่ยายก้อยคนเดียว กำลังหาใหม่อยู่”
“ที่เห็นมาป้าก้อยดูดีทุกอย่าง”
“ใช่! ร้อยวันพันปียายก้อยไม่เคยเป็นอะไร แข็งแรงทุกอย่าง แต่บทจะล้มก็ล้มลงไปเฉยๆอย่างนั้นเอง ถ้าแกไม่มาพอดีจังหวะคงลำบาก”
“ผมบอกน้องแพไว้แล้วครับว่า ถ้ามีอะไรขอให้คิดว่าเบอร์ผมเป็นเบอร์ฉุกเฉินได้เลย”
“ขอบใจ!”
“ทราบจากน้องแพว่าปู่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ของน้องเครื่องบินตก แทนที่ผมจะรู้สึกว่าเป็นเคราะห์ร้าย กลับรู้สึกว่าเป็นชะตามหามงคล เป็นเส้นทางดีแสนดีที่แพจะต้องเติบโตมากับมือปู่มือย่า”
“เพิ่งคุยกันแป๊บเดียว รู้ประวัติความเป็นมากันดีเชียวนะ แกนี่ท่าทางทำความคุ้นเคยกับสาวๆได้ไว”
เกาทัณฑ์หน้าเจื่อนลงนิดหนึ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าท่านั้น ปู่กำลังยกไม้กั้นประกาศเขตหวงห้ามหรือไม่
“มีโอกาสคุยแค่แป๊บเดียวครับ กลัวคุยนานเดี๋ยวปู่ว่า”
ปู่ชนะหัวเราะ
“เอาเถอะ! ถ้าคุยนานได้ก็คุยไปเถอะ ฉันแค่ไม่เคยเห็นแพยอมคุยกับใครนานๆสักคน โดยเฉพาะผู้ชาย!”
ชายหนุ่มตั้งหลังตรง ที่จุดนี้เขาไม่แน่ใจนักว่าจะยกมือไหว้ขอบคุณปู่ให้ประเจิดประเจ้อไปเลยไหม เพราะแค่ปู่พูดสั้นๆ ก็เหมือนจะเปิดหมดทุกอย่าง ประมาณว่า ‘ถ้าเก่งก็เอาไป’ และ ‘แพยังไม่มีใครในตอนนี้’
“แพนี่คือชื่อเล่นใช่ไหมครับ แพแบบแพล่องน้ำ หรือแพรแบบผ้าแพร?”
“ชื่อจริงเขาคือ ‘แพตรี’ พ่อแม่เขาให้ฉันเป็นคนตั้ง ความหมายคือแพที่สร้างจากศรัทธา กรุณา และปัญญา ข้ามจากฝั่งร้ายไปฝั่งดี ข้ามจากมหันตทุกข์ในสังสารวัฏไปสู่บรมสุขในนิพพาน”
“ออกเสียงไพเราะ แล้วก็ความหมายดีจังครับปู่”
“ฉันตั้งให้ตรงกับสมบัติที่ติดตัวเขามา”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่เกาทัณฑ์จะขยับตัว
“แพบอกว่า นอกจากเป็นหลาน เขายังเป็นลูกศิษย์ของปู่ด้วย”
“คงเพราะฉันสอนให้สวดมนต์มา ตั้งแต่เขายังพูดแทบไม่ได้แหละ”
“เหมือนแพถูกจับวางมาเกิดให้ปู่ดูแลบนเส้นทางนี้ ตั้งแต่สวดมนต์จนมาได้ปฏิบัติธรรม”
“อือ… คงเป็นชะตา”
“ขอผมเป็นลูกศิษย์ของปู่อีกสักคนได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มพนมมือ ค้อมศีรษะลงด้วยความอ่อนน้อม “คราวที่แล้ว ความไม่รู้ทำให้ผมอยากได้ปู่เป็นที่ปรึกษา แต่คราวนี้ ความเข้าใจทำให้ผมปรารถนาจะขอปู่เป็นอาจารย์!”