เกาทัณฑ์เห็นตนเองก้าวเข้าไปในเขตบ้านของปู่ชนะ หูได้ยินเสียงแห่งความเงียบไพศาลของอีกโลกหนึ่ง ตาเปล่ากวาดมองทุกสิ่งได้ชัดลึกผิดไปจากปกติ รังสีกุศลฉายแสงทองงามละไม เย็นตาเย็นใจอยู่ทั่วไป ให้ความรู้สึกเป็นสุขและปลอดภัยยิ่ง
เคลื่อนร่างไปสู่หลังบ้าน รอบด้านดูกว้างโล่งกว่าเคย ทุกหนทุกแห่งเรียงรายด้วยรอยยิ้มแห่งบุปผชาติอันทรงชีวิตชีวาเหลือคณานับ นี่เอง! สวรรค์ที่สร้างขึ้นจากรัศมีบุญอันเรืองรองของคนในบ้าน
บนม้านั่งไม้ แพตรีในชุดกระโปรงยาวขาวสะอาดนั่งคอตั้งหลังตรง สองมือประสานวางบนตักเห็นเด่นเป็นสง่า และมองจับมาทางเขาด้วยนิลเนตรทอดนิ่ง
โสมนัสยิ่ง เกาทัณฑ์ตรงดิ่งเข้าไปอยู่ต่อหน้าเธอทันที
“ขอโทษที่ทำให้รอนะแพ”
หญิงสาวช้อนตาขึ้นสบ นัยน์ตาเงางามทอแสงเข้มกว่าเมื่อครู่
“ใครบอกว่ารอคะ?”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างตอบ ดวงตาของเธอฉายแววประหลาดที่ดูเกินความเป็นอิสตรีธรรมดา มองแล้วจะว่าเย็นใจก็ได้ หรือมองว่าอีกนิดเดียวจะเย็นชาก็ใช่
“แพจะรอใครอยู่ก็ตาม ผมขอนั่งเป็นเพื่อนไปก่อนได้ไหม?”
“ยืนก็ดีแล้วค่ะ”
เธอตั้งระยะห่างชัดเจน
“จะเห็นผมเป็นคนแปลกหน้าไปอีกนานแค่ไหน?”
“อย่าพยายามเข้ามาใกล้กันเลย จะผิดหวังเปล่าๆนะ”
“เกิดมาผมเพิ่งรู้รสของการถูกผู้หญิงปฏิเสธ” เกาทัณฑ์ยิ้มเพลีย ผายสองมือออกกว้าง ถามขำๆ “อยากฟังไหมว่ารู้สึกยังไง?”
“แล้วอยากฟังไหมคะว่า ผู้หญิงคนหนึ่งจะรู้สึกยังไง กับการโดนผู้ชายทุกคนบนโลกตามตื๊อตั้งแต่แรกพบ?”
เขาชะงักไปนิดหนึ่ง
“คงจะ… เห็นผู้ชายเหมือนแมงหวี่แมงวันที่น่ารำคาญ”
และแล้วการที่ ‘ต้องคิด’ และ ‘คิดได้’ นั้น ก็ปลุกสติขึ้นมาเทียบเท่าจิตสำนึกปกติ เลยรู้สึกตัวว่านี่คือความฝัน
แถมการระลึกได้เช่นนั้น ยังกระตุ้นให้เกิดความจำอีกชุดหนึ่ง นั่นคือ... เขานั่นแหละ ที่เป็นคนโปรแกรมตัวเองไว้ให้เกิดสติรู้ตัวว่าฝัน!
เกิดความระลึกได้แบบมีต้นมีปลาย คล้ายการระลึกชาติ ที่ทลายกำแพงขวางการเชื่อมต่อระหว่างชุดความจำใหม่กับชุดความจำเก่า เกาทัณฑ์จำได้ทะลุปรุโปร่ง นับแต่ที่เขาเข้านิวโรแล็บตามลำพัง เพื่อฝึกสมาธิตามที่ปู่ชนะสอน ซึ่งเขาปฏิบัติเป็นกิจวัตรยามค่ำคืนมาเกินครึ่งเดือนแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา เขาเหน็ดเหนื่อยจากการกรำงาน ที่ต้องเอาตัวพนักงานศานติธานจำนวนมากมาเก็บข้อมูล เพื่อเทรนเอไอให้รู้จักพาคนระลึกชาติ ดังนั้น คืนนี้เมื่อเห็นท่าว่าน่าจะทำสมาธิแล้วหลับ เกาทัณฑ์จึงคิดทำอะไรที่แตกต่าง โดยตั้งใจเก็บข้อมูลสมองที่นึกออก ในรูปแบบ ‘ทะลุกำแพงความฝัน’ เพื่อเอาไว้เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบกับสมองทะลุกำแพงภพชาติ
เขาโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ตรวจจับคลื่นชีวภาพของตนเอง โดยกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่า เมื่อเข้าสู่ภาวะหลับลึก ให้ระบบแทรกสัญญาณกระตุ้นสมองด้วยสนามแม่เหล็กต่ำระดับ picoTesla ไปยังกึ่งกลางหน้าผากและฐานท้ายทอยอย่างสมมาตร ซึ่งนั่นเป็นการแย้มประตูให้รู้สึกตัวโดยไม่ทำลายสมดุลของการหลับ
ความฝันทั่วไป คือการลดทอนตัวตนลง แต่ความฝันแบบมีสติเต็มตัว คือการพอกพูนตัวตนขึ้นไปมีอำนาจเหมือนพระเจ้า ตอนแรกเขาตั้งใจตื่นขึ้นในฝันเพื่อนั่งสมาธิ แต่ผิดคาด แทนที่สภาพแวดล้อมในฝันจะเป็นฉากสถานที่ทำสมาธิ กลับกลายเป็นหลังบ้านปู่ชนะเสียอย่างนั้น
การที่ส่วนลึกของเขาคิดถึงแพตรีด้วยความพิศวาสมาเรื่อยๆ กลายเป็นตัวปรุงแต่งให้ฝันถึงเธอโดยไม่ตั้งใจ และความเย้ายวนน่าติดใจของนิมิตภาพเสียงที่เกิดขึ้น ก็ทำให้บัดนี้ไม่อาจตัดใจทิ้งสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก้าวข้ามไปฝึกสมาธิได้ดังตั้งใจไว้แต่แรก
แต่ไม่เป็นไร เขาเป็นนักล่าขุมทรัพย์จากทุกสิ่งที่เกิดกับตัวเองอยู่แล้ว!
หันหลังให้แพตรีอย่างไม่เกรงใจ เพราะตระหนักว่าตัวจริงของเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น อันดับแรก เกาทัณฑ์เช็กการทำงานของสมองส่วนที่เป็น Language Center โดยพูดชัดถ้อยชัดคำว่า
“แม่หมอมาลีหมุนมาลัยมอบมิ่งมิตร มโนมัยมั่นหมายมอบมนต์ขลังแม้นหมองหมาง”
ผ่านฉลุย แม้ว่านั่นเป็นประโยคซับซ้อนที่ออกเสียงยาก เกาทัณฑ์จึงลุยด่านต่อไป คือเช็กการทำงานของสมองส่วนที่เป็น Logic Center โดยสุ่มเลือกตัวเลขขึ้นมาคูณกันในใจ
“๑๓๗ คูณ ๒ เท่ากับ ๒๗๔”
ขณะตื่นเขาคูณหารเลขในใจได้ซับซ้อนและรวดเร็วจนเพื่อนๆชั้นมัธยมยกให้เป็นเครื่องคิดเลขเคลื่อนที่ แต่ตอนนี้เขาไม่เอาเลขยากนัก เพราะเกรงว่าสมองจะถูกใช้งานหนักเกินไปจนตื่น
ด่านต่อมา เกาทัณฑ์เช็ก Working Memory คือทบทวนลำดับเหตุการณ์นิมิตฝัน นับแต่เห็นตนเองเดินเข้าบ้านปู่ชนะ ตรงมาหลังบ้าน และพบกับแพตรี พูดจาทักทายกัน
เสร็จแล้วทำสิ่งที่ท้าทายกว่านั้น คือระลึกย้อนกลับไปถึงภาวะก่อนหลับ ซึ่งเห็น ได้ยิน และสัมผัสชัดว่าตนเองกดเมนูเลือกให้เครื่องทำงานอย่างไร เพื่อผลลัพธ์เป็นการตื่นขึ้นในฝัน ทุกอย่างกระจ่างบรรเจิดจนเขาไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าจริงหรือไม่จริง
ด่านสุดท้าย ชายหนุ่มเช็ก Sensory Integration โดยกำหนดรู้สึกถึงสายลมหายใจของร่างในฝัน แล้วพบว่าสามารถตั้งหลักรู้ได้มั่นคงตลอดสายนับแต่ต้นจนจบหลายครั้งหลายหน แม้เพี้ยนบ้าง ร่างยืดขยายหรือหดลงบ้าง ก็เพียงนิดหน่อย
นั่นเอง เกาทัณฑ์จึงสรุปกับตนเองว่า
“สมองสั่งการ สมองคิดเหตุผล สมองความจำระยะสั้น และสมองรับความรู้สึก ยังออนไลน์ครบ เรากำลังอยู่ใน Lucid Dreaming ที่สมบูรณ์แบบ” จากนั้นก็โปรแกรมตนเอง เพื่อเป็นนายแห่งฝันของตัวเอง รับช่วงต่อจากตอนตื่นแบบเบ็ดเสร็จ “นี่คือโลกที่จิตของเราสร้างขึ้น แต่เราจะปล่อยให้เหตุการณ์ในฝันเกิดขึ้นเองครึ่งหนึ่ง แล้วใช้เจตจำนงควบคุมทิศทางอีกครึ่งหนึ่ง”
พอโปรแกรมตนเองไว้แล้วเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หันหลังกลับมาหาหญิงสาวที่ตนมีใจจดใจจ่อทั้งยามตื่นและยามหลับ ร่างเธอยังอยู่ในชุดกระโปรงขาวบนม้านั่งเดิม เส้นผมลู่เบาในลมฝัน รอบด้านฉ่ำชื่นด้วยการชโลมจากความเป็นเธอ สมแล้วที่เป็นฝันแสนดีของเขา
สบตากัน เกิดความเข้าใจขึ้นมาด้วยสติที่พรักพร้อม
หากอธิบายเป็นรูปธรรม ก็ต้องบอกว่าสมองส่วน precuneus และเครือข่ายสถานะพักสมอง ได้เชื่อมโยงเข้ากับ insula และ anterior cingulate cortex กลายเป็นวงจรของ ‘การรับรู้ภาวะภายในของผู้อื่น’ แล้วจากนั้นก็มีการปรุงแต่งนิมิตภาพเสียงสมจริง เลียนแบบแพตรีตัวเป็นๆขึ้นมาโต้ตอบกับเขา
แต่หากอธิบายเป็นนามธรรม ก็อาจบอกว่าจิตที่ก่อภพก่อชาติ ได้สร้างภาวะ ‘ภพย่อย’ อันประกอบด้วยสภาพแวดล้อมคงที่ กับทั้งจำลองร่าง จำลองความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาเป็นตัวแทนทั้งฝั่งเธอและฝั่งเขาชนิดไร้ที่ติ
เอาง่ายๆ ฝันนี้เสมือน ‘ห้องจำลองสถานการณ์จริง’ ที่สามารถทดลองได้หมดว่า พูดอะไรกับแพตรีแล้วเธอจะตอบกลับท่าไหน คำตอบจากเธอในฝัน น่าจะแม่นยำหรือใกล้เคียงกับเธอในโลกความจริงที่สุด!
“ขออภัยที่ผมเสียมารยาทหันหลังให้”
เขาเอ่ยเพื่อให้ ‘ภพย่อย’ ยังดำเนินแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะมีผลเป็นการรักษาสถานะสมจริงของนิมิตแทนแพตรี
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบแล้วเบนสายตาไปอีกทาง “ถ้าจะหันหลังแล้วเดินหายไปเลยก็ไม่ว่านะ”
เกาทัณฑ์หัวเราะเยี่ยงผู้ตกเป็นเบี้ยล่างทางความรัก อดถามตัวเองไม่ได้ว่า เขามีดีขนาดนี้ ทำไมต้องมาง้อผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะอยากชายตาแล?
ที่แท้เขาแค่อยากเอาชนะเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองหรือเปล่า?
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลได้ตลอดเวลา และยากมากที่เหตุผลทะเลาะกับอารมณ์แล้วชนะ
เมื่อเหลือแต่ใจเดี่ยวๆ ที่เผชิญหน้ากับความจริงทางอารมณ์ล้วนๆ ทำให้เขายอมรับกับตนเองว่าหลงรักเธอเข้าจริงๆ เป็นรักอันเกิดจากการผนวกกันระหว่างอารมณ์หลงรูป อารมณ์ถูกปฏิเสธ อารมณ์ไม่มีวันได้อย่างใจ กับอารมณ์สะอาดสูงส่ง อยู่ใกล้เธอแล้วเหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกที่เหนือจินตนาการ
เข้าใจทั้งหมดจนร่ำๆจะถอนจิตออกมาจากหล่มรักเสียได้ แต่แล้วเกาทัณฑ์กลับเม้มปาก ทำในสิ่งที่สวนทางกัน เขาคุกเข่าข้างเดียวตรงหน้าเธอก่อนกุมมือเธอด้วยสัมผัสละม่อม
“ผมรู้ตัวว่า เป็นได้แค่ผู้ชายธรรมดา แค่เห็นแพก็เข่าอ่อนตกหลุมรักแล้ว ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มาหลงใหลได้ปลื้มแพกันเลย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้นะว่า ผมไปทำอะไรผิดไว้แต่ปางไหนหรือเปล่า แพระลึกชาติได้แล้วถึงยังไม่ให้อภัยอย่างนี้”
แทนการเปล่งวาจาอันใด หญิงสาวแค่ทอดตามองเขาเฉยๆ ซึ่งเพียงเท่านั้น เกาทัณฑ์ก็รู้สึกถึงกระแสสุขที่ไหลผ่านใจนิ่งๆแล้ว บอกตนเองว่าจะให้สบสานกับสายตาสงบลึกซึ้ง แฝงอำนาจเร้นลับของเธอทั้งวันก็ยังได้
เงียบงัน นิ่งนาน สายลมหอบหนึ่งรำเพยผ่าน ปอยผมบนหน้าผากของเธอไหวตัวน้อยๆ ดวงตาคู่งามเหมือนเรืองแสงได้ ในจังหวะที่แพตรีเอื้อนเอ่ย
"แพเคยเป็นเมียพี่!"
กระแสเสียงนุ่มเย็นนั้น แปรเป็นไฟฟ้าแรงสูงที่ทำเอาเขาชาดิกไปทั้งร่าง แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตกตะลึง อึกอักพูดไม่ออก หญิงสาวก็ต่อคำของตนเองเหมือนสายน้ำไหลรื่น
“พอๆกับที่เคยเป็นภรรยาของพี่หมอมติ เคยเป็นภรรยาของใครต่อใครนับไม่ถ้วน แล้วชาติไหนได้เป็นผู้ชาย ก็เปลี่ยนฐานะจากภรรยาเป็นสามีบ้าง”
“เอ่อ…”
จุกอกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ ขึ้นสูงแล้วโดนโยนลงต่ำฉับพลัน เกาทัณฑ์ถึงกับพูดไม่ออก ไปต่อไม่ถูก
“พวกเราไม่เคยเป็นอะไรกันจริงหรอก แค่ถูกหลอกให้เดินทางเวียนว่ายตายเกิด เป็นนั่นเป็นนี่ให้กันและกันแป๊บๆ ตายแล้วเกิดใหม่ก็เปลี่ยนบทบาท หาแก่นสารฐานะที่แท้ไม่เจอ”
ใจหล่นวูบกับการได้ยินเธอพูดเช่นนั้น เกาทัณฑ์อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า ตกลงนี่เป็นฝันของเขาคนเดียว หรือว่ากำลังร่วมฝันกับตัวจริงเสียงจริงของแพตรีกันแน่ เหตุใดจึงสัมผัสถึงตัวตนของเธอได้ชัดเจนขนาดนี้
บัดนั้น เกาทัณฑ์จึงตัดสินใจเก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้พิสูจน์ความจริงยามตื่น
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดี ผมไม่ขอความรักจากแพก็ได้” บอกเธอยิ้มๆพลางส่งสายตารื่นรมย์ “แต่ขอวันเกิดแพหน่อยได้ไหม?
คำขอที่ไม่คาดฝันนั้น ทำเอาแพตรีจ้องเขานิ่งเป็นครู่อย่างจะอ่านใจ
“เอาไปทำไมคะ?”
“เราน่าจะมีอะไรไว้ผูกพันกันบ้างแหละ แพไม่เห็นเหรอ ผมไปถึงบ้านในจังหวะที่ช่วยป้าก้อยได้พอดี มีโอกาสได้เกื้อกูลกัน ถึงแม้ผมจะทำให้แพรักไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอวันเดือนปีเกิดไว้ให้ของขวัญตามโอกาสบ้าง อย่างคนที่คงมีโอกาสเกื้อกูลกันและกันอีกเรื่อยๆจะได้ไหม?”
เขาทวงบุญคุณแบบไม่น่าเกลียด ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอถอนใจยาว ยอมบอก
“๑๕ กุมภา”
เกาทัณฑ์ตาวาว คำนวณวินาทีเดียวจากการประมาณอายุของเธอ ก็ถามว่า
“พ.ศ. ๒๕๔๖ หรือ ๒๕๔๗?”
“๒๕๔๗”
“ขอเวลาเกิดชั่วโมงนาทีด้วยได้ไหม?”
คราวนี้แพตรีถลึงตาจ้อง
“จะเอาไปทำอะไรกันแน่คะ?”
“ก็ถามประสาคนรู้จัก”
“คนรู้จักอะไร ใครเขาถามไปถึงฤกษ์ยามนาทีกันขนาดนี้คะ จะมีก็แต่คนคิดไม่ซื่อเท่านั้นแหละ!”
“หาว่าผมจะเอาไปประกอบพิธีไสยศาสตร์รึนี่? ผมจบดอกเตอร์นะ”
เกาทัณฑ์โต้ตอบอย่างใจเย็น แต่เห็นแพตรีเหมือนจะเริ่มรำคาญและไม่อยากคุยต่อ โดยเธอลุกขึ้นปุบปับ ทำท่าจะก้าวจากไปเงียบๆ และนั่นก็ทำให้เกาทัณฑ์ใจหาย เกิดปฏิกิริยาแบบไม่ทันคิด ลุกพรวดขึ้นรั้งร่างระหงมากอดเต็มอ้อม
ความเคลื่อนไหวจังหวะเดียวฉับพลัน แปรเป็นสงบงันเงียบเชียบ ห้วงเวลานั้นเหมือนเขาได้โอบกอดความละมุนขั้นสูงสุดในสรวงสวรรค์ สัมผัสจริงยิ่งกว่าจริง และแทนที่จะมีปฏิกิริยาแข็งขืนดังคาด กลับรู้สึกว่าร่างในอ้อมแขนโอนอ่อนให้เขานิ่งนาน
“บอกซิว่าทำยังไงผมจะได้แพมา”
“ต่อให้ได้จริง ก็เหมือนฝันไปว่าได้มา เดี๋ยวทุกสิ่งก็หายไป”
เสียงเธอกระซิบอยู่ข้างหู เป็นข้างหูของตัวจริงของเกาทัณฑ์ที่จมร่างอยู่ในเก้าอี้ห้องนิวโรแล็บ
ฝันสลายกลายเป็นตื่นขึ้น รับรู้โลกความจริงที่ไม่มีเธอคนนั้นในอ้อมกอด เกาทัณฑ์ค่อยๆเปิดตารับรู้ความสว่างนวลของห้อง ส่วนหนึ่งของใจพุ่งออกไปในทิศทางที่แพตรีอยู่ แล้วกายก็พรวดพราดพุ่งออกไปตามใจในทิศนั้น!
ชายหนุ่มนำพาหนะคู่กายแล่นตะบึงออกสู่ถนนสีชมพูอันวายรถอย่างเป็นใจให้กดเท้าเหยียบคันเร่งลึก รถทะยานราวกับลูกปืนด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์ไฟฟ้ากำลังสูง แต่ก็ไม่ด่วนเท่าใจเขาในยามนี้เลย แสงแดงของไฟท้ายรถบนถนนถูกดูดฮวบฮาบเข้าหาตัวคันแล้วคันเล่า แต่ก็เหมือนจะไม่จบไม่สิ้นเสียที
มาถึงบ้านปู่ชนะในช่วงห้าทุ่มเศษ เมื่อเข้าใกล้เป้าหมาย เขาก็ชะลอรถลงคลานเอื่อยมาจอดแอบกำแพงก่อนถึงหน้าประตูรั้ว
ณ บัดนั้น สติจึงกลับมา เหมือนกายเพิ่งตามใจทัน จนค่อยถามตัวเองว่าเขามาที่นี่ทำไม? นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่แล่นตามอารมณ์แบบไร้จุดหมาย ไม่มีการวางแผน ไม่มีการหวังผล ไม่มีสิ่งใดอยู่ในหัวล่วงหน้าทั้งสิ้น
ขอแค่ได้มา!
หน้าต่างห้องที่อยู่ปีกซ้ายของเรือนยังสว่าง เกาทัณฑ์รู้สึกว่านั่นคือห้องนอนของเธอ จึงนั่งกอดอกยิ้มมองนิ่งๆ มันไม่ใช่หน้าต่างหรอกที่ทำให้เขายิ้ม ความรู้สึกว่าใกล้เธอแค่นี้ต่างหาก ที่ก่อสุข และนึกอยากนั่งมองไปเรื่อยๆจนกว่าใจจะพอ
ได้กอดเธอในฝัน แล้วตื่นมามองที่ที่เธออยู่อาศัย แม้จะในระยะห่าง กลางจิตกลางใจก็เต็มอิ่ม
ในความเงียบของยามดึก มีแต่เสียงจักจั่นเรไรจากพงหญ้า เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักเงี่ยหูฟังอย่างดื่มด่ำ อาจเพราะส่ำเสียงเสนาะโสตนั้นเคล้าคลอไปกับแสงไฟจากห้องเธอ ที่ดูสวยหลอกตาน่าเพลินหลง ดุจเดียวกับคมเสี้ยวจันทร์สีเงินยวง ณ เบื้องบน
เกือบเที่ยงคืน ร่างของแพตรีเคลื่อนผ่านหน้าต่างไปวูบหนึ่ง ก่อนแสงไฟจะปิดมืด ยืนยันว่าเขามองไม่ผิดห้อง นั่นเป็นห้องนอนของเธอจริงๆ
เธอคงเข้านอนแล้ว เกาทัณฑ์เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาขณะหนึ่ง เหมือนตอนนั้นเขาคอยเฝ้าระวังภัยให้ และแน่ใจว่าจะไม่มีใครผ่านเขาเข้าไปหาเธอได้เลย
ปิดตานิ่งเป็นครู่ ระลึกซ้ำถึงการได้กอดร่างแน่งน้อยในฝัน บอกตนเองว่าไม่เคยมีความสุขขนาดนั้นมาก่อน เขายอมปิดการทำงานของสมอง ยอมโง่เอาสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดไปแลกกับการได้กอดเธอไปเรื่อยๆ
กำลังยิ้มหวานอยู่ดีๆ ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินกังวานเสียงนุ่มทะลุกระจกรถเข้ามา
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
ชายหนุ่มเปิดตา แพตรี!
ใจเต้นแรงเหมือนจะวาย เธอในเสื้อคลุมชุดนอนมายืนประชิดรั้วเงียบๆโดยเขาไม่ทันรู้ และขณะนี้กำลังจับจ้องจากมุมทแยงด้วยแววสงสัยเต็มที่
เกาทัณฑ์ปรับสติ ก่อนเปิดประตูก้าวลงมา เดินหน้าเข้าหาอีกฝ่ายแบบฝืนทำเป็นอกผายไหล่ผึ่ง ยิ้มเจื่อนให้
“แพ…”
เอ่ยออกมาได้เท่านั้นจริงๆ เมื่อครู่พอเธอปิดไฟห้อง คงเหลือบมาเห็นรถเขาจอดอยู่ แม้เขาจอดแอบกำแพงก่อนถึงประตูรั้ว แต่หน้ารถและหลังคารถคงโผล่ให้เห็นจากมุมมองชั้นสองอยู่ดี
นาทีนี้ ที่ต้องเผชิญกับสีหน้าสีตาฉงนฉงายของเธอ เขาจึงรู้ตัวว่าพาตนเองมาอยู่ในสถานการณ์สิ้นท่า น่าประดักประเดิดเพียงใด
เอาล่ะสิ! จะบอกเธออย่างไรดีล่ะทีนี้?
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
ถามตามซื่อๆ ใจหนึ่งนึกห่วง แต่อีกใจก็ระแวง
“เปล่า… ทุกอย่างเป็นปกติดี ผมแค่… เฮอะๆ…”
แม้เขาเองก็รู้ตัวว่าเสียงหัวเราะแก้เก้อของตนฟังตลก ชายหนุ่มยกมือเกาหัวเบาๆ ชั่งใจว่าจะกล้าบอกไปตรงๆเลยดีไหม เขาก็แค่มาด้อมๆมองๆ ไม่ต่างจากกระต่ายแหงนคอหมายกระต่ายอีกตัวบนดวงจันทร์
หญิงสาวมองกวาดจากศีรษะจรดเท้า อ่านภาษากายและกิริยาเงอะๆงะๆของอีกฝ่าย อย่างนี้แปลว่าอะไรไม่ยากแล้ว เธอจึงกอดอกนิ่งไม่พูดจา ส่งสายตามองไปทางอื่นแทน
เกาทัณฑ์ยิ้มออกมาได้ นึกรักทุกกิริยาของแพตรี สิ่งที่แฝงอยู่ในความนิ่งและทุกการเคลื่อนไหวช่างก่อความรู้สึกแสนดีให้กับคนเห็น
“เมื่อกี๊แพทำอะไรอยู่เหรอ?”
ถามแบบไม่มีอะไรจะถาม ราวกับสนิทกันพอที่จะถาม หญิงสาวปรายตาสบด้วยแววที่เจตนาให้รู้ว่าห่างเหิน นานอึดใจหนึ่งก่อนตอบนิ่มๆ
“ธุระส่วนตัวน่ะค่ะ… คุณล่ะคะ?”
เกาทัณฑ์หน้าชา เกือบไปต่อไม่ถูก อากาศชื้นน้ำค้างทำให้แยกแยะออกว่า ไม่ใช่ฝันแล้ว นี่เรื่องจริง!
ก็ถ้าจริงแล้วทำไมต้องกลัว?
แสงสลัวเลือนจากไฟแรงเทียนต่ำข้างทาง สว่างพอทำให้เห็นประกายกล้าในตาเขา
“ผมแค่อยากรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้แพสักพักหนึ่ง ไม่ได้จะรบกวนอะไรหรอก”
“ตอนนี้น่าจะได้เวลากลับแล้วใช่ไหมคะ?”
เกาทัณฑ์หัวเราะเบาๆ ระบายลมหายใจยาว เงยหน้ามองเบื้องบน
“ใช่!” ยิ้มรับคำไล่ของเธอดีๆ ห้วงฟ้ามืดดูกว้าง ลึก อลังการด้วยดวงดาว แต่เยือกหนาวด้วยระยะห่าง “ก่อนแพจะส่งเสียงทัก ผมกำลังจะกลับพอดี”
“ค่ะ! ขับกลับระวังนะคะ อย่าบึ่งตะบึงตะบอนแทบไม่เหยียบเบรกเหมือนตอนขามา”
ชายหนุ่มหันขวับมาจ้องเธอด้วยความพิศวง แต่เมื่อนึกได้ว่าแพตรีอยู่กับปู่ชนะมาแต่อ้อนแต่ออก เลยเลิกแปลกใจ
“ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“กลัวเป็นอันตรายกับคนอื่นน่ะค่ะ”
เกาทัณฑ์คอตก ยกมือกุมขมับซ่อนอาการทำหน้าไม่ถูก ก่อนทำทีกวาดตามองรอบด้าน ยิ้มฝันๆ
“แถวนี้ดีจัง น่าปูเสื่อนอนมองฟ้านะ”
“เดินทางปลอดภัย ขอตัวก่อนนะคะ”
เกาทัณฑ์ยิ้มให้แบบพูดอะไรไม่ออก ทีแรกจะตัดใจเอ่ยลาและหันหลังกลับเช่นกัน แต่เหมือนข้างในมันเฉื่อยและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำตามสมองสั่ง
“ผมรักแพ!”
พูดเต็มปากเต็มคำอย่างรู้ว่าพูดอะไร แม้คล้ายพูดบ้าๆแบบไม่คิด แต่พอถ้อยคำที่ติดอยู่ในใจหลุดออกไปก็โล่งอกอย่างประหลาด
“ผมรู้ว่าเราเพิ่งคุยกันแค่สองสามคำ และรู้ด้วยว่าตอนนี้แพเห็นผมเป็นแค่ตัวตลกอะไรตัวหนึ่งที่มาติดหลงหน้าตา แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าให้อธิบายไป อย่างมากคงแค่ทำให้แพหัวเราะเยาะผมน้อยลง เอาเป็นว่า… ผมจำแพได้ และถ้าแพจำผมได้ก็อย่าแกล้งเมินกันอีกเลย”
หญิงสาวหรี่ตาพินิจเขาครู่หนึ่ง ก่อนสัมผัสว่าเขาไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้นิดหน่อย แต่ทำเป็นพูดเหมือนรู้ดี แกล้งลักไก่แบบพวกต้มตุ๋นเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เธอจึงตอบไปห้วนๆว่า
“ขอโทษนะคะ ดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
แล้วแพตรีก็หมุนตัวกลับ ทำท่าจะสาวเท้าขึ้นเรือนหนีเขา
“แพ!”
เป็นเสียงเรียกที่ประกาศิตพอใช้ หญิงสาวหยุดกึกเหมือนถูกสะกดด้วยฤทธิ์แห่งโองการเทวะ
“ผมรู้น้อย แต่มั่นใจมากนะ วันหนึ่งเราจะต้องได้อยู่ด้วยกันอีก!”
แพตรียังนิ่งอยู่กับที่ ไม่เหลียวกลับ ไม่เดินหน้าต่อ ทว่าแค่นั้นเกาทัณฑ์ก็พอใจแล้ว
เกาทัณฑ์กลับขึ้นรถและขับจากไปเงียบๆ รู้สึกเหมือนมีตาที่สามมองเห็นได้ว่าเบื้องหลังที่เขาจากมา คือร่างนิ่งของหญิงสาวซึ่งยังยืนค้างอยู่ตรงจุดเดิมอีกเนิ่นนาน