เดินลัดเลาะผ่านระเบียงไม้ใต้ชายคา ตัดตรงสู่เรือนครัวที่แยกออกมาจากเรือนใหญ่ สายลมเอื่อยเฉื่อยพากลิ่นไม้กระดานเรือนที่แห้งแดด ระคนกลิ่นพะยอมหอมอ่อนมาด้วย
เรือนครัวเป็นอาคารไม้หลังเล็ก ยกพื้นต่ำกว่าตัวเรือนใหญ่ ผนังตีระแนงโปร่งด้านหนึ่งสำหรับเปิดรับลม โต๊ะเตรียมอาหารเป็นไม้สักเก่า ข้างๆมีเขียงและครกหินใบใหญ่กับสากไม้วางอยู่บนชั้นไม้ตีนเป็ดสีเข้ม
แพตรีกำลังยืนหันหลังให้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ก็เหลียวมามองด้วยความแปลกใจ ส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถาม และเมื่อเห็นเกาทัณฑ์ไม่พูด เอาแต่ยืนคาประตูยิ้มยิงฟัน ก็สอบว่า
“ต้องการอะไรคะ?”
“เห็นป้าก้อยไม่อยู่ เลยตามลงมาดูว่าผมจะพอเป็นลูกมือแพได้ไหม”
“ไม่รบกวนค่ะ ทำคนเดียวได้”
“ผมคอยช่วยแพจัดจานชาม ยกถาดก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องค่ะ ไปนั่งคุยกับคุณปู่ต่อเถอะ”
เธอไม่ได้ไล่จริงจังนัก เพราะพอพูดเสร็จก็หันไปจัดข้าวของ หยิบขิงอ่อนมาซอยเป็นเส้นฝอยที่โต๊ะกลาง ชายหนุ่มจึงยิ้มกริ่มยืนอยู่ที่เดิม คิดว่าถ้าเลือกที่ยืนดีๆ ก็จะไม่ถูกมองว่าเกะกะอะไร
ลมเย็นรำเพยผ่านมา กลิ่นเผ็ดหอมเฉพาะตัวของขิงลอยขึ้นแตะจมูก เกาทัณฑ์เพิ่งรู้ตัวว่าเกิดมาเขาไม่เคยยืนอยู่ในครัวเพื่อรับกลิ่นนานๆก่อนรู้รสอาหารเลย
“เรื่องเมื่อคืน…” เขาพูดตามที่ตั้งใจไว้ “ผมไม่ได้เมานะ แต่อาจจะอยู่ในห้วงอารมณ์หนึ่งที่… ดูผิดปกติอยู่สักหน่อย มาด้อมๆมองๆหน้าต่างห้องแพอย่างนั้น”
“แล้วก็พูดอะไรไม่คิดด้วยค่ะ”
แพตรีเสริมให้นิ่มๆ แต่ทำเอาเกาทัณฑ์หน้าม้าน กระตุกยิ้มแยกเขี้ยว
“ผมจะตั้งระยะไว้ห่างพอที่แพจะสบายใจ ไม่ให้เหมือนถูกโรคจิตรุกราน”
หญิงสาวสงบปากสงบคำ ก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานครัว ชายหนุ่มเอานิ้วโป้งเกี่ยวขอบกระเป๋ากางเกงทั้งสอง พักขาข้างหนึ่งผ่อนความเกร็ง รู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินของสถานที่ แต่ก็ยังคงเชื่อมั่นในเสน่ห์ของตน เขาแค่ต้องคิดให้ออกว่าทำอย่างไรจะเปิดใจเธอได้
สายตามองแพตรีทำงานไปเรื่อยๆ แม้เพียงความเคลื่อนไหวเล็กๆอย่างซอยขิง เธอก็มีจังหวะจะโคนที่เป๊ะอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความรู้สึกตัวจากภายในที่มั่นคง สองตา สองมือ และหนึ่งกายหนึ่งใจ ประสานกันทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวอย่างน่าเพลินชม
และแค่ความเคลื่อนไหวอันมีชีวิตชีวานั้น ก็ส่งอิทธิพลบางอย่างมาถึงคนมอง เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนจิตของตนตื่นขึ้น รับรู้อะไรรอบด้านได้คมชัดขึ้นตามไปด้วย เขายิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยน มองร่างที่ยืนหลังตรงนั้นเนิ่นนาน กระทั่งเกิดประสบการณ์แปลกใหม่ขึ้นมาอย่างเป็นไปเอง
ร่างสูงของเขาคล้ายแปรสภาพเป็นแท่งอะไรแท่งหนึ่ง ที่เปิดเปลือกออกรับสัมผัสพลังงานสะอาดจากร่างของหญิงสาว และถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความประสานสอดคล้อง จิตของเธอตรงอย่างไร จิตของเขาก็พลอยตรงอย่างนั้น กระทั่งเข้าสู่สมดุลที่เรียกว่า ‘จักระเรียงตรง’ พาดผ่านตั้งแต่ฐานลำตัวถึงยอดศีรษะ
ประสบการณ์ในห้องนิวโรแล็บบอกเกาทัณฑ์ว่า ขณะนี้คลื่นสมองของเขากับแพตรีน่าจะอยู่ในย่านเดียวกัน แถวๆเธต้าที่ ๖ เฮิร์ตซ์หรืออย่างมากก็ ๗ เฮิร์ตซ์
มองในมุมของสมาธิ ขณะนี้จิตตั้งเด่น ไม่กระเจิง ไร้แรงบีบคั้นจากความฟุ้งซ่าน ปราศจากแรงเสียดทานทางอารมณ์ลบใดๆ ส่งให้รู้สึกถึงขุมกำลังใหญ่ในตนอย่างไม่เคยชัดเท่านี้มาก่อน
มิติกว้าง ยาว ลึกในห้องครัวเปลี่ยนไป คล้ายมองผ่านเลนส์ตาปลาที่เห็นได้เกือบ ๑๘๐ องศา ความรับรู้ขยายขนาดขึ้นมหาศาล เปิดโล่งโปร่งใส สัมผัสถึงกระแสจิต ตลอดจนคลื่นความคิดของแพตรีได้ถนัดราวกับมองผ่านแว่นสแกนสมอง
และแล้วก็ยินเสียงกระซิบที่ปล่อยออกมาจากศีรษะของเธอ แปลได้ความประมาณว่า ‘ทำยังไงตานี่จะเลิกตื๊อนะ’
ด้วยจิตที่เสถียรอย่างใหญ่ แม้ล่วงรู้ความลับที่น่าแสลงใจเช่นนั้น ก็ไม่เกิดความเสียใจเท่าใดนัก แค่ใจแป้วหน่อยๆเมื่อถามตัวเองว่า เขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร กลายเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับผู้หญิงไปตั้งแต่ตอนไหน
“ผมบอกวิธีให้ไหมว่า ทำไงให้ผู้ชายถอดใจ เลิกคิดตื๊อ”
แพตรีชะงักกึก ก่อนเคลื่อนไหวต่อเป็นปกติ แต่เกาทัณฑ์ก็จับจิตของเธอได้ว่ามีอาการหดตัวแรงพอสมควร แบบนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียก ‘สะดุ้งเงียบ’
ยิ้มขำ เพราะอ่านสายตาเธอออกมานาน เธอเห็นเขาเด็กกว่า แม้โดยอายุเขาแก่กว่าเกือบสิบปี วันนี้เขาจะ ‘ใหญ่’ ให้เธอดูบ้างปะไร
เสียงมีดสับเขียงเป็นจังหวะไม่เปลี่ยน ขิงอ่อนหนึ่งหัวเล็กเรียงเส้นใกล้เสร็จ เกาทัณฑ์สัมผัสถึงจิตวิญญาณภายใน ที่สำรวมอย่างเป็นธรรมชาติมานานเกินชีวิตเดียว ยิ่งดูยิ่งเห็นเหมือนภาพแม่ชีซ้อนอยู่
เธอจำได้ว่าตัวเองเป็นแม่ชี!
นั่นคือสิ่งที่เกาทัณฑ์สัมผัสชัด ตัวตนในชีวิตเดิมกับชีวิตปัจจุบันจึงเหมือนทบทวีคูณสอง สอดคล้องและมีพลัง
แล้วทันใดนั้น ก็ปรากฏนิมิตในห้วงมโนทวารของเขา บดบังภาพทางตาเนื้อ เป็นภาพหญิงชราโกนศีรษะเกลี้ยง ร่างอยู่ในจีวรสีเทาดอกบัว เนื้อผ้าเป็นฝ้ายทอมือหยาบ มีรอยยับจากการซักตากกลางแดด ผืนผ้าพาดจากไหล่ซ้ายลงมา ทับอกเฉียงไปขวา เป็นลักษณะจีวรสายมหายานที่เรียบง่าย ไม่ตัดเย็บประณีต บ่งบอกความสันโดษ ไม่เอาอะไรมาก
เกาทัณฑ์ใจเย็น แม้นั่นเป็นประสบการณ์จิตสัมผัสครั้งแรก ก็รู้ขึ้นมาเองว่า ถ้าวางใจให้เป็นอุเบกขาและเปิดกว้างกว่านั้นอีกนิด จะรู้รายละเอียดได้ตามปรารถนา คล้ายเป่ามนต์ไล่ความขุ่นของผิวน้ำออก เหลือแต่ความใสจนเห็นรายละเอียดใต้น้ำ
นิดหนึ่งน่า... แม่ชีอะไรนะ ลาซา... ลีเซ... เลียง... เหลียน...
“เหลียนซิ่น!”
ในที่สุดชื่อนั้นก็โพล่งขึ้นในหัว และปากเขาก็ออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ เล่นเอาไหล่ของหญิงสาวกระตุก แขนซ้ายสะบัดอย่างแรง หันขวับทั้งตัวมาจ้องเขาเขม็งด้วยความตกใจจริงๆ
เกาทัณฑ์วางมาดนิ่งหัวเราะเอื่อยๆยืดยาว และเพื่อไม่ให้เสียงฟังเหมือนเยาะ จึงกอดอกยิ้มพราย เหลือบตามองมีดทำครัวในมือขวาของเธอ แล้วแกล้งแซวด้วยสำเนียงอภิรมย์เชื่องช้า
“ทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะ? เป็นแม่ชีแทงคนไม่ได้นะ”
หญิงสาวตกตะลึงงงงัน แววตาฟ้องชัดว่าคาดไม่ถึงอย่างแรง ที่เขาล่วงรู้เรื่องเร้นลับได้ขนาดนั้น
แต่ไม่นานก็คืนสติ หันกลับมาวางมีดลงบนโต๊ะด้วยกิริยานุ่มนวลเป็นธรรมชาติ คว้าผ้าเช็ดมือจากข้างเขียงมาเช็ดปลายนิ้วเบาๆ ไม่พูดอะไรสักคำ แค่เทขิงซอยจากถ้วยเล็กใส่ลงในกระทะ เทข้าวตามในปริมาณสำหรับ ๓ คน เกลี่ยให้กระจายตัวทั่ว ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อขิงโดนน้ำมันมะกอกร้อนๆ กลิ่นเผ็ดหอมก็ลอยขึ้นแตะจมูกฉุนทันที เกาทัณฑ์เอียงคอ ผิดหวังเล็กๆที่เธอแค่ตกใจ แต่ไม่ตื่นเต้นกับการพบเจอเพื่อนหน้าใหม่ในวงการข้ามภพ แถมยังทำเป็นเมินต่อ บีบให้เขาต้องคิดหาเรื่องใหม่มาคุยอีก
“ผมได้ยินมาว่า เข้าใกล้คนมีบุญ จิตใจเป็นบุญตาม เลยอยากได้ส่วนบุญจากแพบ้าง... นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเปรตนะ อย่าเข้าใจผิด เป็นมนุษย์นี่แหละ แค่ยังอยากได้ดีจากคนที่ดีกว่า จะได้อยู่ในทางที่ไม่ต้องหลงไปเป็นเปรต”
เห็นเสี้ยวหน้าของแพตรีจากมุมเยื้องว่ายิ้มขันในวิธีพูดของเขา แต่ยังคงง่วนผัดข้าวหอมฉุยไม่โต้ตอบ
“ถามหน่อย… ผมเนี่ย ยังคิดไม่ดีอยู่มาก ความฟุ้งซ่านเรื่องอกุศลสารพัดชนิดชอบมาตอนดึกๆ โดยเฉพาะวันที่เหนื่อยๆ แต่พอผมนึกถึงแพ แล้วเกิดความสดชื่น กับทั้งแปรจากฟุ้งซ่านเป็นสงบ เปลี่ยนจากคิดไม่ดีเป็นคิดดีขึ้น อิ่มอกอิ่มใจเหมือนมีบุญเพิ่มขึ้นกว่าเดิม อย่างนี้แปลว่าได้บุญมาจากแพ โดยที่แพไม่จำเป็นต้องกล่าวบอกบุญ หรือยกบุญให้เสียก่อน ผมเข้าใจถูกไหม?“
หญิงสาวเกลี่ยข้าวไปรอบกระทะ เหลือที่ว่างตรงกลางเติมน้ำมันตอกไข่ใส่หลายฟอง รอจนเหลืองจึงนำข้าวกลับมาผัดคลุก ระหว่างนั้นก็หยั่งใจเขาไปด้วยว่า อยากได้คำตอบจริงๆ หรือหาเรื่องหยอด แกล้งป้อยอเนียนๆกันแน่
สุดท้ายพอรู้สึกว่าเขาอยากได้คำตอบจริง จึงตอบว่า
“ถ้ากำลังคิดไม่ดี แล้วเกิดสติคิดเรื่องดีๆขึ้นแทนได้ ก็จัดเป็นกรรมทางใจ ที่เจตนาเลือกกุศลแทนอกุศลอยู่แล้วค่ะ แต่… คราวหลังคิดถึงปู่ดีกว่านะคะ จะเป็นตัวตั้งของบุญบันดาลใจที่แรงจริง แพรู้สึกว่าตัวเองยังบุญน้อย บันดาลใจใครให้เกิดความสว่างมาขับไล่ความมืดไม่ได้ดีเท่าไรหรอก”
“บ้านนี้ชอบถ่อมตัวกันจัง แพกับปู่ถ่อมตัวทีไรผมสะดุ้งทุกที ถ้าอย่างแพบุญน้อย ผมไม่กลายเป็นองคุลีมาลเหรอะ?”
แพตรีหลุดหัวเราะออกมานิดๆ ที่ตรงนั้นเกาทัณฑ์คิดว่าเธอเริ่มมาอยู่ในบรรยากาศของเขาหน่อยหนึ่งแล้ว
“ท่านองคุลีมาลความจริงเป็นคนดีนะคะ” เธอเตือนสติอย่างที่เมื่อครู่เขาขอ “ที่พลาดไปไล่ฆ่าคนไม่เลือกหน้าก็เพราะถูกหลอกให้อยากได้วิชา เมื่อพบพระพุทธองค์แล้วก็สำนึกเร็ว และออกถือบวชจนสำเร็จมรรคผลขั้นสูงสุด เป็นพระผู้หมดกิเลสในเวลาอันสั้น เราต้องให้ความเคารพฐานะสุดท้ายของท่านเทียบเท่าพระอรหันต์องค์อื่น”
“ตายล่ะ! ขอบคุณนะที่เตือน นี่ผมจดจำท่านในฐานะฆาตกรต่อเนื่องที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์มาตลอด พูดถึงท่านด้วยสรรพนามหยาบๆคายๆบ้างก็มี บาปแย่เลย ถ้าไม่ได้แพเบรกไว้วันนี้ ก่อนตายจะต้องปรามาสท่านด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปอีกกี่ครั้งกันล่ะนี่”
“เป็นโทษของความไม่รู้ในสังสารวัฏน่ะค่ะ”
“ความไม่รู้นี่ ทำให้พลาดได้ง่ายๆจริงๆเลยนะ ผมคงต้องเร่งอุดช่องโหว่โดยด่วน ไม่งั้นเดินไปเดินมาในบ้านคนมีบุญหลังนี้อยู่ดีๆ อาจถูกธรณีสูบ จ๊วบเดียวหายไปทั้งตัว!”
ได้ยินหญิงสาวหัวเราะร่วนเป็นครั้งแรก กำแพงที่ตั้งขึ้นขวางระหว่างกันพังลง เกาทัณฑ์นิ่งฟังด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสุข มีความคุ้นเคยอันเป็นที่สบายใจระหว่างกันเกิดขึ้นที่นั่น เหมือนเวลาไหลช้าลงเข้าใกล้จุดหยุดพักสนิท
อึดใจต่อมาเธอจึงหยุดหัวเราะ แบบอยู่ๆก็เงียบเสียงไปเฉยๆ ก่อนเหลียวหน้ามาหาเขาเนิบช้า สบตาและส่งยิ้มให้
“ส่งจานให้หน่อยสิคะ”
เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง มองกวาดแวบเดียวก็เห็นชั้นวางจาน รีบก้าวไปหยิบมาสามใบ แล้วเข้าไปยืนรีรอใกล้ๆเตรียมยื่นส่ง เมื่อแพตรีผัดจนร้อนทั่วแล้วก็หันมารับจานจากเขาไปตักข้าวใส่ทีละใบ
“ผมอยากเดาใจให้ถูก ผู้หญิงที่ระลึกได้ว่าตัวเองเป็นแม่ชีมาทั้งชาติ จะอยากได้อะไรบ้าง”
ห่างกันเพียงครึ่งก้าว เมื่อแพตรีเห็นเขาทำท่าจะเข้าใกล้เกินจำเป็น ก็ขยับห่างไปยืนล้างมือที่อ่างอีกทาง
“อยากอยู่อย่างสบายใจ ไม่มีใครมาเบียดเบียนมั้งคะ”
ชายหนุ่มตะแคงหน้ามอง ยิ้มมุมปาก เธอยืนหันหลังให้เขาอีกแล้ว เชื่อเชียวล่ะว่าผู้หญิงคนนี้อยู่คนเดียวอย่างมีความสุขตามลำพังไปตลอดทั้งชาติได้
แอบขอโทษเธอในใจ เพราะเขาคงปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นไม่ได้!
“ได้อยู่กับแพ ผมสัมผัสถึงความรู้จักพอ และนั่นก็ทำให้เพิ่งรู้ตัวว่า เกิดมาผมไม่เคยเป็นสุขจากการรู้จักพอเลย และนาทีนี้เองที่อยากมีใจแบบแพบ้าง”
หญิงสาวปิดน้ำ เช็ดมือกับผ้าบนผนัง แล้วหยิบถาดใหญ่จากชั้นวางเดินกลับมาที่โต๊ะ ระหว่างทางก็ตอบว่า
“เรียนจากปู่ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวก็รู้”
จัดจานข้าวใส่ถาดเรียบร้อยก็ยกขึ้น
“เป็นหน้าที่ผมเถอะ”
เกาทัณฑ์พุ่งตัวมาแย่งถาด แขนซ้อนกัน เนื้อแนบเนื้อนิดหนึ่ง อดใจไม่ไหวจริงๆที่จะฉวยโอกาสแตะต้องตัวสักนิด
หญิงสาวรีบหลีกตัวออกมาอย่างทราบเจตนาล่วงเกินของอีกฝ่าย เกาทัณฑ์หันไปก็พบรอยระคางในดวงตาคู่งาม จึงทราบว่าเธอถือสาแค่ไหน
แต่ไม่เป็นไร วันหนึ่งเร็วๆนี้ เดี๋ยวเขาเป็นเจ้าของเธอ ถึงเวลานั้นคงไม่ต้องโดนทำตาแบบนี้ใส่อีกแล้ว!