บทที่ ๑๐ โหราศาสตร์


เกาทัณฑ์กดออดแล้วยืนรอที่หน้าประตูรั้ว เมื่อเห็นปู่ชนะเดินลงจากเรือนมาเปิดให้ด้วยตนเอง ก็ยกมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม ไหว้แล้วก็อดเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่กไม่ได้

"มองหาอะไร?"

ปู่ถามพลางไขกุญแจประตู

"หาแพครับ"

เป็นคำตอบตรงไปตรงมาที่ทำให้ปู่ชนะหัวเราะหึหึ

“ตกลงนัดนี้แกจะมาหาฉันหรือมาหาแพ?”

“มาหาปู่ครับ!” เกาทัณฑ์ยิ้มประจบ “ที่ถามเพราะปกติผมเห็นแต่แพหรือป้าก้อยช่วยปู่รับส่งแขก”

“เขาออกไปซื้อของเข้าบ้านด้วยกัน”

“อ้อ! ใช่! รถไม่อยู่ในโรงจอด… ตอนนี้ป้าก้อยเป็นปกติดีแล้วใช่ไหมครับ?”

“ฉันให้พักดูอาการอยู่จนเห็นว่าน่าไว้ใจ ก่อนให้กลับมาทำงาน”

“ระหว่างนี้น้องแพคงเหนื่อยแย่”

สองชายต่างวัยคุยพลางเดินขึ้นเรือนไปด้วยกันแบบไม่รีบ และเมื่อลงนั่งประจำที่เรียบร้อย เกาทัณฑ์ก็ยกมือไหว้ปู่ด้วยความนอบน้อม

“กราบขอบพระคุณปู่นะครับ ที่เมตตาสอน วันนี้ผมมารายงานความคืบหน้า และขอแนวทางเพิ่มเติม”

“แกก็ดูดีแหละ” ปู่ชนะให้คะแนนจากการมองผาด “พอฐานสมาธิดีขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้ความจริงทั้งหลายได้ง่ายขึ้น ถึงจุดหนึ่งแกอยากรู้อะไรก็จะได้รู้”

“ปู่ครับ ผมรู้อะไรขึ้นมาบางอย่าง อยากมาให้ปู่ช่วยรับรองว่าถูกต้องแค่ไหน”

“รับรองอะไร?”

“แพเกิดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์หรือเปล่าครับ?”

ฟังแค่นั้น ชายชราก็ทราบทันทีว่าจิตของลูกศิษย์หนุ่มเริ่มเปิดออกไปรู้เห็นความจริงบางอย่างได้

“ใช่!”

“ปี ๒๕๔๗?”

ผู้เป็นครูกรรมฐานยิ้มพราย

“ไม่เลว!”

“ผมพยายามเจาะจงเวลาเกิดด้วย แต่ยังทำไม่ได้ เหมือนถูกปิดกั้นไว้”

“แกรู้ครึ่งๆกลางๆจากความฝันใช่ไหมล่ะ?”

เกาทัณฑ์ยิ้มอายๆ แต่ยืดอกรับ

“ใช่ครับปู่! ผมฝันถึงแพ แต่มีสติตื่นเต็ม รู้ตัวว่าฝัน แล้วก็รู้สึกว่าสามารถคุยกับนิมิตตัวแทนของแพได้ ราวกับแพไปอยู่ตรงนั้น เลยทดสอบด้วยการถามวันเดือนปีเกิด ซึ่งตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้วครับ ดีใจที่ตรงกับความเป็นจริง”

“ก็จัดเป็นอุปเท่ห์วิธีทางจิตชนิดหนึ่ง ได้คำตอบจากความฝัน”

“ในทางพุทธ ความฝันถือเป็นประตูไปสู่ความรู้ความเข้าใจได้ถึงไหนครับปู่? เราจะรู้แจ้งเรื่องวิบากกรรมหรือบรรลุมรรคผลจากฝันได้ไหม?”

“บางนิกาย บางแนวปฏิบัติ ก็ยึดความฝันเป็นประตูไปสู่ทุกสิ่งได้อย่างแกว่า แต่ถ้าเอาแบบเถรวาทที่สืบทอดธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง จะมุ่งเน้นเอามรรคผลจากสมาธิระดับสูงที่เกิดขึ้นขณะมีสติตื่นเต็มเท่านั้น”

“แปลว่าผมไม่ควรเสียเวลาเอาจริงเอาจังกับการสร้างสติในฝัน?”

“ถ้าอยากออกจากฝันร้าย อยากเข้าใจว่านิมิตฝันเกิดขึ้นเพื่อเตือนอะไร หรืออยากซ้อมดูว่าพูดกับใครยังไงแล้วเขาจะตอบกลับมาท่าไหน การฝึกสติในฝันอาจให้ข้อมูลกับแกได้มากมาย ดีกว่าฝันทิ้งไปเปล่าๆ แต่ถ้าจะเอาญาณทัศนะที่บริสุทธิ์ เอามรรคผลที่ถูกต้อง แกไม่สามารถคาดหวังจากจิตขณะหลับ ต้องเอาจากจิตขณะตื่นเท่านั้น”

เกาทัณฑ์พยักหน้าอย่างเข้าใจขอบเขตชัดขึ้น

“ตอนนี้ผมเห็นภาพขึ้นมารางๆครับว่า การเกิดตามกรรมเป็นเรื่องจริง ฤกษ์คลอดก็เป็นส่วนหนึ่งที่วิบากกำหนดไว้แล้ว”

“อือ… ดวงดาวและพิกัดภูมิศาสตร์บอกใบ้ให้ตอนเกิดว่า แต่ละคนพกเอากรรมแบบไหนติดตัวมาด้วย”

“ขอทราบไว้เป็นความรู้นะครับ ฤกษ์เกิดของแพมีความหมายอย่างไร?”

“ยายแพเกิดที่กรุงเทพฯ เวลาตีห้าสิบห้าของวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ถ้าตีความตามโหราศาสตร์ไทยและจีนเฉพาะที่ตรงกัน ก็ต้องบอกว่า วัยเด็กกำพร้าพ่อแม่ แต่กลายเป็นฐานให้ได้รับการเลี้ยงดูบนเส้นทางมหากุศล เข้าใจโลก อ่านคนออก สวยแบบลึกลับ มีเสน่ห์ดึงดูดโดยไม่ต้องพยายาม แต่มีคู่ยาก ไม่ต้องการชีวิตรักแบบผูกมัด เหมาะจะเป็นครูสอนธรรมะ มีสิทธิ์เข้าถึงธรรมโดยไม่ต้องออกบวช”

เกาทัณฑ์อ้าปากค้างเป็นครู่

“อันนี้คือสิ่งที่ปู่รู้ และเข้าใจแพมาตั้งแต่แรกเกิด?”

“ใช่! ถ้ารู้และเข้าใจเกี่ยวกับคนคนหนึ่งไว้ล่วงหน้า ก็เป็นแนวทางการเลี้ยงดูได้เหมือนกัน”

“เมื่อกี๊ปู่บอกว่า ‘ตีความจากไทยและจีนเฉพาะที่ตรงกัน’ แปลว่าสองโหราศาสตร์มองแพไว้ไม่เหมือนกันด้วย?”

“ฉันเลือนๆไปแล้ว เท่าที่นึกออก ถ้าดูตามดวงจีน ภาพจะออกมาไม่มีคู่ เพราะไม่มีธาตุคุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถ้าดูตามดวงไทย จะเห็นความเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับผู้ชายที่มีฤกษ์เกิดแบบไหน”

“ต้องอย่างนี้สิครับ!” เกาทัณฑ์ตบเข่าฉาด ลั่นเสียงสนับสนุน ตาเป็นประกายอย่างเปิดเผย “ท่าทางดวงไทยน่าจะแม่นยำกว่าดวงจีน”

“มันขึ้นอยู่กับวิธีตีความและตัวแปรต่างๆ ไม่ใช่ว่าโหราศาสตร์ของประเทศไหนที่แม่นกว่า เหนือชั้นกว่า หรือดีที่สุดหรอก”

ท่านพูดกลางๆ ทำเป็นไม่รู้ว่า ที่หลานชายพูดตาเป็นประกายนั้น สื่อว่าเป็นเรื่องเข้าตัวท่าไหน

“เข้าใจแล้วครับ!” แล้วเกาทัณฑ์ก็เอ่ยตามที่คิด “ผมสังหรณ์ว่าปู่มีความรู้ความเข้าใจที่เชื่อมโยงได้ลึกซึ้งกว่านั้น… อย่างเช่นรูปลักษณะหน้าตาของแพ เมื่อถอดรหัสตามศาสตร์โหงวเฮ้งออกมาแล้ว ถือว่าสอดคล้องกับโหราศาสตร์ไหม?”

“อือ…” ชายชราหรี่ตาลงเล็กน้อย “โหราศาสตร์คือรหัสบนท้องฟ้า โหงวเฮ้งคือรหัสในโลกมนุษย์ เมื่อกรรมส่งใครมาเกิดที่ไหนเวลาใด รหัสจากดวงดาวและรหัสของรูปกายจะลงล็อกกันพอดีเสมอ”

“แปลว่า ถ้าอ่านโหงวเฮ้งได้จริง ก็จะเห็นเบาะแสเดียวกับที่ได้จากดวงดาว?”

“ใช่! โครงหน้า ตา คิ้ว จมูก ปาก ตลอดจนรูปร่าง เหล่านี้สะท้อนสิ่งเดียวกับที่ดวงดาวบอก”

“ขอตัวอย่างหน่อย รหัสหน้าตาแบบแพ สะท้อนอะไรจากรหัสดาวบ้างครับ?”

“อย่างริมฝีปากที่อวบอิ่มได้รูป สีสวยเป็นธรรมชาติ นั่นก็เทียบได้กับดาวศุกร์ที่เปล่งอิทธิพลอยู่ในราศีสำคัญ ส่งผลให้มีเสน่ห์ดึงดูดและเมตตาต่อผู้คนรอบข้าง”

เกาทัณฑ์หยิบมือถือมาเปิดแอพแสดงภาพที่เขาแอบถ่ายแพตรีไว้หลายมุม โดยเลือกรูปที่หน้าตรงกว่ารูปอื่นมา แล้วใช้ปากกาประจำเครื่องวงรูปปากของเธอ โยงเส้นไปเขียนกำกับสั้นๆว่า ‘เสน่ห์-เมตตา’

“แล้วอย่างดวงที่สนับสนุนให้แพได้มาอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูทั้งทางโลกและทางธรรมจากปู่ สอดคล้องกับโหงวเฮ้งตรงไหนครับ?”

“ตามฤกษ์เกิดของยายแพ ดาวพฤหัสอยู่ในราศีที่สนับสนุนบุญและการเข้าถึงธรรม โหงวเฮ้งที่เสริมกันกับดวงดาว คือ มีหน้าผากกว้าง หน้าตาเปล่งประกายผู้มีวาสนา”

“น่าสนุกจริงๆ” เกาทัณฑ์วงหน้าผากและดวงตา โยงเส้นไปเขียนกำกับว่า ‘ธรรมะ’ แล้วถามต่อ

“บุคลิกของแพดูมั่นคง เป็นผู้ใหญ่เกินวัย เราควรเลือกอธิบายจากการฝึกสมาธิ หรือเลือกอธิบายจากดวงดาวและโหงวเฮ้งดีครับ?”

“ต่อให้แพไม่ฝึกสมาธิ ดาวเสาร์ในฤกษ์เกิดก็ให้บุคลิกมั่นคงดูเป็นผู้ใหญ่มาอยู่แล้ว ในทางโหงวเฮ้ง ก็ได้ร่างสูงระหงสมส่วน มีไหล่ตั้ง คอตรงอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งพอไปบวกกับที่แพประพฤติตัวสอดคล้องกับดวงเดิม คือเข้าใจธรรมะด้วย ฝึกสมาธิด้วย ก็เลยเสริมกันครบวงจร มีเสน่ห์เตะตาที่แตกต่างจากใครๆ”

“หมายความว่าถ้าแพฝืนดวง กินเหล้าเมายา ไม่ศึกษาธรรมะ ทำสมาธิไม่เป็น ก็อาจยังดูเป็นผู้ใหญ่ น่าเชื่อถืออยู่ แต่เจ้าตัวจะรู้สึกถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงจากภายใน?”

“อย่างนั้น! แล้วสมัยนี้ก็เป็นกันเยอะเสียด้วย เป็นทุกข์กับความขัดแย้งภายใน ทรมานใจกับความรู้สึกผิดฝาผิดตัว ไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนโดนภูตผีปีศาจเข้าสิง ที่หนักคือหลายคนต้องไปนั่งเศร้าอยู่ในคุก ทั้งที่โหงวเฮ้งควรอยู่ในคฤหาสน์”

“อือม์… ผมตีความถูกไหม? ถ้าดูโหงวเฮ้งหรือรหัสดาวแบบเปลือกๆ เราอาจตีความคนคนหนึ่งผิดอย่างมหันต์ เพราะไม่รู้ว่าแก่นแท้อันได้แก่จิตวิญญาณของเขา เปลี่ยนแปลงไปจากเส้นทางเดิมแล้ว?”

“ถูก! ที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แปลว่าใจนั่นเองที่พามาอยู่ใต้ฤกษ์เกิดนี้ ได้โหงวเฮ้งแบบนี้ ดีเอ็นเอแบบนี้ แต่ใจก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามกรรมใหม่”

“เจตนาเป็นเครื่องชี้กรรมใช่ไหมครับ?”

เขาถามตามที่อ่านและฟังธรรมะมากขึ้นในช่วงหลังๆ

“ใช่แล้ว!”

“รหัสดาวกับโหงวเฮ้งคือกรรมเก่า เจตนาดีร้ายคือกรรมใหม่?”

“อันนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสเลย ท่านว่า กายใจนี้คือกรรมเก่า ส่วนเจตนาดีชั่วคือกรรมใหม่”

“ถ้ามีจุดสังเกตให้ผมอย่างนี้ ต่อไปผมอาจพยายามประสานรหัสทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทั้งจิต กรรม ดวงดาว โหงวเฮ้ง และดีเอ็นเอ เพื่อให้ได้คำตอบทะลุจักรวาล”

“ได้อย่างนั้นก็ดี ฉันจะอยู่อนุโมทนาทันก่อนตายไหม?”

“ขอแค่รอเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์กับซูเปอร์เอไอ ตลอดจนผมเก็บข้อมูลได้มากพอจะออกแบบสร้างโมเดลเชื่อมโยงกัน ซึ่งรวมๆแล้วก็น่าจะสัก ๑๕ ถึง ๒๐ ปีครับ”

“งั้นคงไม่ทัน” ท่านพูดอย่างเป็นเรื่องธรรมดา “ดวงฉันน่าจะสิ้นสุดอายุที่ราว ๘๖”

เกาทัณฑ์ก้มหน้าบีบมือ ชีวิตเตรียมความลงตัวที่เลือกไม่ได้ไว้หลายสิ่ง บางอย่างก็น่ายินดี บางอย่างก็น่าเสียดาย แต่วูบหนึ่งเมื่อคิดได้ว่า ปู่ยังมีเวลาของความเป็นครูเหลือให้เขาอีกหลายปี ชายหนุ่มก็เงยหน้าถามเป็นปกติ

“ปู่เริ่มเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ได้อย่างไรครับ?”

“เริ่มจากการด่าเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ตอนเห็นมันหมกมุ่นกับตำราโหราศาสตร์แบบเอาเป็นเอาตาย ฉันว่าโง่มากที่เอามันสมองดีๆไปทุ่มให้กับวิชาโบราณที่พิสูจน์แล้วว่างมงายเพ้อเจ้อ” แล้วท่านก็ขยายความ “ที่ฉันว่างมงายเพ้อเจ้อ เพราะคนรอบตัวของฉันกำลังเห่อวิทยาศาสตร์ แล้วหมอดูที่ไม่รู้อะไรมากก็พากันตั้งโต๊ะพยากรณ์มั่วๆ หากินกันแบบไม่อาย”

“เป็นมาทุกยุคทุกสมัย”

“แต่เพื่อนของฉันก็ใจเย็น บอกว่าเขาเองก็เคยคิดแบบเดียวกัน จนไปรู้เรื่องของนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ชื่อ มิเชล โกเกอลัง นายคนนี้ไม่ได้เป็นหมอดู แต่เป็นนักสถิติที่อยากรู้ว่าคนประสบความสำเร็จสูงๆ เช่น นักกีฬาระดับแชมป์ เป็นพวกมีดาวเด่นนำชัยอย่างที่ร่ำลือกันมาช้านานหรือเปล่า”

“พบสินะครับ?”

ปู่ชนะผงกศีรษะ

“หลังจากรวบรวมโมงยามอันเป็นฤกษ์เกิดของนักกีฬาเด่นจำนวนมาก เอาไปเทียบกับตำแหน่งดาวบนท้องฟ้าในจังหวะเวลาเกิดของแต่ละคน ปรากฏว่านักกีฬาระดับท็อปมักเกิดตอนที่ดาวอังคารอยู่ในจุดกำลังขึ้นจากขอบฟ้า หรืออีกทีก็อยู่สูงกลางฟ้า ต่างจากคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด”

“โอ้!”

ดอกเตอร์หนุ่มทำหน้าทำตาสนใจจริงจัง เพราะดูเหมือนนั่นจะเป็นครั้งแรกที่เขารับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโหราศาสตร์แบบมีที่มาที่ไปเข้าใจง่าย

“ผมเกิดวันอังคารพอดี” เป็นครั้งแรกที่เกาทัณฑ์นึกสนใจเรื่องของตนเองในเชิงโหราศาสตร์ขึ้นมา “อย่างผมน่าจะได้พลังเสริมจากดาวอังคารไหมครับนี่?”

“วันอังคารไม่ได้แปลว่าดาวอังคารเด่นเสมอไปหรอก วันเวลาเกิดของแกคืออะไรล่ะ?”

“วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๘ เวลาบ่ายสองแปดนาทีครับ”

“อือ… อังคารกุมกลางฟ้านะ โดดเด่นบนจุดอาชีพและชื่อเสียง ขึ้นเวที นำทีม ชนกำแพงใหญ่ เหมาะกับงานกล้าชนความเชื่อของโลก แล้วชะตาเกิดยามบ่าย ทำให้ดวงไม่ใช่สู้เพื่อเอาชนะเฉยๆ แต่สู้เพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่จะอยู่ยืนนาน เหมือนแม่ทัพที่ไม่เคยเอาแรงไปทุ่มแบบเสียเปล่า”

โหรทั่วไปต้องเปิดผัง ดูตำแหน่งดาวกับเรือนก่อน จึงจะกล้าพูดอะไรสักอย่าง แต่สำหรับปู่ชนะ ผู้มีตารางดาวอยู่ในหัวเหมือนนักเคมีที่ท่องตารางธาตุขึ้นใจ แค่ได้ยินวันเวลาเกิด ก็พอจะเห็นเค้าโครงของดาวเด่นคร่าวๆ ร่ายยาวได้แล้ว

“แล้วดาวอะไรในดวงของผม ที่กำหนดโหงวเฮ้งแบบนี้มาครับ?”

“โหงวเฮ้งแกที่เด่น คือหน้าผากทรงสูง ใบหน้ายาว แล้วก็นัยน์ตาคมชัดแบบคนไอคิวสูง แต่ไม่ได้มีดาวดวงไหนบังคับไว้หรอกนะว่า จะต้องมีโหงวเฮ้งแบบนี้”

“อ้าว! ฟังที่ปู่สาธยายเกี่ยวกับแพ ผมนึกว่าดวงดาวเจาะจงโหงวเฮ้งไว้เสียอีก”

“โหงวเฮ้งขยายความดวงดาว อย่างเช่นถ้าอังคารกุมกลางฟ้าแล้วหน้าผากแคบตื้น ตาแข็ง ก็แปลว่าเป็นอังคารบ้าพลัง กล้าชน เลือดร้อน วู่วามไม่รู้จักคิด แต่หากอังคารกุมกลางฟ้าด้วย หน้าผากสูงด้วย ตามีประกายแบบนักคิดด้วย ก็แปลว่าเป็นอังคารกลยุทธ์ มองการณ์ไกล วางแผนก่อนเดินหมาก ไม่ยอมทุ่มแรงเพื่อความสูญเปล่า”

ผู้เป็นหลานนิ่งฟังแบบคิดตามจนจบ แล้วเกิดจุดสังเกต

“ถ้าประกายตาเป็นตัวแปรสำคัญหนึ่งของโหงวเฮ้ง ก็แปลว่าโหงวเฮ้งเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆสิครับ? ผมเห็นเยอะ คนที่เคยมีประกายตาสดใส แล้วหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องแย่ๆ จนกลายเป็นตาขุ่น ตาแฉะไป”

“นั่นแหละตัวอย่างของกรรมใหม่ ที่มีผลกับโหงวเฮ้ง… กรรมเก่าส่งให้มาอยู่ใต้ดวงดาวดีๆ สุขภาพดีๆ มีตาสดใสง่ายๆ แต่ถ้ากรรมใหม่แย่อย่างต่อเนื่อง ตาก็ขุ่น สุขภาพก็แย่ ชะตาร้ายๆอย่างไม่น่าจะร้ายก็ตามมา”

เกาทัณฑ์ยิ้มสนเท่ห์ เข้าใจคำว่า ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ ลึกซึ้งขึ้นมาก

“เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้ครับว่า ผมเป็นพวกมีกรรมเก่าส่งให้มารับอิทธิพลดาวอังคารกับเขาด้วย!”

“ในหมู่คนที่สนใจการเก็บสถิติของโกเกอลัง เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Mars Effect และแค่จุดสังเกตง่ายๆจุดนี้จุดเดียว จึงชวนให้หลายคนมองตามโกเกอลังว่า ดวงดาวมีความสัมพันธ์กับสมองและร่างกายมนุษย์จริง โดยเฉพาะถ้าดูจังหวะเวลาเกิด จะเห็นเป็นภาพรวมเลยว่า จักรวาลมอบคุณสมบัติพิเศษใดติดตัวทารกมาด้วย”

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องของโกเกอลังมาก่อนเลยครับปู่ ตกลงเขาชวนนักวิทยาศาสตร์ในยุคของเขาให้มาเชื่อโหราศาสตร์ได้ไหม?”

“ไม่เลย! สุดท้ายแล้ว ความพยายามของโกเกอลังกลายเป็นโศกนาฏกรรมด้วยซ้ำ เขาฆ่าตัวตายจากความผิดหวัง เพราะโดนวิจารณ์กระหึ่ม ฝ่ายโหรไม่ชอบที่เขาหักล้างหลักการคำทำนายดั้งเดิม ส่วนฝ่ายวิทย์ก็ไม่อยากเข้าข้าง ‘ไสยศาสตร์’ ด้วยการยอมรับว่าดาวมีผลอะไรกับมนุษย์”

“ที่ฝ่ายวิทย์ไม่ยอมรับ เป็นเพราะโกเกอลังเข้มงวดในเชิงวิทยาศาสตร์ไม่พอหรือครับ?”

“ถ้าว่ากันในทางวิทยาศาสตร์ ฐานข้อมูลของโกเกอลังใหญ่จริง เฉพาะจำนวนนักกีฬาก็ร่วมสองหมื่นคน อีกทั้งมีการวิเคราะห์แบบคุมตัวแปร ใช้ระบบสถิติอันเป็นที่เชื่อถือ แล้วก็ศึกษาแบบขุดคุ้ยซ้ำๆ เปิดเผยวิธีอย่างชัดเจนโปร่งใสอย่างเป็นสาธารณะ”

“นั่นสิ! แล้วทำไมโลกไม่รับ?”

“อะไรพรรค์นี้มีข้อจำกัด เช่น ในความเป็นจริงทางฟิสิกส์ แรงโน้มถ่วงของดาวอังคารอ่อนเกินกว่าจะมามีผลอะไรกับสมองมนุษย์ โหราศาสตร์จึงเหมือนไสยศาสตร์ โดนมองว่าเป็นศาสตร์แห่งความงมงาย ใครลุกขึ้นมาเข้าข้างจะถูกสังคมวิทยาศาสตร์ตราหน้าว่าบ้าบอ โดนมองด้วยสายตาเหยียดหยามและรอยยิ้มหยันกัน อันนี้แกก็น่าจะรู้”

“คงอย่างนั้นครับปู่” เกาทัณฑ์ตอบยิ้มๆในฐานะคนวงใน “แต่ถ้าคนพูดมีเครดิตพอ หรือเคยเห็นฝีมือกันมาก่อน พวกผมก็พร้อมเปิดใจให้ครึ่งหนึ่งครับ ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวแถวจริงๆ การเหยียบย่ำความเชื่อโบราณไม่ใช่ความเท่อีกต่อไป ขอแค่มีหลักฐานให้ตรวจสอบกันได้จนพรุนเถอะ รับฟังได้หมด”

“เออ! ก็จริงนะ ฉันลืมไปว่าแกได้เงินทุนไม่อั้นมาทำอะไรอยู่”

“ผมสงสัยอีกอย่าง… โกเกอลังสร้างคัมภีร์โหราศาสตร์ขึ้นมา ก็ด้วยฐานข้อมูลบุคคลจำนวนมหาศาลกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แล้วคนโบราณที่ไม่มีเทคโนโลยีช่วยล่ะครับ เขาใช้อะไรสร้างคัมภีร์โหราศาสตร์?”

“แต่ละศาสตร์มีที่มาที่ไปของตัวเอง อย่างเช่นวิชาโชติษะในคัมภีร์เวทางคศาสตร์ของพราหมณ์ ที่บอกวิธีคำนวณการโคจรของดวงดาวได้ละเอียด ก็เกิดจากการที่ฤาษีนารทะท่านรับความรู้จากเหล่าพรหมมาถ่ายทอด และเชื่อมโยงกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด โดยชี้ว่ากำเนิดของมนุษย์ทุกคนมีความผูกโยงกับรูปตำแหน่งดาวบนฟ้า สอดคล้องกับการให้ผลของกรรม และนั่นแหละเป็นรากฐานของวิชาโหราศาสตร์”

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วสูง

“แปลว่าความจริงเกี่ยวกับกรรมและวิบาก ภพภูมิและการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ได้เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของพุทธศาสนาเท่านั้นหรือครับนี่?”

“ความจริงเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด เป็นความจริงสากล ใครมีสมาธิจิตเป็นแว่นส่องความจริงได้ ก็เห็นเหมือนกันหมดนั่นแหละ เหมือนดีเอ็นเอ จะใช้กล้องอิเล็กตรอน จะใช้โมเดลทางเคมีฟิสิกส์ของโมเลกุล หรือจะใช้จิตสัมผัส ถ้าเห็นจริงก็ต้องได้ข้อมูลตรงกัน ยันกันได้”

“นอกจากพราหมณ์ ยังมีศาสนาหรือลัทธิอื่นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ยืนยันการเวียนว่ายตายเกิด?”

“ถูกแล้ว! ศาสนาเชน ศาสนาซิกข์ กล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดและแนวทางเพื่อการหลุดพ้นกันทั้งนั้น และอย่างที่แกรู้อยู่แล้ว เมื่อจิตแพทย์หลายคนค้นพบว่า การสะกดจิตพาคนไข้ไประลึกชาติได้ แล้วรวมตัวกันเก็บข้อมูล ยิ่งมากขึ้นเท่าไร วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยิ่งร่ำๆจะเป็นศาสนาใหม่มากขึ้นเท่านั้น”

“งั้นพุทธเราต่างจากแนวเชื่ออื่นตรงไหนครับ?”

“ทุกศาสนา มีรายละเอียดความต่างของเป้าหมายและวิธีพุ่งเข้าเป้า”

“ตามแต่ศาสดาจะมอง?”

“อย่างนั้น! เหมือนที่ปัจจุบันจิตแพทย์หลายๆคนบันทึก ‘ปมชาติก่อน’ ของคนไข้ เบื้องต้นก็เพื่อวินิจฉัยเฉพาะโรคเป็นเป้าหลัก”

“นึกออกครับ ในวงการสะกดจิต คงไม่มีใครตั้งตนเป็นศาสดา ชี้ให้เห็นโทษของการเกิดตายขึ้นมาได้ ตราบใดที่จุดประสงค์ยังเป็นไปเพื่อรักษาโรคเฉพาะกิจ”

“ส่วนศาสนาพราหมณ์ มีคัมภีร์พระเวทเป็นหลัก ตอนต้นสอนให้บูชาเทพหลากหลาย ตอนกลางสอนว่ากรรมและการเวียนว่ายตายเกิดเป็นมายา ตอนปลายสอนเรื่องเข้าฌานเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมผู้เป็นอาตมันสูงสุด รวมได้ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก”

“เหมือนย้อนกลับไปหารากเหง้าอันเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลได้ ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกใช่ไหมครับ?”

“ใช่!”

“ทุกศาสนามีจุดที่ฟังแล้วเข้าเค้ากันทั้งนั้น”

“ถึงเป็นศาสนาได้ไงล่ะ อย่างศาสนาเชน มหาวีระก็สอนเรื่องการไม่เบียดเบียนแม้สัตว์เล็กหรือเมล็ดพืช บำเพ็ญตบะเผากิเลสและกรรมที่ห่อหุ้มวิญญาณให้หมดไป แล้วจะเกิดเกวัลญาณ รู้กรรมและชาติภพได้ แล้วหมดกรรม ลอยขึ้นสู่สิทธศิลา อันเป็นดินแดนของวิญญาณผู้หลุดพ้นในที่สุด”

“พูดง่ายๆว่า ล้างกรรมหมดก็บริสุทธิ์?”

“ใช่! ส่วนของศาสนาซิกข์ คุรุนานักจะสอนให้ระลึกถึงพระนามของพระเจ้าด้วยจิตอันยิ่ง ซึ่งก็จะรู้ว่าชีวิตนี้เป็นเพียงช่วงหนึ่งของวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด หากอยากพ้นไป ก็ต้องหลอมรวมเข้ากับพระเจ้า”

เกาทัณฑ์ฟังถึงตรงนั้นก็ได้ข้อสรุปขึ้นมารางๆ

“ผมชักปะติดปะต่อถูกครับ การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่จริง แต่พอมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ถูกปิดบังไว้ด้วยหูตาคับแคบแค่นี้ คนส่วนใหญ่จึงถูกผลักไปสู่ความงมงายของการเลือกเชื่อ ไม่ใช่เพราะมีหลักฐานในมือ”

“สมัยนี้ มีลัทธิ ‘ไม่เชื่อแปลว่าฉลาด’ ด้วย”

“ครับ! ผมเข้าใจแล้วว่า ทั้งด่วนเชื่อและด่วนไม่เชื่อ นับว่างมงายทั้งคู่ แล้วก็เห็นภาพด้วยว่า ถ้าเป็นนักคิดอย่างเดียวแบบโกเกอลัง แต่ระลึกชาติไม่ได้ ก็เชื่อมโยงไม่ถูกว่า ทำไมแต่ละคนถึงได้รหัสดาวประจำตัวอย่างนั้น”

“อือ… โกเกอลังไปไม่ถึงความเชื่อว่ามีชาติก่อนด้วยซ้ำ เขาเหมือนนักวิทยาศาสตร์หลายๆคนที่ยึดแค่หลักฐานจับต้องได้ท่าเดียว”

“ส่วนจิตแพทย์ที่สะกดจิตคนไข้ไปจนระลึกชาติได้ ก็มองไม่เห็นอะไรที่สูงส่งเหนือไปกว่าการมีชีวิต ไม่มีข้อเปรียบเทียบว่า จะหลบให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปอยู่กับอะไรที่ดีกว่า”

“วิธีสะกดจิตยังเสี่ยงกับการสร้างความจำปลอมด้วย พอไม่เห็นความจริงทั้งหมด โอกาสเกิดญาณหยั่งรู้ความจริงขั้นสูงกว่านั้นก็ยิ่งยาก”

“ส่วนศาสดาที่หยั่งรู้เรื่องภพชาติและการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วยตนเอง อันนี้สาวกทั้งหลายก็ไม่มีทางทราบว่าพวกท่านรู้จริงแค่ไหน จนกว่าจะปฏิบัติและพิสูจน์ทราบด้วยตนเอง”

“พ้นจริงหรือไม่จริง เป็นเรื่องรู้เฉพาะตน เอามาแสดงให้ดูเป็นสาธารณะไม่ได้”

การสนทนาขาดห้วงไป เมื่อหางตาของเกาทัณฑ์เห็นเงาร่างใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบกริบ

แพตรีก้าวขึ้นมาบนเรือนราวกับเป็นแค่เงา เกาทัณฑ์หันไปเห็นแล้วลืมโลก ลืมทุกสิ่ง เอาแต่เผลอจ้องมองร่างสะคราญสว่างตาในชุดขาวแน่นิ่ง

หญิงสาวเหลือบตามาสบกับเขาด้วยแววเฉยชาครู่หนึ่ง ก่อนหันไปยิ้มให้ปู่

“จะรับมื้อกลางวันเลยไหมคะ?”

“เอา... เผื่อให้เต้เขาที่หนึ่งด้วยนะ”

“ค่ะ” แล้วเธอก็แจ้งปู่ว่า “ป้าก้อยขอลาไปช่วยงานป้าปิ่นที่วัดนะคะ กว่าจะกลับคงเย็นๆค่ำๆ”

“อือ”

หญิงสาวก้าวลงบันไดไป ชายหนุ่มเริ่มหลุกหลิก ส่ออาการไม่เป็นอันมีสมาธิคุยต่อ แล้วครู่หนึ่งหลังจากร่างเธอลับตา เกาทัณฑ์ก็ขอปู่ว่า

“ถ้าป้าก้อยไม่อยู่ น้องเขาต้องเตรียมอาหารคนเดียว งั้นผมขอลงไปช่วยแล้วกันนะครับ”

“จะไปเกะกะเขาเปล่าๆไหม ทำครัวเป็นด้วยเหรอแกน่ะ?”

“ช่วยหยิบช่วยเก็บตามแต่แพจะสั่งก็ยังดีครับ”

“งั้นตามใจ”

แค่ขาดคำอนุมัติจากปู่ ร่างสูงก็ย้ายผลุบลงจากเรือนไปทันใด ว่องไวราวกับลิงเห็นกล้วย