บทที่ ศานติธาน


ที่โต๊ะทำงานไม้เชอร์รี่สีเข้ม เกาทัณฑ์กำลังจับจ้องจอมอนิเตอร์ขนาด ๓๒ นิ้ว รับชมคลิปใหม่ที่จะใช้โปรโมตศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

เริ่มคลิป เป็นภาพมุมมองจากกล้องโดรนที่แพนผ่านพุ่มไผ่ไหวเอน ก่อนพุ่งขึ้นเผยให้เห็นทุ่งโล่งเขียวขจีอาบแดดสีทอง เส้นขอบฟ้าราบเรียบไร้อาคารบ้านเรือนขวางสายตา

จากนั้น เริ่มเสียงบรรเลงดนตรีแนวผ่อนคลายที่ไพเราะเพราะพริ้ง กล้องโดรนร่อนลงต่ำอย่างนุ่มนวล เข้าหาและส่องป้ายไม้ใหญ่สลักอักษรสวยเป็นชื่อสถานที่ แบ่งเป็น ๒ บรรทัด บรรทัดบนคือ ‘ศูนย์ศานติธาน’ ส่วนบรรทัดล่างคือ ‘Deva Haven’

ช็อตต่อมา ภาพกระชากจากป้ายชื่อขึ้นสู่มุมมองเบื้องสูง เผยให้เห็นอาคาร ๑๒ ชั้นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว เรียบง่ายแต่สง่างาม แนบเนียนเข้ากับธรรมชาติด้วยสถาปัตยกรรมแนวออร์แกนิกโมเดิร์น ผนังสีขาวนวลตัดกับลายเงาไม้บางเบา หลังคาปกคลุมด้วยหญ้าธรรมชาติให้กลืนหายไปกับแนวทุ่งโล่งรอบด้าน

กล้องโดรนค่อยๆร่อนต่ำลงอย่างนุ่มนวล เคลื่อนเข้าใกล้หน้าต่างบานกว้างใหญ่ของห้องพักหนึ่ง ม่านสีขาวโปร่งพลิ้วแผ่วตามสายลมในวันแสงสวย แล้วผ่านหว่างประตูเลื่อนที่เปิดอ้า เข้ามาเห็นภายในห้องพักอันเงียบสงบ เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน วางตัวสุภาพเรียบร้อยใต้แสงแดดอุ่นที่สาดฉายเข้ามาอย่างอ่อนโยน

ผู้ป่วยหญิงวัยชราคนหนึ่งนั่งรถเข็นไฟฟ้าที่เธอบังคับเอง ให้เคลื่อนมาที่ระเบียง มุมกล้องค่อยๆแพนกลับออกไปชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างตามสายตาของเธอ เห็นขอบฟ้ากว้างใหญ่ ไล่เฉดจากทองแสดถึงฟ้าม่วงอ่อน สะท้อนดวงอาทิตย์แดงเรื่อที่ใกล้ลับตา ภาพตัดมาที่ครึ่งตัวของหญิงชราผู้กำลังมองขอบฟ้ายามอาทิตย์อัสดงด้วยใบหน้าสงบ แสงทองสาดจับเสี้ยวใบหน้าของเธอ กล้องค่อยๆซูมเข้าใกล้รอยยิ้ม ที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการรู้แจ้งว่ามีฉากใหม่ที่แสนผาสุกรออยู่อีกฟาก

คลิปจบโดยไม่มีโลโก้ ไม่มีสโลแกนใดๆ ส่อให้เห็นว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างที่สร้างจากสถานที่จริง อีกทั้งมองแล้วรู้ว่า หญิงชราในฉากจบสร้างขึ้นด้วยเอไอ เป็นการจัดทำเพื่อให้ผู้ว่าจ้างเห็นภาพรวมว่า โฆษณาได้อารมณ์ที่ต้องการหรือไม่

เกาทัณฑ์พิงหลังกับเก้าอี้ ยกมือถือโทร.หาเพื่อนร่วมงานคนเก่งทันทีที่ดูคลิปจบ

“สวัสดีค่ะท่าน!”

ปลายทางส่งเสียงใสทักทายดังๆด้วยสำเนียงพินอบพิเทา ราวกับลูกสมุนที่จงรักภักดีเหลือหลาย แค่ได้ยินพลังน้ำเสียงคมชัดนั้น เกาทัณฑ์ก็ยิ้มออกอย่างพลอยเบาสมอง

“แอ้ทำอะไรยุ่งอยู่หรือเปล่า?”

“กำลังนั่งปล่อยใจตามสบายอยู่ในห้องทำงานอันแสนอบอุ่นน่ะค่ะ จะโทร.มาดุเสียหน่อยไหมคะ?”

“ทำไมผมนึกท่านั่งปล่อยใจของแอ้ไม่ออกเลย ไหนลองบรรยายซิว่านั่งยังไง”

เรือนแก้วเงียบไปนิดหนึ่งอย่างชั่งใจว่าควรเล่นต่อแค่ไหน ก่อนจะกล้าพูดออกมาว่า

“ไม่เคยเห็นผู้หญิงยืดสุดตัวในอารมณ์อยากบิดขี้เกียจเหรอคะ?”

เกาทัณฑ์ก้มหน้าหัวเราะแบบซ่อนเสียง เกร็งเนื้อเกร็งตัวขึ้นมาหน่อยๆ พริบตานั้นก็รู้สึกผิดและปรามตัวเองให้หยุดแค่นั้น แม้เรือนแก้วจะเป็นเพื่อนของเพื่อนสนิท และแม้ความรู้สึกต่อเธอจะเป็นกันเองแค่ไหน อย่างไรเขาก็อยู่ในฐานะนำทิศนำทางสาขาของจีเนติกโอ๊ธในไทย

“ผมดูโฆษณาที่แอ้ให้เอเจนซี่ทำแล้วนะ” เอ่ยด้วยอารมณ์พึงพอใจ “มุมมองการโชว์สถานที่จริงของศานติธานถือว่าโอเค แต่ยังดูสวรรค์ๆไม่พอ อยากให้เพิ่มฉากเปิดมีนกบินผ่าน เสียงสายลม แล้วก็แสงสีทองอะไรทำนองนั้น”

“ได้ค่า”

“แสงสีเสียงของฉากจบถ่ายทอดอารมณ์สื่อสารได้ลึกกว่าคำพูดแล้ว แต่อยากให้ออกแนวมีเหตุการณ์ที่คุณยายแกทบทวนชีวิต ที่มีทั้งเหตุการณ์ดีร้าย สมหวังและผิดหวัง พอย้อนคิดแล้วเหมือนที่ผ่านมาแค่ฝันไป แต่กำลังจะตื่นขึ้นเจอความจริงที่ดีกว่านั้นอีก เอาแบบซึ้งๆกระตุกใจตามถนัดของเอเจนซี่เจ้านี้นะ”

“โอเคค่ะบอส!”

“ฮื้อ!” เกาทัณฑ์ร้องเสียงสูง “บอกแล้วไง ห้ามใช้คำนี้”

“ต้องยกย่องหน่อยไงคะ ไม่งั้นกลัวเผลอตัว!”

วาจาแบะท่านั้น ทำเอาชายหนุ่มเม้มปากแน่น เกิดมาเขาไม่เคยรู้สึกใกล้ตัวใกล้ใจกับใครเท่าเรือนแก้วมาก่อน แรงดึงดูดระหว่างเขากับเธอชัดมากราวกับจะเห็นสายใยร้อยรัดได้ด้วยตาเปล่า แถมแต่ละคำของเธอก็สะกิดให้คิดมากไม่เลิกเสียด้วย

เกาทัณฑ์เขามีนายใหญ่เป็นแบบอย่าง คือไม่วอแวกับผู้หญิงในที่ทำงาน ถ้าจะมีก็มีที่อื่น หรือหากจะคบหาดูใจกับคนในที่ทำงานด้วยกัน ก็มีกฎเหล็กว่าต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ เพื่อรักษาระบบให้โปร่งใส

ทั้งกติกาและวัฒนธรรมในองค์กรเคยเป็นมาอย่างไร เขาก็รู้สึกเคยชินที่จะนำมาใช้อย่างนั้น เพราะเชื่อมั่นว่าต่อไปดอกเตอร์แม็กซ์และคนของจีเนติกโอ๊ธอื่นๆจะแวะเวียนมา หรือกระทั่งมาประจำที่นี่กันมากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเรือนแก้ว ในห้วงเวลานี้เร็วเกินกว่าที่เขาจะใช้อารมณ์ตัดสินว่าเธอใช่แน่แล้ว เพราะนอกจากการประชุมงานด้วยเนื้อหาหนักๆ กับการเย้าหยอกทีเล่นทีจริงเบาๆ เขากับเธอแทบไม่เคยแลกเปลี่ยนทัศนคติ แล้วก็ไม่ได้รู้จักชีวิตส่วนตัวของกันและกันเอาเลย

“ตัวโฆษณาจริง แอ้คุยกับเอเจนซี่ว่าให้มีความยาวประมาณไหนนะ?”

“กะว่า ๙๐ วิให้ตรงกับจิตวิทยาอายุของกลุ่มเป้าหมายค่ะ”

“จิตวิทยาอายุยังไงเหรอ?”

“จากงานวิจัยของฮาร์วาร์ด ช่วงความยาวโฆษณาที่เหมาะกับพฤติกรรมการรับรู้ข้อมูลของกลุ่มผู้สูงวัย จะอยู่ที่ ๖๐ ถึง ๑๒๐ วินาที ถ้ายาวกว่านั้น ความสามารถในการจำภาพจะลดลง แต่ถ้าสั้นกว่า ๔๕ วินาที จะเหมือนยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร”

“นึกว่ายิ่งสั้นยิ่งดีเหมือนๆกันทุกวัยเสียอีก” เขาพูดจากความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ที่โตมากับภาพเสียงกระทบหูกระทบตาแรงๆ ผ่านๆ “ว่าแต่ว่า จากการสำรวจเบื้องต้นของแอ้ เปอร์เซ็นต์การตอบรับความอยากเข้าร่วมโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ สูงอย่างที่คิดไหม?”

“เกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แอ้คุยไปได้ทั้งหมด ๒๗ ราย ปรากฏว่ามีผู้สนใจ ๑๖ รายค่ะ ตีคร่าวๆคือ ๕๙%”

“ที่ปฏิเสธไม่อยากเข้าร่วม ส่วนใหญ่ให้เหตุผลอะไร?”

“รู้สึกแปลกๆ หากจะต้องมาทำความรู้จักคุ้นเคยกับชายหญิงที่เด็กกว่าตัวเองเยอะ แถมเป็นการทำความรู้จักในฐานะว่าที่พ่อ ว่าที่แม่ในอนาคตเสียด้วย”

“เดาได้อยู่แล้วว่าต้องกระอักกระอ่วนกันถ้วนหน้าแหละ”

“ญาติคนไข้ก็มีอิทธิพลสูง หลายคนยังไม่เก็ตว่าเรากำลังจะทำอะไรกันแน่ มีผลให้ระแวง และตั้งท่ากีดกันออกนอกหน้า แต่หลายคนที่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อจีเนติกโอ๊ธ ก็ให้การตอบรับดีมากค่ะ”

“อือ! ชื่อเราพอขายได้อยู่ ผมเองก็นึกไม่ถึง” แล้วเขาก็สรุปตามที่รู้สึก “เกินครึ่งของผู้ป่วยให้ความสนใจอย่างนี้ ถือเป็นจำนวนมากเกินพอจะเอาไปใช้อ้างอิงเพื่อขอประเมินจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์”

“มีคนอเมริกัน กับคนเยอรมันเอากับเราด้วยนะคะ”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะกับโทรศัพท์

“ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ลึกๆมนุษย์มีข้อมูลเบื้องต้นฝังอยู่ในสายเลือดให้เป็นที่รู้สึกกันทั้งนั้นแหละ ยิ่งใกล้ตาย สัญชาตญาณยิ่งแรง”

“ใช่ค่ะ!”

“เดี๋ยวพอโฆษณาเผยแพร่ น่าจะยิ่งมีกลุ่มเป้าหมายมาให้แอ้ทำความรู้จักและศึกษายิ่งๆขึ้น”

“ดีนะคะ นโยบายช่วงนี้เน้นให้ศานติธานเป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น เพื่อเป็นฐานเครดิตให้โครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ ในอนาคต เลยหว่านโฆษณาไปถึงกัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม ซึ่งยังไม่ค่อยมีสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยเฉพาะ”

“นี่แค่เริ่มต้น”

“คุยจุดนี้ก็ดีแล้ว ถามหน่อยได้ไหม? อย่างที่แอ้ทราบว่าเต้เพิ่งเจรจากว้านซื้อที่ดินจากชาวนารอบด้านไป สุดท้ายเต้อยากให้ศานติธานยิ่งใหญ่อลังการงานช้างระดับไหนแน่?”

“ผมมองไป ๒๐ ปีข้างหน้า ถ้าให้อะไรๆใหญ่พอจะรองรับทุกการขยับขยาย เราควรมีพื้นที่เพิ่มอีกกว่า ๑๒๐ ไร่”

“โอ้โห!”

“พูดง่ายๆว่าเราจะเหมาพื้นที่รอบด้านเกือบทั้งหมด ก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่าพวกเราทำเรื่องใหญ่ขนาดไหน แล้วโก่งราคากันทีหลัง”

“กว้างขนาดนี้ ไม่ใช่แค่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้วมั้งคะ?”

“ตอนตีข่าวใหญ่ระดับโลกในอีก ๓ ปีหรือ ๕ ปีข้างหน้า เราต้องมีภาพแกรนด์ๆหน่อยแหละแอ้ ลานหญ้ากว้างๆ สวนสวยๆ บึงน้ำ เส้นทางรถเข็น ต้องให้โล่งตาโล่งใจเหมือนสวรรค์บนดินเข้าไว้ ไหนจะอาคารคนไข้นับพันเตียง อาคารแล็บเพิ่มเติม”

“ถ้าใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องขยายออกไปประเทศอื่นไม่ใช่หรือคะ?”

“ใช่! แต่อย่าลืมว่าสถานที่นี้ ในระยะยาวจะไม่ใช่ถูกจดจำว่าเป็นแค่สถานอภิบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรอก ที่นี่จะเป็นตำนานบทแรกของการพิสูจน์ภพชาติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์”

“อ้อ…” หญิงสาวครางรับอย่างคิดแล้วเห็นภาพตาม “ก็จริงนะคะ ต่อไปที่นี่จะเป็นสัญลักษณ์ของการเลือกเกิดได้ ถึงแม้จะมีที่อื่นๆผุดตามมาอีกนับพันแห่ง ก็จะไม่มีความหมายเท่าต้นแหล่ง”

“ขนาดของสิ่งก่อสร้าง ถือว่ามีผลทางจิตวิทยา แอ้นึกถึงพื้นที่ทางจิตวิญญาณสำหรับทุกศาสนา แล้วก็วันที่ต้องมีจัดประชุมระดับนานาชาติ ซึ่งอาจเป็นที่สิงคโปร์ นิวยอร์ก หรือเจนีวา สลับหมุนเวียนไป แต่ถ้าให้มีความหมายจริง ก็ต้องที่ลำลูกกานี่แหละ!”

“ที่ทางจะขยายด้วย แถมเต้กำลังจะลดราคาเพื่อจูงใจคนให้เข้ามาพักมากกว่านี้ด้วย ดูๆแล้วธุรกิจต้องขาดทุนอย่างน่าระแวงในสายตาสรรพากรไปหลายปีเลยนะคะนี่”

“ระแวงมาก็ให้ตรวจสอบไป” ชายหนุ่มผู้กุมบังเหียนบิ๊กเทคสาขาในไทยยิ้มนิดๆ “แล้วผมไม่ใช่แค่จะลดให้นะแอ้ แต่มีโควต้าเข้าอยู่ฟรีไปจนตายเลยด้วยซ้ำ!”

“ว้าว!”

“ขอแค่เข้าข่ายประวัติดี มีแนวโน้มจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์เกรดเอ ต่อให้มาหาเราตอนหมดตัวเหลือแค่เสื่อผืนหมอนใบ เราก็รับคร้าบ ในระยะยาววินวิน”

“เข้าใจค่ะ! ความคุ้มทุนของเราไม่ได้มาจากรายได้ในช่วง ๕ ปีแรก แต่ขึ้นอยู่กับการได้คนเหมาะ คนดี มาเป็นแบบอย่างจูงใจผู้คนให้โผมาหาเรากันทั้งโลก!”

“แม่นเผง!”

“แต่… ช่วงสองสามปีแรกที่เรายังไม่ดังขนาดนั้น แอ้แค่คิดว่าถ้าเป็นแอ้เอง หากต้องเอาผู้ใหญ่มาอยู่ที่นี่ พอเจอเงื่อนไขอยู่ฟรีกินฟรีกับบริการเหนือระดับ ก็คงต้องระแวงบ้างล่ะค่ะว่า นี่เรากำลังเจอโปรเจกต์ลับของมนุษย์ต่างดาวอะไรเข้าให้หรือเปล่า ทำไมมันถึงดีเกินมนุษย์นัก?”

เกาทัณฑ์หัวเราะก๊ากก่อนเอ่ย

“คนของจีเนติกโอ๊ธก็เก่งระดับมนุษย์ต่างดาวกันอยู่แล้ว ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไหร่หรอก”

รู้สึกว่าคำพูดของเขาก่อปฏิกิริยาทางใจบางอย่างขึ้นในคู่สนทนา เกาทัณฑ์สัมผัสถึงแรงดันคล้ายเมือกเหนียวปั่นป่วน ซึ่งตีความได้ว่าน่าจะเป็นอารมณ์หมั่นไส้ และเมื่อใช้ใจจ้องปฏิกิริยาดังกล่าว ก็เหมือนเห็นภาพเรือนแก้วแอบย่นหน้าแลบลิ้นใส่โทรศัพท์อยู่

ทว่านั่นก็เป็นอาการของคนน่ารัก ไม่ใช่หน้ายักษ์หน้ามารแต่อย่างใด จึงทำให้ชายหนุ่มยังคงหัวเราะขำเอื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็นึกอยากรู้ขึ้นมาว่า ที่เขาเห็นนั้นจริงหรือไม่

“นี่กำลังแอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมอยู่หรือ?”

พูดยังไม่ทันจบ เขาก็สัมผัสถึงภาวะคอแข็งตะลึงค้างจากเธอ สะท้อนความตกใจที่พฤติกรรมเร้นลับถูกเปิดโปง ก่อนจะแปรเป็นลนลานเล็กๆ แล้วตามมาด้วยการเค้นเสียงถามกลับ

“อะไรคะ! ใครแลบลิ้นให้คุณ?”

เกาทัณฑ์เม้มปากยิ้ม อาการร้อนตัวแบบคนกลัวถูกจับได้ของเรือนแก้วนั้น ค่อนข้างชัดอยู่ ทว่าของแบบนี้ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมรับเสียอย่าง วูบของสัมผัสที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่มีสิ่งใดประกันว่าถูกหรือผิด เขาจึงปล่อยผ่านโดยเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ตอนตระกูล ‘ลางดีไพศาล’ สร้างที่นี่ขึ้นมา พวกเขาก็มีแนวคิดอยากดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจริง และกะให้ดังระดับเอเชียเลยนะ อุตส่าห์เลือกทำเลร่มรื่นแถบลำลูกกามาเป็นหลักแหล่งที่ตั้ง นับว่าเราโชคดีมากที่ได้มาและเหมาะเจาะกับโปรเจกต์ทุกประการ”

“นั่นสิคะ” สุ้มเสียงของเรือนแก้วกลับมาเป็นปกติ แต่ฟังจริงจังเป็นงานเป็นการขึ้น “ศูนย์ศานติธานเต็มไปด้วยหมอเก่งๆ กับเครื่องมือทันสมัยที่จะบรรเทาความเจ็บปวดเทียบเท่าโรงพยาบาลใหญ่ เต้ซื้อมาเท่าไหร่นะ?”

“สองพันห้า” เขาตอบเบาๆ “จริงๆต้องถูกกว่านั้นหน่อย แต่เขารู้ว่าเป็นจีเนติกโอ๊ธ เลยขอค่าชื่อเสียงกับค่าอุปกรณ์ดีๆของเขา แล้วเราก็อยากได้เร็ว ขี้เกียจต่อรองนาน”

“รีบรับเลยไหมคะนั่น?”

“ตาโตตะครุบทันทีแหละ สองสัปดาห์โอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อย ทางนั้นกำลังเบื่อหน่ายกับการแบกภาระตรงนี้อยู่พอดี”

“เป็นการเปลี่ยนมือที่ราบรื่นดีนะคะ ทีมเดิมของที่นี่ก็ดูยอมรับเต้กัน”

“ค่าตอบแทนสูงขึ้น มีหมอและบุคลากรมาช่วยเพิ่มขึ้น เทคโนโลยีอัพเดทขึ้น ช่วยให้เหนื่อยน้อยลง แถมขออะไรให้หมด นี่แหละ! มนต์สะกดให้คนรักคนหลงใน ๓ วัน ๗ วัน!”

เรือนแก้วหรี่ตาและขบริมฝีปากเบาๆ เธอเคยทำงานกับบิ๊กเทคมาก่อน จึงเข้าใจดีว่า เมื่อใดก็ตามเกิดโครงการใหม่ที่มีแนวโน้มทำเงินสูงทะลุปรอท กลุ่มผู้บริหารจะพร้อมหว่านเม็ดเงินทะลักทลายไม่จำกัดในการลงหลักปักเสา ขอให้โครงการเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยด่วนที่สุดเถอะ

“เต้คะ… ขอพูดอย่างที่คิดหน่อยได้ไหม”

“เอาเลยแอ้”

“หลายวันมานี้ แอ้เริ่มอินกับโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ ออกมาจากหัวใจ มีไฟที่จะไปค้นคว้า เลยเพิ่งได้รู้ว่าผู้คนที่ระลึกชาติได้มีอยู่มากมายขนาดไหน”

“ถ้าแอ้เจอของจริงจะยิ่งตะลึง” 

“ที่สำคัญ แอ้เพิ่งรู้ว่าบุคคลระดับโลกอย่างท่านดาไลลามะก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แถมคล้ายกับโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ คือมีการตกลงกันไว้เป็นพันธะเลยว่าจะไปเกิดแถวไหน แล้วจะให้ใครรับรอง”

“เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ หรือเป็นแบรนด์ดังข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียวแอ้ สำหรับตำแหน่งดาไลลามะ”

“จะเป็นการหาญกล้าไปหน่อยไหม ถ้าแอ้อยากเสนอว่า…”

“ให้พวกเราติดต่อขอร่วมงานกับท่าน?”

“ค่ะ! ระดับโลกทางศรัทธา ร่วมมือกับระดับโลกทางการพิสูจน์หลักฐาน ถ้ามาเจอกันน่าจะเป็นที่รู้จักและจดจำเร็วขึ้นมาก จากที่ต้องใช้เวลาหลายปี อาจเหลือไม่กี่เดือน”

“คิดในเชิงการตลาดก็ใช่แหละนะ แต่… ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมว่าแอ้รู้อะไรเกี่ยวกับท่านดาไลลามะบ้าง”

เกาทัณฑ์ใช้น้ำเสียงนิ่มนวลแบบระวังไม่ให้ส่อว่าเขากำลังลองภูมิ แต่เรือนแก้วฟังเพียงเท่านั้นก็สัมผัสได้ทันทีว่าเขารู้ดีอยู่ก่อน และคิดมาหมดแล้ว

“เท่าที่แอ้ทราบ ดาไลลามะเป็นตำแหน่งที่สืบทอดกันมา ๖๐๐ ปี ชาวพุทธทางทิเบตเชื่อกันว่าเป็นร่างอวตารของพระอวโลกิเตศวรต่อเนื่องกันมา ๑๔ ครั้ง ครั้งแรกมาในร่างของท่านเกดุน ดรุปา ซึ่งตอนยังมีชีวิต ท่านก็ไม่ได้ประกาศตนหรือมีใครรับรองว่าเคยเป็นเทพมาจากไหน แต่หลังจากท่านมรณภาพ มีเด็กอายุไม่ถึง ๔ ขวบคนหนึ่ง บอกพ่อแม่ว่าอยากไปอยู่วัดทาชิลุมโปที่ท่านเกดุน ดรุปาก่อตั้งขึ้น”

เรือนแก้วเล่าได้กระจ่าง เพราะเพิ่งศึกษาค้นคว้ามา และนั่นก็ทำให้เกาทัณฑ์ยิ้ม เนื่องจากได้รู้จักเธอดีขึ้นนิดหนึ่ง คือเมื่อเธอนำเสนอสิ่งใด แปลว่าเธอศึกษาสิ่งนั้นมาดีแล้ว

“เดาได้เลยนะว่าเหตุการณ์ช่วงนั้นเป็นอย่างไร” เขาหรี่ตานึก “คงจะแตกตื่นกันน่าดู เมื่อพระผู้สร้างวัด บุคคลอันเป็นที่เคารพรักบูชายิ่งของสังคม กลับชาติมาเกิดอย่างเปิดเผยขนาดนั้น”

“ค่ะ! ยุคเราถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีการเผยแพร่ทางโซเชียลให้เห็นเด็กระลึกชาติที่โน่นที่นี่ทั่วทุกมุมโลก เลยดูเหมือนเยอะ แต่สำหรับคนยุคก่อนที่การรับรู้ข่าวสารจำกัดในพื้นที่แคบๆ คงโกลาหลพิลึก”

“ใช่! ชั่วชีวิตคนสมัยก่อนคงได้ข่าวเด็กระลึกชาติกันครั้งเดียว”

“นั่นสิคะ… หลังจากตรวจสอบ และได้รับการยอมรับจากวัดทาชิลุนโปว่าเด็กน้อยคือท่านเกดุน ดรุปา ทุกคนคงรู้สึกเหมือนฝันไป เมื่อบุคคลระดับผู้นำทางศาสนากลับมาหาพวกตนในร่างใหม่”

“ชื่อเกดุนเหมือนกันทั้งสองชาติเสียด้วย”

“เกดุนเป็นฉายาที่ได้รับในพิธีบวชค่ะเต้ แบบเดียวกับที่พระไทยมีฉายาเช่น ปัญญานันโท หรืออริยวังโส กรณีชาติที่ ๒ พระอุปัชฌาย์ท่านน่าจะจงใจนำฉายาเดิมในชาติแรกของท่านมาตั้งให้ใหม่”

“อ้อ! อย่างนั้นหรือ?”

“ชาติที่ ๓ ท่านมีชื่อว่า โซนัม เกียตโซ ชาตินี้เองที่พระเจ้าอัลตาน ข่าน มอบตำแหน่ง ‘ดาไลลามะ’ ให้ เพื่อแสดงว่าเชื่อสนิทใจกับการกลับมาเกิดใหม่ แล้วก็ต้องการประกาศเกียรติคุณ ยกย่องท่านอย่างเป็นทางการ โดยมีอำนาจแบบกษัตริย์ช่วยเป็นฐานให้”

“แสดงว่า ‘ดาไลลามะ’ ต้องมีความหมายในภาษาทิเบต?”

“คำว่า ‘ดาไล’ เป็นภาษามองโกล แปลว่ามหาสมุทร ส่วน ‘ลามะ’ เป็นภาษาทิเบต แปลว่าครูผู้ยิ่งใหญ่ รวมแล้วคือครูผู้มีปัญญากว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร”

เกาทัณฑ์ยิ้มกว้างขึ้น ทราบชัดว่า การคุยกับเรือนแก้วหมายถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ และขยายขอบฟ้าในการมองเห็นให้แก่กันและกันได้ในระยะยาว

“บุคคลเหนือโลก ที่ปรากฏให้ประจักษ์และชนะใจคนได้มากๆเท่านั้น ถึงจะสร้างศาสนา หรือรักษาศรัทธาระดับโลกไว้ได้”

“ค่ะ! เอาจริงๆถ้าแอ้ไม่ได้มาทำงานกับเต้ ก็ไม่อินกับเรื่องระลึกชาติเท่าไร อ่านผ่านๆ ดูผ่านๆ ไม่รู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี เพราะเป็นเรื่องไกลตัว แม้แต่เรื่องราวของท่านดาไลลามะ ก็ไม่เคยรับรู้ประวัติด้านนี้มาก่อนเลย มีแต่เจอข่าวเสียๆ หรือล้อเลียนเป็นเรื่องตลกขบขันเสียมาก”

“นั่นแหละปัญหา” เกาทัณฑ์ได้จังหวะชี้ “ท่านมีข่าวที่เป็นลบต่อการรับรู้ของคนทั่วโลกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการเอาจีวรพระเข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครอง หรือกรณีจับเข่าเลดี้กาก้าซ้ำๆจนเธอต้องเบี่ยงหลบบนเวทีงานประชุมนายกเทศมนตรีสหรัฐ แถมที่หนักกว่า คือท่านแลบลิ้นออกมาให้เด็กผู้ชายดูดกลางวัดในอินเดีย อันนี้คือหลังจากจูบปากเด็กคนนั้นแล้ว”

เรือนแก้วพยักหน้า

“ในอเมริกาช่วงนั้นเป็นข่าวใหญ่เลยนะคะ บางสื่อก็ช่วยอธิบายว่า การดูดลิ้นของท่านเป็นหยอกล้อที่ไร้เดียงสาแบบทิเบต ขณะที่บางสื่อมองว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศในที่สาธารณะ เนื่องจากเด็กไม่กล้าปฏิเสธคนระดับนั้นต่อหน้าคนอื่น ส่วนจีนนี่ถึงขั้นบอกว่าเป็นเหตุการณ์แปลกที่สร้างความโกลาหลในเอเชียเลยทีเดียว”

“ส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่าท่านทำผิดอะไร รับฟังคำอธิบายจากโฆษกของท่านแล้วเข้าใจได้ทุกอย่าง แต่สำหรับคนอีกครึ่งโลก เราไม่รู้ว่าความจดจำเกี่ยวกับท่านบิดเบี้ยวไปถึงไหนแล้ว คุณงามความดีที่ท่านสั่งสมมา ถูกลบล้าง หรืออย่างน้อยโดนกลบทับไว้ด้วยเรื่องแค่นี้”

“เต้คงกลัวว่า ถ้าโครงการของเราไปมีเอี่ยวกับท่าน คนก็มองเราเป็นวิทยาศาสตร์ที่ไม่บริสุทธิ์?”

“ไม่แค่นั้นน่ะสิ บางทีอาจกระทั่งโดนแทรกแซง โดนต่อต้านจากคอมมิวนิสต์ที่ไม่ปลื้มท่านอีกด้วย พวกเราเองอาจถึงขั้นไม่ปลอดภัย หากถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้คนทั้งโลกเลื่อมใสยกย่องท่านกันผ่านหลักฐานที่เป็นรูปธรรม”

“ขนาดนั้นเลยหรือคะ?”

คำถามของเรือนแก้ว ฉายให้เกาทัณฑ์เห็นว่าเธอเจาะลึกมาแค่บางส่วนในอดีต แต่ปมขัดแย้งในปัจจุบันตื้นๆยังไม่ค่อยทราบ

“พอมีหลักฐานว่า ท่านเกิดตายมาแล้ว ๑๔ หน สะสมความเลื่อมใสของผู้คนหลักพันล้านมาจาก ๑๔ ยุคสมัย เลยเหมือนเป็นพยานปากเอกทางศาสนา สำหรับชาวตะวันตก ท่านคือตัวแทนความเป็นพุทธ และสำหรับชาวทิเบต ท่านได้รับการยกย่องเทียบเท่ากษัตริย์”

“จริงค่ะ! เสาหลักหนึ่งของศรัทธาทางพุทธคือการเวียนว่ายตายเกิด แล้วใครจะเป็นตัวแทนได้ดีเท่าคนที่ตั้งใจอุทิศตนพิสูจน์ความจริงนี้ข้ามชาติ ไม่แปลก ถ้าบารมีจะดันท่านให้เป็นมหาอำนาจทางความเชื่อ”

“พอท่านคิดแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจีน จีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตงยุคนั้นเลยมองว่าอำนาจทางศาสนาเป็นภัยความมั่นคงได้ ช่วงนั้นท่านดาไลลามะเลยต้องพาชาวทิเบตไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่อินเดียโน่น”

“ถึงเลือดถึงเนื้อไหมคะ?”

“ชาวทิเบตหลายหมื่นคนลุกฮือต่อต้านการปกครองของจีนในกรุงลาซา ว่ากันว่าถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ตายเป็นแสน ส่วนทหารจีนแม้มีอาวุธก็ม่องเท่งไปหลายพัน”

เรือนแก้วตาโต

“เพิ่งรู้ว่าศาสนาพุทธมีประวัติถึงเลือดถึงเนื้อแบบนี้ด้วย”

“กรณีนี้ไม่ใช่สงครามศาสนานะ เพราะท่านดาไลลามะไม่ได้มีบทบาทส่งเสริมความรุนแรง ท่านแค่เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง เหตุการณ์บานปลายเริ่มจากการที่ชาวทิเบตจำนวนมหาศาลรวมตัวกันรอบที่อยู่ของท่านเพื่อปกป้องไม่ให้ถูกทหารจับ”

“โอ้! ถ้าเคยเกิดเหตุขนาดนั้น ทำไมทุกวันนี้ท่านถึงยังอยู่ดีได้อย่างเปิดเผย?”

“ท่านลี้ภัยไปอินเดีย และเจรจาด้วยสันติวิธี ไม่ทำเรื่องท้าทายชิงอำนาจกับจีนอีก”

“เข้าใจตรงกันแล้วค่ะว่า ภาพความเกี่ยวข้องสำคัญขนาดไหน วิทยาศาสตร์และศาสนาที่บริสุทธิ์ไม่ควรเกี่ยวข้องกับอำนาจการเมืองจริงๆ”

“ในอดีตชาติของท่าน ก็เคยมีปัญหาทำนองนี้มาก่อนนะ แบบว่ามีการโค่นล้มราชวงศ์ในยุคหนึ่ง แล้วท่านข่านที่ทำการโค่นราชวงศ์ได้มอบอำนาจการปกครองทิเบตให้กับชาติที่ ๕ ขององค์ดาไลลามะ ท่านเลยกลายเป็นเหมือนกษัตริย์ทั้งทางการเมืองและการศาสนาของทิเบต แล้วช่วงที่ท่านเรืองอำนาจในยุคนั้น ก็ต้องไปเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มต่อต้านด้วย”

“ฉะนั้น เราควรเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลทางศาสนาเลย ถูกไหม?”

“เกี่ยวแบบให้ออกหน้าเป็นตราสัญลักษณ์น่ะ ไม่เหมาะ แต่ถ้าไม่มีความเกี่ยวข้องบ้างเลย อันนั้นก็ไม่ดี”

“ให้เป็นที่ปรึกษาอยู่เบื้องหลัง?”

“ใช่! แม้เราสามารถใช้ดีเอ็นเอชี้ว่าเด็กเกิดใหม่ใช่คนที่เพิ่งตายไหม แต่ตราบใดยังไม่มีเคสแรก ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็แค่ตาบอดคลำทาง เมื่อต้องข้ามพรมแดนที่ยังไม่รู้จัก หากมีบุคคลทางศาสนาที่ตาสว่างแล้วไว้ช่วยชี้ทาง หรืออธิบายทาง ย่อมต้องดีกว่า”

“แล้วเต้หาคนมีญาณวิเศษมาช่วยเป็นที่ปรึกษาได้หรือยัง?”

“ไม่หรอก!” ดอกเตอร์หนุ่มผู้มีอัจฉริยภาพทางพันธุศาสตร์ตอบนิ่มๆ “เราจะสร้างผู้มีญาณวิเศษขึ้นมาในออฟฟิศนี้แหละ!”