งานแรกของเรือนแก้วคือเก็บสถิติว่า มีจำนวนผู้ป่วยระยะสุดท้ายของศูนย์ศานติธานกี่เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ เพื่อที่เธอจะได้ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการขออนุมัติวิจัยในมนุษย์
งานนี้ดูเหมือนง่าย น่าจะใช้เด็กนักศึกษาฝึกงานที่ไหนก็ได้มาคุยๆถามๆผู้ป่วยว่าจะเอาด้วยไหม
แต่ข้อเท็จจริงคือนี่เป็นงานยากมาก เพราะต้องสื่อสารกับคนใกล้ตายในเรื่องที่ไม่เคยมีใครในโลกทำมาก่อน ไม่ใช่เคาะประตูห้องเข้าไปถามดื้อๆว่า อยากเกิดใหม่กับพ่อแม่ดีๆไหม เราจัดให้ได้
คนจะทำตรงนี้ต้องมีบุคลิกน่าเชื่อถือ รู้รอบ ตอบได้หมด กับทั้งมีไฟที่จะทำความรู้จักพูดคุยกับคนใกล้ตายได้เหมือนญาติ คิดเองได้เฉพาะหน้าว่า จะจูงใจอย่างไร ไขข้อข้องใจท่าไหน คนใกล้ตายแต่ละรายจึงเกิดศรัทธา อยากเข้าร่วมโครงการด้วยความกระตือรือร้น
ผู้ป่วยในศูนย์ศานติธานล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ แล้วก็เข้าใหม่มาเรื่อยๆ เฉพาะวันนี้เดือนนี้ มีทั้งประเภทติดเตียง ไม่รู้สึกตัว ตลอดไปจนกระทั่งเดินไหว และสามารถพูดคุยระดับแสดงเจตจำนงยินยอมเข้าร่วมกิจกรรมใดๆได้เป็นปกติ ซึ่งแน่นอน กลุ่มหลังนี้เองคือเป้าหมายของโครงการ
ผู้ป่วยรายแรก
๙.๓๐ น. เรือนแก้วมาที่ชั้น ๕ ห้อง ๕๐๙ ตรงกับเวลาที่เธอแจ้งนัดคนไข้และญาติผ่านพยาบาลไว้แล้ว เมื่อเคาะเป็นสัญญาณขออนุญาตเข้าเยี่ยมแล้ว ก็เปิดประตูแง้มออกอย่างนุ่มนวล เพื่อดูว่าคนในห้องมีความพร้อมรับแขกหรือไม่
“เชิญครับ”
เสียงชายผู้เป็นญาติคนไข้ดังขึ้น เรือนแก้วจึงก้าวเข้าไปเต็มตัว ห้องนั้นเป็นที่พักพิเศษสำหรับผู้ป่วยฐานะดี แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยประตูกระจกเลื่อน ด้านในเป็นพื้นที่ของผู้ป่วย มีเตียงปรับระดับ เครื่องเฝ้าระวังชีพจร และเครื่องช่วยหายใจติดตั้งเรียบร้อย ส่วนด้านนอกจัดไว้สำหรับญาติ มีโซฟา เตียงพับ และโต๊ะเล็กๆ บรรยากาศเรียบง่าย แต่ดูอบอุ่นน่าอยู่น้องๆรีสอร์ต
บนเตียงคือหญิงสูงวัยผู้มีบุคลิกสง่างาม ดูนิ่งสงบ สมกับที่เคยเป็นประธานบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน เรือนแก้วมายืนข้างเตียงและพนมมือไหว้ด้วยความอ่อนโยน
“สวัสดีค่ะคุณวิรงรอง” แล้วก็หันไปไหว้ญาติซึ่งเป็นชายวัยกลางสี่สิบที่นั่งอยู่ข้างเตียงอีกฝั่ง “สวัสดีคุณพี่ด้วยค่ะ”
ญาติคนไข้รับไหว้ ขณะที่วิรงรองขยับมือขวาโบกทักให้เรือนแก้วนิดเดียว เนื่องจากเธอป่วยเป็นโรค ALS ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างค่อยๆอ่อนแรงลง และปัจจุบันอยู่ในระยะท้ายๆ
“สวัสดีจ้ะ”
เสียงพูดของวิรงรองเกือบเป็นปกติ แม้อาจช้าลงบ้าง เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจเริ่มอ่อนแรง แต่ก็ดูไม่เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารนัก สายตาสุขุมที่ผ่านการตัดสินใจยากๆมาทั้งชีวิตคู่นั้น เมื่อทอดมาสบกับเรือนแก้ว ยังคงส่องประกายลึกแบบคนเข้าใจโลก สะท้อนให้เห็นสติสัมปชัญญะที่ดีเยี่ยม
“แอ้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของศานติธานนะคะ” เรือนแก้วเปิดฉากแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงของคนที่ทำการบ้าน เตรียมขั้นตอนมาดี “ช่วงนี้อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ ยังเหนื่อยง่ายอยู่ไหม หลังจากได้รับการดูแลตามวิธีของเรา?”
“ก็เหนื่อยง่ายอยู่เหมือนกันจ้ะ อยากพัก อยากหลับบ่อยขึ้นเรื่อยๆ”
เรือนแก้วโน้มตัวเล็กน้อยเข้าหาวิรงรองเพื่อลดระยะห่างระหว่างกัน
“เป็นอาการที่พบบ่อยเลยค่ะ เพราะกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจในโรค ALS จะทำงานหนักกว่าปกติตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้ร่างกายอ่อนล้าง่ายกว่าคนทั่วไป สมองจะสั่งให้เข้าสู่โหมดพักเร็วขึ้น เพื่อประหยัดพลังงานไว้ใช้กับการหายใจเป็นหลัก”
คำอธิบายที่นุ่มนวลของเรือนแก้วกอปรด้วยความเห็นอกเห็นใจ กับทั้งให้ความกระจ่างราวกับเป็นคุณหมอหรือนางพยาบาล และนั่นก็มีผลให้คนไข้เกิดความอยากพูดคุยกับสาวหน้าใหม่ทันที
“ขอบใจจ้ะที่ช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่ละครั้งที่หมดแรงจะหลับ ป้ามักนึกเสมอว่าเป็นอาการของคนใกล้ตายไหม หลับแล้วจะได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า”
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นเร็วๆนี้หรอกค่ะคุณแม่ ถ้าง่วงบ่อยเป็นพิเศษ แอ้อยากให้คุณแม่วางแผนทำโน่นทำนี่ ในช่วงที่ร่างกายมีแรงที่สุดนะคะ อย่างเช่นถ้าช่วงเช้ารู้สึกตื่นๆ อยากคุยกับญาติ ก็ควรใช้ช่วงนั้นให้คุ้ม ส่วนช่วงบ่ายก็ปล่อยให้เป็นเวลาพักค่ะ อย่าฝืน อย่ากังวล ขอให้คิดว่าดีที่สุดที่ร่างกายรับใช้เราได้แล้ว”
วิรงรองยิ้มบาง สีหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบใจจ้ะ หนูพูดเหมือนเป็นหมอเลย” แล้วเธอก็ถามเพื่อความแน่ใจ “หนูชื่ออะไรนะ แอ้ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะคุณแม่” ย้ำสรรพนาม ‘แม่’ แทน ‘ป้า’ อีกครั้ง “เป็นเกียรติที่พวกเราได้ดูแลคุณแม่ แอ้เสิร์ชชื่อนามสกุลคุณแม่เลยรู้ว่าเป็นผู้หญิงเก่ง สร้างทำอะไรมากับมือ ทั้งชีวิตอยู่กับการแก้ปัญหาให้คนอื่นมานับไม่ถ้วน อ่านเรื่องของคุณแม่แล้วเกิดแรงบันดาลใจจริงๆ สาธุกับการมีชีวิตนี้ของคุณแม่นะคะ”
พูดจบก็พนมมือไหว้สดุดีฝ่ายนั้นอย่างงดงาม วิรงรองถึงกับพยายามรวบรวมกำลังสุดความสามารถที่จะยกมือทั้งสองขึ้นรับไหว้
“ขอบใจ…”
หางเสียงของสตรีวัยใกล้ฝั่งขาดหายไป ฟังออกว่าเป็นเพราะต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นตื้นตันลงคอ
เรือนแก้วยิ้มแบบแจกพลังแจ่มจ้าให้คนบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนเหลือบมองเครื่องช่วยหายใจ แล้วหันไปยิ้มกับญาติผู้ป่วยเป็นการแจกจ่ายความสนใจให้ทั่วถึง
“แอ้สังเกตว่าคุณแม่ยังพูดได้ชัดอยู่มาก เสียงยังมีกำลังสำหรับคนที่อ่อนแรงทางกาย สะท้อนว่าจิตใจยังเข้มแข็ง และมีความอบอุ่นใจอยู่กับบุคคลอันเป็นที่รัก”
“ครับ! พวกผมผลัดกันมาอยู่กับคุณแม่ตลอดครับคุณแอ้”
“มันมีพลังวิเศษอยู่นะคะ ถือว่าเป็นต้นทุนที่สำคัญมากๆ ปกติผู้ป่วย ALS หลายท่านจะค่อยๆพูดไม่ชัดเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณปากและลำคอเริ่มอ่อนแรงลง ถ้ายังใช้เสียงได้ดีแบบนี้ แอ้แนะนำว่าเต็มที่เลยนะคะ พูดในเรื่องที่อยากพูด บอกสิ่งที่อยากบอก จะช่วยให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องยังทำงานต่อเนื่องค่ะ”
ผู้เป็นลูกชายขยับตัว ยิ้มแย้มให้ด้วยความรู้สึกดีๆ แม้รู้ข้อควรปฏิบัตินั้นอยู่ก่อน แต่แปลกที่เมื่อฟังซ้ำจากเธอคนนี้ เขายิ่งเห็นบทบาทสำคัญของตนและครอบครัวชัดขึ้น ถึงขั้นตั้งใจจะขนครอบครัวมาเยี่ยมคุณแม่บ่อยกว่าเดิม
“ผมชื่อวิศรุต ขอบคุณสำหรับความใส่ใจนะครับคุณแอ้”
“เรียกว่าแอ้เฉยๆก็พอค่ะพี่ แอ้จะได้ไม่เกรงใจเวลาอยากปล่อยมุก”
“โอเคครับน้องแอ้ งั้นเรียกพี่ว่ารุตนะครับ เรามาเริ่มปล่อยมุกกันเลยไหม?”
ต่างฝ่ายต่างหัวเราะ วิศรุตผ่อนคลายและรู้สึกเป็นกันเองกับ ‘น้องแอ้’ ทันทีราวกับรู้จักกันมานาน อดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เก่ง มีเสน่ห์ แล้วก็เข้าถึงหัวใจใครต่อใครในเวลาอันสั้น เมื่อครู่เขากับแม่ยังซึมๆ รู้สึกอึ้งๆหนักๆอย่างไม่รู้จะพูดคุยอะไรกัน แต่บัดนี้ราวกับห้องเปิดรับแสงสว่างจากฟ้าใหม่ คล้ายเกิดกำลังใจ และเหมือนกำลังจะมีข่าวดีๆตามมา
“เมื่อกี๊หนูแอ้บอกว่าอยู่ฝ่ายบริหาร” วิรงรองเป็นฝ่ายชวนคุยอย่างมีเรี่ยวแรง เพราะนึกอยากให้หญิงสาวอยู่ด้วยอีกนานๆ “ปกติต้องเดินตรวจเยี่ยมเองอย่างนี้เลยเหรอจ๊ะ?”
“แอ้เป็นอีกทีมต่างหากจากฝ่ายบริหารชุดเดิมค่ะคุณแม่” สบตากับวิรงรองเต็มตา ก่อนหันไปมองวิศรุตเพื่อสื่อสารกับให้ฝ่ายนั้นโดยตรง “แล้ววันนี้ เป้าหมายก็ไม่ใช่มาเยี่ยมเยียนธรรมดา แอ้ยังอยากสำรวจความคิดจากคุณแม่และพี่รุตด้วยค่ะว่า ถ้าศานติธานมีไอเดียใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆ สร้างเป้าหมายใหม่ๆที่ล้ำไปกว่าแค่บรรเทาอาการเจ็บป่วยในแต่ละวัน คุณแม่กับพี่รุตจะสนใจเพียงใด”
วิรงรองพยักหน้าช้าๆ ดวงตาเหมือนจะยิ้มได้อีกนิด พูดจาได้ใกล้เคียงคนปกติขึ้นอีกหน่อย
“แม่เห็นหนูแอ้ก็รู้แล้วว่า เป็นพวกไม่ชอบอะไรเก่าๆ ซ้ำๆ แต่จะมีความสุขกับการสร้างอะไรแปลกใหม่ให้กับแวดวงของตัวเอง”
“ใช่ค่ะ! หนูเป็นพวกอยู่ไม่สุข” เธอหัวเราะน่ารักประกอบคำพูด “หนูจะให้คะแนนตัวเองเป็นศูนย์ ถ้าคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้คุณแม่แฮปปี้มากขึ้น”
พูดจบแล้วนิ่ง เพื่อให้คำของตนแฝงความเงียบเข้าไปถึงความรู้สึกของผู้ป่วยและญาติ ซึ่งได้ผล ทั้งสองทราบทันทีว่ามีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหวังอันบรรเจิด รอการเปิดเผยอยู่ในไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“พี่ต้องจำไปใช้บ้างแล้ว” วิศรุตทำเสียงชม “จังหวะจะโคนของน้องแอ้นี่ได้โล่แน่ครับ พี่อยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าไอเดียของน้องแหวกแนวขนาดไหน”
ทุกคนรวมทั้งวิรงรองหัวเราะร่วมกันอีก
“คุณแม่คะ” เรือนแก้วทำตาโตจ้องวิรงรอง ยื่นหน้าเอื้อนเอ่ยเสียงใสเยี่ยงมืออาชีพในทางสื่อสาร “หนูทราบว่าถึงแม้คุณแม่จะวุ่นวายกับการงานมาตลอดชีวิต แต่คุณแม่ก็ริเริ่มโครงการเพื่อสังคมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับเด็กยากไร้ในที่ห่างไกลความเจริญ”
“ใช่จ้ะ! ตอนแรกแม่ทำตามการชักชวนของเพื่อนไปอย่างนั้นเอง มันเกี่ยวกับการหักภาษีด้วย… แต่พอลงพื้นที่จริงแล้วติดใจ มีความสุข ก็ทำมาเรื่อย”
“แอ้ได้ยินมาว่า ถ้าทำบุญทั้งชีวิตจนเป็นสุขมากพอ คนคนหนึ่งจะเชื่อเรื่องชีวิตหน้าขึ้นมาเองจากข้างใน เหมือนรู้สึกว่ามีอะไรดีๆรออยู่ อันนี้เป็นเรื่องจริงที่ใช้ได้กับคุณแม่หรือเปล่าคะ?”
จะเคยผ่านร้อนผ่านหนาว เชี่ยวชาญทางโลกเพียงใด พอพูดถึงชีวิตหลังความตาย แม้ผู้อยู่ในวัยอาวุโสอย่างวิรงรองก็มักอ้ำอึ้งเหมือนคนไม่รู้อะไรเลย โดยเฉพาะเมื่อใกล้เวลา จวนตัวเข้ามา จนคล้ายเหลืออีกสองสามก้าวก็จะไปถึงจุดนั้น
“แม่บอกตามตรงนะ” เธอคายความในใจแบบคนอยากปลดปล่อยมานาน “ชีวิตแม่ทำทั้งเรื่องดีและไม่ดีไว้มาก แล้วพอรู้ตัวว่าจะตาย ก็อดห่วง อดอาลัยลูกหลานไม่ได้ แม่ไม่สามารถนึกถึงบุญกุศลที่ทำมาจนมีความสุขอยู่ตลอดเวลาหรอกจ้ะ เลยไม่รู้จริงๆว่า ตัวเองมั่นใจแค่ไหนเกี่ยวกับคติข้างหน้า”
“ค่ะแม่! เมื่อใกล้เวลา ทุกคนค่อยรู้ว่าของจริงไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรายังไม่มีวิธีที่จะรู้ชัดว่า จบจากตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของอะไรต่อกันแน่”
สองแม่ลูกรับฟังเธอกล่าวด้วยความตั้งใจ แต่เรือนแก้วสัมผัสได้ว่าวิศรุตเกร็งตัวขึ้นมาหน่อยๆ แบบคนเริ่มเข้าโหมดระแวง เพราะเมื่อใดมีการพูดคุยเรื่องชีวิตหลังความตาย เมื่อนั้นย่อมเกิดปัญหาโลกแตกอันเกิดจากความเชื่อที่ต่าง
แล้วก็เป็นไปตามที่เรือนแก้วรู้สึก หลังเธอกล่าวจบเพียงไม่กี่พริบตา วิศรุตก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขรึมกว่าเดิม
“ทางศานติธานมีข้อเสนอทางศาสนาให้เราเลือกหรือครับน้องแอ้?”
หญิงสาวรีบสั่นศีรษะ และหันมาสบตาตรงกับเขา กับทั้งรักษาน้ำเสียงเป็นกันเองระดับเดิมไว้
“เรามีทางเลือกที่เป็นวิทยาศาสตร์ จับต้องได้ วัดผลได้ ทำซ้ำได้ค่ะพี่รุต ส่วนความเชื่อทางศาสนาตามมาทีหลัง”
“เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อแสดงความจริงของโลกตรงหน้า หรือเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อรับใช้ความเชื่อเบื้องหลังตัวเราครับ?”
คำถามโต้งๆนั้น บ่งชัดว่าวิศรุตไม่ใช่คนมีทัศนคติเป็นบวกทางศาสนาสักเท่าไร รวมทั้งน่าจะเคยหมกมุ่นกับประเด็นถกเถียงหลากแง่หลายมุม เยี่ยงคนที่เข้าใจวิทยาศาสตร์พอตัว
“เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันความเชื่อเรื่องภพชาติค่ะพี่รุต”
เรือนแก้วตอบตรงไปตรงมา ทว่าขณะเดียวกันก็ลดดีกรีความแรงของข้อสังเกตจากวิศรุตลง โดยเปลี่ยนคำว่า ‘รับใช้’ เป็น ‘ยืนยัน’ แทน
“อ้อ! ครับ”
สายตาของวิศรุตยังคงเล็งตรงมาที่เรือนแก้ว แบบคนกำลังเข้าโหมดพร้อมจะรับฟัง แต่ก็ไม่เกรงใจที่จะปฏิเสธทันทีเมื่อได้ยินอะไรผิดหูนิดเดียว
“ขอเล่าเพื่อปูพื้นให้พี่รุตและคุณแม่เข้าใจทั้งหมดอย่างนี้ค่ะ ศานติธานกำลังทำวิจัยร่วมกับบิ๊กเทคระดับโลก คือ จีเนติกโอ๊ธ ซึ่งเชี่ยวชาญเป็นเบอร์ต้นๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพพันธุศาสตร์ประยุกต์”
สีหน้าของวิศรุตคลายลงทันที
“อย่างนั้นหรือครับ?”
“ค่ะพี่”
วิรงรองเหลือบตามองผู้เป็นลูก
“รุตรู้จักหรือ?”
“ดังอยู่ครับแม่”
เรือนแก้วถอนใจโล่งอก ถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องยืนยันตัวตนกันวุ่นวายนักกับเคสแรก แต่เธอก็รู้ล่วงหน้าว่าเคสอื่นๆคงไม่โชคดีอย่างนี้ ส่วนใหญ่คงต้องเปิดคลิปให้ดูอาคารและผลงานต่างๆของจีเนติกโอ๊ธกันพักหนึ่ง กว่าจะเข้าเรื่องได้
“เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ยังไม่ตีข่าวให้เป็นที่รับรู้ทั่วไปนะคะ เรามีหลักฐานทางดีเอ็นเอว่าเด็กจีนคนหนึ่งที่ระลึกชาติได้ มีส่วนสอดคล้อง เข้ากันได้กับเจ้าของโรงงานคนหนึ่งที่เพิ่งเสียชีวิตไป”
สองแม่ลูกได้ยินเช่นนั้นก็ตัวทื่อ จ้องตัวแทนจีเนติกโอ๊ธเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง วิรงรองถึงกับคราง
“ในที่สุดวิทยาศาสตร์ก็ทำได้แล้วหรือนี่?”
“เจ้าของจีเนติกโอ๊ธ ซึ่งเป็นถึงนักวิจัยรางวัลโนเบล เห็นหลักฐานเบื้องต้นเข้า ก็ถึงกับอนุมัติโครงการระยะยาว และศานติธานก็คือสถานีวิจัยหลัก”
”เขารู้จักกับกลุ่มผู้บริหารของน้องแอ้หรือครับ?“
“เขาซื้อศานติธานเลยค่ะ! ถ้าให้เล่าตรงๆคือเขาเพิ่งเกณฑ์แอ้มาทำงานให้ และคุณแม่คือเคสแรกที่แอ้เลือกมาพูดคุยด้วย!”
วิศรุตยกมือกอดอก ท่าทีเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้สนใจใคร่รู้
“น้องแอ้อยากได้ความร่วมมือจากพี่และคุณแม่อย่างไรหรือครับ?”
“อยากให้พี่และคุณแม่ได้มีส่วนร่วมกับเราในการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ค่ะ!” เรือนแก้วเชิดคางขึ้นสูง เอามือไพล่หลัง ยืดอกแสดงความภาคภูมิใจ เปล่งประกายความเชื่อมั่นเต็มกำลัง “เรากำลังจะเปลี่ยนความไม่รู้จะเชื่ออะไรดี ให้กลายเป็นเชื่อจากหลักฐานจับต้องได้ โดยจะสร้างเด็กเกิดใหม่จำนวนมากที่ระลึกชาติได้ว่า เคยอยู่กับเราที่ศานติธานมาก่อน!”
ทั้งชายหนุ่มและหญิงชราขนลุก เขยิบความรู้สึกจากเรื่องไกลตัว มาเป็นใกล้ตัว แล้วลงเอยเป็นเรื่องของตัวเอง
“โครงการอะไรครับน้องแอ้?”
วิศรุตถามด้วยเสียงแหบพร่าจากความตื่นเต้น
“ชื่อโครงการคือ ‘ขอเลือกเกิด’ ค่ะพี่รุต ศานติธานจะขอความสมัครใจยินยอมจากคุณแม่ ในห้วงเวลาที่ท่านยังเปี่ยมด้วยสติสัมปชัญญะ เพียงพอจะกำหนดชีวิตหลังความตายให้ตัวเอง!”