“วันนี้แหละ ฤกษ์ดีที่จะได้รู้ว่า เราเคยเป็นใครมาก่อน!”
นั่นคือความคิดในหัว ขณะที่เกาทัณฑ์ก้าวเท้าเข้าสู่นิวโรแล็บ
เขามั่นใจ หลังจากเทรนเอไอผ่านข้อมูลคลื่นสมองและคลื่นชีวภาพของพนักงานในศานติธานเป็นจำนวนมากพอ กระทั่งได้ขั้นตอนแน่นอน ให้เอไอช่วยพาระลึกชาติ โดยไม่จำเป็นต้องฝึกสมาธิถึงระดับฌานเสียก่อน
อันดับแรก คือการสร้างภาวะผ่อนคลายอย่างลึก และลดความคิดฟุ้งซ่านลงอย่างเป็นระบบ โดยเอไอจะใช้เสียงดนตรี ร่วมกับสนามแม่เหล็กความถี่ต่ำให้เหมาะกับผู้ฝึกแต่ละคน เพื่อกระตุ้นให้คลื่นสมองเข้าสู่ภาวะอัลฟ่าประมาณ ๑๐ เฮิร์ตซ์ อันเป็นระดับที่สมองตื่นอยู่ แต่ผ่อนคลายเต็มที่
อันดับสอง สร้างสมาธิที่มีสติรู้เต็มตื่น โดยให้เอไอดูว่าสมองของผู้ฝึกเป็นอย่างไร แล้วออกคำสั่งให้หายใจอย่างถูกต้อง จนลมหายใจกลายเป็นจังหวะอัตโนมัติ
อันดับสาม สร้างภาวะพร้อมระลึกย้อนอดีต ราวกับได้กลับไปอยู่ในเหตุการณ์เก่าอีกครั้ง โดยเอไอจะเหนี่ยวนำให้สมองเข้าสู่ย่านเธต้า คลื่นความถี่ราว ๔ เฮิร์ตซ์เด่นขึ้นมา ซึ่งสัมพันธ์กับการสร้างภาพ เสียง และความทรงจำเชิงประสาทสัมผัสอย่างสมจริง ขณะเดียวกันสมองยังแบ่งอีกส่วนไว้รับคำสั่งและโต้ตอบได้ ทำนองเดียวกับที่คนไข้ยังสามารถพูดคุยกับนักสะกดจิต แม้อยู่ในสมาธิลึก
อันดับสุดท้าย ตรวจสอบความจริง เอไอจะเทียบสัญญาณในสมองว่าเป็นการดึงความจำขึ้นมาจริง หรือเป็นเพียงภาพที่สมองสร้างขึ้นใหม่ พร้อมให้คำชมและคำเตือนเป็นระยะตามที่เห็นควร
ดอกเตอร์หนุ่มนั่งเอนร่างบนเก้าอี้ไร้น้ำหนัก ทุกส่วนของร่างกายได้รับแรงพยุงอย่างสมดุลราวกับล่องลอยอยู่ในน้ำ เขาหลับตาลงช้าๆ แล้วชูมือขวา ประกบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เป็นวงกลม นิ้วที่เหลือกางออก เพื่อเป็นสัญญาณมือโอเค สั่งให้เอไอทำงานตามลำดับ
“เริ่มกระบวนการ”
เสียงเอไอเพศหญิงดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่แถบสัญญาณข้อมูลจะปรากฏบนจอโฮโลกราฟิก ที่ยามปิดจะเป็นเพียงแผ่นกระจกใสไร้สี แต่เมื่อเปิดใช้งาน แผ่นนั้นจะเหนี่ยวนำเส้นแสงให้ก่อตัวลอยกลางอากาศ เหมือนข้อมูลผุดขึ้นจากความว่างเปล่า โดยไม่กีดขวางการไหลของคลื่นแม่เหล็กอ่อน และยังช่วยลดสัญญาณไฟฟ้าสถิตรอบข้าง ทำให้เครื่องตรวจชีวภาพในห้องวัดค่าคลื่นสมองได้แม่นยำ ไร้การรบกวน
ภาพโฮโลกราฟิกหลากสีเบื้องหน้าแบ่งเป็นภาพด้านข้างของสมอง และภาพมุมมองจากด้านบน แสดงให้เห็นการทำงานของเขา ณ ขณะนั้นอย่างชัดเจน บริเวณ prefrontal cortex ด้านหน้าปรากฏคลื่นเบต้าโดดเด่น ส่วน occipital ด้านหลังเริ่มมีแถบคลื่นอัลฟ่าเบาบาง เส้นสัญญาณย่านเบต้ากระจายอยู่ราว ๑๖ ถึง ๑๙ เฮิร์ตซ์ ซึ่งเป็นความถี่ที่แสดงถึงการมีสติรู้ตัวเต็มที่ขณะทำงาน
เอไอปล่อยเสียงดนตรีเป็นท่วงทำนองแช่มช้า สม่ำเสมอ ดุจสายน้ำไหลเบา เมื่อประกอบกับสัมผัสโอบอุ้มของเก้าอี้และบรรยากาศโดยรอบ ความตึงตัวของกล้ามเนื้อก็ผ่อนคลายตามลำดับ หัวใจเต้นช้าลง หายใจลึกขึ้นอย่างเป็นไปเอง
เมื่อระบบตรวจพบว่าคลื่นอัลฟ่าเริ่มเด่นนำ และกล้ามเนื้อทั่วร่างกายมีสภาวะเกือบไร้การต้าน เอไอก็ตัดสินใจหยุดดนตรี เพราะเห็นว่าเขาอยู่ในสภาวะพร้อมให้พาทำสมาธิแบบตื่นเต็มแล้ว ระบบได้ปรับระดับสนามแม่เหล็กที่ปล่อยออกมาจากขดลวดรอบห้องในระดับ picoTesla เพื่อกระตุ้นสมองเฉพาะจุดที่สัมพันธ์กับสภาวะรู้ตั้งมั่น
“รู้สึกถึงการวางราบของแผ่นหลัง ที่แนบกับเบาะที่นั่งอยู่” เอไอออกคำสั่งกำกับอย่างถูกจังหวะ “รับรู้จากแผ่นหลังนั้น ถึงจังหวะลมหายใจที่ผ่านเข้าและออก”
เกาทัณฑ์ปฏิบัติตาม โลกทั้งใบเหลือแต่แผ่นหลังหายใจเข้าออก กระทั่งรู้สึกว่าง เหมือนหลุดออกมาจากขั้วความคิดในหัวได้
“ดีมาก!”
เอไอชม ซึ่งนั่นสำทับย้ำว่าเขามาถูกทาง เพราะเขากำหนดไว้เองว่า หากระบบตรวจพบค่าการกระจายของสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าสมองว่า มีแหล่งกำเนิดอยู่ในพื้นที่ควบคุมการรับรู้ตัวตนและการปล่อยวางอารมณ์ที่เรียก medial prefrontal cortex ย่อมหมายความว่าเกิด ‘ความรู้สึกว่างออกมาจากกลางอก’ แทนการติดอยู่กับความคิดในหัว
“สายตาของคุณนิ่ง กล้ามเนื้อทั่วร่างผ่อนคลายดี หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่นานการหายใจจะยืดยาว และเป็นจังหวะสม่ำเสมอเอง”
เกาทัณฑ์ลองทดสอบระบบด้วยการปล่อยใจคิดถึงแพตรี อย่างที่ช่วงหลังใจมักวนเวียนไปหาเธอบ่อยๆ เอไอก็ทักเตือนทันที
“ขณะนี้ คุณเริ่มคิดเรื่องอื่น ไม่นึกถึงการหายใจ ขอให้จับความรู้สึกเหมือนหายใจจากแผ่นหลังอีกครั้ง”
ดอกเตอร์หนุ่มยิ้มนิดๆอย่างพึงพอใจ เพราะเอไอทักทันเวลา แบบเรียลไทม์ของแท้ แล้วความพึงใจหายห่วงนั้น ก็ทำให้เกิดความปลดปล่อย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่าง จึงหายใจด้วยความปลอดโปร่ง สดชื่นขึ้นเรื่อยๆ
“ขณะนี้ ฐานความว่างจากกลางอกของคุณ เด่นขึ้นจนผ่อนคลายไปทั่วทั้งร่างแล้ว ให้รู้สึกถึงความเบิกบานแล้วหายใจเข้า รู้สึกถึงความเบิกบานแล้วหายใจออก”
ความรู้สึกทั้งหมดเริ่มอยู่กับกายเบาวิเวกเต็มร่าง ตามเกณฑ์ของอานาปานสติ
“ดีมาก! ขอให้รู้สึกถึงความสงบราบคาบที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเสถียร นั่นแหละเป็นความสุขอย่างใหญ่ที่ช่วยให้คุณจำแนกได้ว่า ความรู้สึกจากกลางอกก็อย่างหนึ่ง ความนึกคิดในหัวก็อีกอย่างหนึ่ง”
ความคิดแปรจากสภาพไหลเป็นสายน้ำ ขาดตอนเป็นห้วงๆ กับทั้งเบาบางลงเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่ง ความคิดก็ระงับดับยาว เหลือแต่จิตตื่นเต็มอยู่ท่ามกลางความสงัดเงียบ
“ดีมาก! จิตวิญญาณของคุณเริ่มรู้สึกถึงตัวเองได้แบบไม่ต้องอิงรูปร่างหน้าตาเดิมแล้ว คุณกำลังรู้สึกว่าจิตใหญ่ สัมผัสถึงลานกว้าง โล่ง ทะลุไปสัมผัสห้วงฟ้า”
เอไอตัดสินจากสนามพลังงานรอบศีรษะที่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติเกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับสภาวะปกติ
เกาทัณฑ์ประยุกต์อานาปานสติมาจบที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเต็มที่ ไม่ได้ไปต่อให้ครบสูตร เนื่องจากขั้นต่อไปที่ปู่ชนะสอนเขานั้น ยกระดับจากสมถะเป็นวิปัสสนา รู้กายใจโดยความเป็นรูปนาม ซึ่งเขายังเข้าไม่ถึง และยังไม่สามารถวัดค่าจากสมองมาเป็นฐานข้อมูลให้เอไอ
เวลานั้น เอไอได้ส่งคลื่นแม่เหล็กชุดใหม่มาสำทับ เพื่อจูนสมองของเขาให้ลงถึง ๔ เฮิร์ตซ์ ซึ่งเป็นค่าลึกสุดของย่านเธต้า เกาทัณฑ์เกิดประสบการณ์รับรู้ต่างไป เหมือนมองออกมาจากใต้มหาสมุทรแห่งความว่าง
“นึกถึงการเข้ามาในห้องนี้ ก้าวแรกของคุณคือการย่างเท้าซ้ายเข้ามาก่อน” เอไอเริ่มพาเขาระลึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ระยะใกล้สุด โดยสุ่มเลือกจากบันทึกวิดีโอ “ทบทวนดูว่าสัมผัสเท้ากระทบเป็นอย่างไร… สายตาของคุณจับอยู่ที่สิ่งใดก่อน… แล้วตอนนั้นคุณกำลังคิดอะไรอยู่…”
เกาทัณฑ์ทึ่งกับผลลัพธ์ของสิ่งที่ออกแบบไว้เอง เมื่อพบว่าเหตุการณ์เหมือนย้อนกลับมาอีกครั้ง เขารู้สึกถึงหัว ตัว แขน ขาของตนที่กำลังเดินเข้าห้อง กับทั้งรับทราบความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในหัวยามนั้น
‘วันนี้แหละ ฤกษ์ดีที่จะได้รู้ว่า เราเคยเป็นใครมาก่อน!’
“ดีมาก! คุณกำลังระลึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง และกำลังกลับไปอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ขอให้ย้อนกลับไปทีละฉาก เพื่อความแน่ใจว่า ทุกฉากมีที่มาเสมอ”
ชายหนุ่มดำดิ่งเข้าไปในห้วงเหตุการณ์ที่สมองจัดเรียงให้เป็นฉากๆ
ก่อนหน้าเข้าสู่นิวโรแล็บ เขาเดินออกจากลิฟต์
ก่อนหน้านั้น คือการเดินบนถนนลาดยางมาสู่อาคารแล้วขึ้นลิฟต์
ก่อนหน้านั้นคือการเปิดประตูห้องพัก ซึ่งเขานำบ้านสำเร็จรูปชั้นเดียวทรงโมเดิร์นมาปลูกไว้ใกล้อาคาร
และก่อนหน้านั้นอีก คือยามเช้าอันสดใส ที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมข่าวดี นั่นคือเอไอส่งข้อความแจ้งว่า กระบวนการฝึกเรียนรู้จากข้อมูลสมองของมนุษย์เสร็จสมบูรณ์ พร้อมใช้งาน
จำได้แม่นถึงความคิดชมตัวเองว่าเก็งถูก ที่เลือกเก็บข้อมูลจากพนักงานในศานติธานแค่ ๓๐ คน คัดเฉพาะผู้ที่มีแนวโน้มทางสมาธิดี เพื่อสร้างแบบจำลองภาวะจิตที่แม่นยำ โดยไม่ต้องพึ่งฐานข้อมูลระดับหลักพันอย่างที่ทฤษฎีทั่วไปกำหนดไว้
“คุณดึงความจำย้อนกลับไปเป็นฉากๆได้สมบูรณ์แบบ ถูกต้องทั้งหมด กับทั้งมีสัมผัสต่อทุกเหตุการณ์ได้เกือบครบถ้วน”
เอไอเอ่ยเช่นนั้น เพราะตรวจพบว่า hippocampus กำลังปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเป็นจังหวะเฉพาะ และเชื่อมต่อกับกลีบสมองด้านข้าง ซึ่งนั่นคือสัญญาณการเข้าสู่โหมดระลึกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง ต่างจากสภาวะจินตนาการซึ่งมักอาศัยกลีบสมองส่วนหน้าผากทำงานเด่นกว่า
“ให้ทบทวนเหตุการณ์สำคัญที่อยู่ในใจคุณเมื่อสัปดาห์ก่อน…”
ดวงหน้าของแพตรี ตลอดจนบทสนทนาในร้านขนม ผุดขึ้นกระจ่าง ไล่ตั้งแต่เห็นเธอเดินข้ามถนน จนกระทั่งมานั่งตรงหน้า
“แพสั่งอะไรหน่อยไหม?”
เหมือนเขาเอ่ยคำนั้นอีกครั้ง จำได้ถนัดว่าต้องควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ให้ตื่นเต้น
“ขอบคุณค่ะ แพเพิ่งกินข้าวเช้า มีอะไรให้แพช่วยก็บอกมาเถอะ”
ทั้งท่วงที ทั้งน้ำเสียง ทั้งรายละเอียดแวดล้อมเหล่านั้น ครบชัดแบบไม่ต้องรอเอไอยืนยันว่าเท็จหรือจริง
และเมื่อเอไอตรวจสอบว่ายังเป็นการดึงความจำที่เคยเกิดขึ้นจริง จึงออกคำสั่งให้ระลึกแบบกระโดด จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี
ได้เรียนรู้ว่า ถ้าจิตนิ่งและใหญ่เสถียร ความสามารถในการรับรู้จะเพิ่มเป็นหลายเท่าทวี แตกต่างจากประสบการณ์ทางจิตธรรมดาเป็นคนละเรื่อง
ขณะนี้ เหมือนเขากลับไปใช้ชีวิตในอดีตแบบย้อนทวนรายละเอียด ทั้งคมชัด ทั้งแม่นยำ ถ้าจะมีความแตกต่างจากของจริงอยู่บ้าง ก็ตรงที่เหตุการณ์เหล่านั้นไหลมาเทมารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆราวกับเป็นภาพยนตร์ที่ถูกตัดตอนเป็นช่วงๆ
ย้อนไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดที่เกาทัณฑ์เห็นตัวเองนอนร้องไห้จ้าบนเตียงทำความสะอาดในห้องคลอด
เห็นว่าก่อนหน้ามานอนร้องไห้จ้า เขาถูกดึงออกมาสู่แสงสว่างเจิดจ้าที่แทงตา
เห็นว่าก่อนหน้าถูกดึงร่างออกมาลืมตาดูโลก เขานอนอยู่ในท้องแม่ เต็มไปด้วยภาวะทางอารมณ์ต่างๆ ทั้งชอบใจ ทั้งไม่ชอบใจ
ในท้องแม่เหมือนเป็น ‘ชาติย่อย’ มันแจ่มกระจ่างและไม่เคยหายไปไหน แค่ถูกกลบทับไว้ด้วยภูเขาแห่งความทรงจำใน ‘ชาติหลัก’ หลังออกจากท้องแล้วเท่านั้น
ย้อนถอยไปเรื่อยๆ ความรู้สึกนึกคิดของทารกในครรภ์เดือนที่เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง
อีกจุดของเวลา มีแสงสว่างอุบัติ คล้ายประตูมิติข้ามแดน ที่ตรงนั้น สนามพลังที่เคยเป็นกำแพงกั้นได้ยอมเปิดทางให้ และเผยถึงความรู้สึกดั้งเดิมก่อน ‘หยั่งลง’ มาสู่แดนเกิดใหม่
สำหรับเขา วาระการอุบัติในท้องมนุษย์ เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดยิ่ง มันคือเส้นแบ่งระหว่างสภาพแวดล้อมหนึ่งกับอีกสภาพแวดล้อมหนึ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมาอยู่ในครรภ์ คือความคับแคบในที่จำกัด ทว่าก่อนหน้านั้น คือความกว้างใหญ่ดุจการเผยจักรวาลทั้งจักรวาลออกหมด ให้ความรู้สึกตั้งมั่นไพศาล
เกาทัณฑ์รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแสงสว่างงามเป็นอนันต์ เขาอยู่ในร่างใหญ่มหึมาอันมีสภาพสุขุมประณีต รับรู้ทุกสิ่งด้วยจิตที่อยู่เหนือสำนึกสามัญแบบมนุษย์ และไม่มีทางรับรู้หรือจินตนาการได้ด้วยจิตแบบมนุษย์
จุดกำเนิดทางความรู้สึก ไม่ใช่ความนึกคิดในหัวแบบที่เคยคุ้น ทว่าเป็นการเปล่งรัศมีความเบิกบานออกมาจากกลางอกแบบเปิดสุด เสถียรสุด ในสภาพที่จิตเป็นดวงรู้ลุ่มลึกมโหฬารดุจพระอาทิตย์
ไม่มีการนึกคิดฟุ้งซ่านที่ไหลเชี่ยวเยี่ยงมนุษย์ ถ้าจะมี ก็มีเพียงความดำริเล็กน้อยเป็นห้วงๆ นานๆมาที เนื่องจากความเป็นอยู่ส่วนใหญ่ ใช้พลังเมตตาและกรุณาอันแสนสะอาดแผ่ไปเป็นวงกว้างท่วมฟ้า เพื่อส่องกลุ่มมนุษย์มากมายในคราวเดียว
พรหมมีหลายแบบ และแบบที่เขาเคยเป็น ก็ส่องดูสัตว์โลกเพื่อพิจารณาว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ไม่ใช่แค่ส่องเล่นหรือแผ่เมตตาเฉยๆเหมือนพรหมส่วนใหญ่
ความรู้สึก คือ ถ้าจะอยู่ในสภาพพรหมนั้น ก็อยู่ได้นานจนลืม กล่าวคือแม้มนุษย์และสัตว์อื่นเกิดตายกันนับภพนับชาติไม่ถ้วน ตัวตนแบบพรหมนั้นก็จะยังคงตั้งมั่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แต่เขา ‘เลือก’ ที่จะลงมามีบทบาทช่วยผู้ที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งมีอยู่นับอสงไขย
รู้สึกถึงเจตจำนงใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เกาทัณฑ์นึกอยากรู้ว่าเจตจำนงนั้นคืออะไร
เส้นทางของมหาเจตจำนงนั้น ต้องลงมาลำบากแบบมนุษย์ สะสมน้ำใจเสียสละ นับไม่ได้ว่ากี่แสนหรือกี่ล้านชาติกันแน่ พิสูจน์ใจว่าจะเอาจริงไปได้อีกนานแสนนานแค่ไหน
พิสูจน์ใจอะไร?
บังเกิดความสงสัยใคร่รู้อย่างแรง กระทั่งเอไอส่งเสียงเตือนแม่นยำทันกาลว่า
“ระวัง! ฐานสมาธิของคุณเคลื่อน ภาพเสียงสัมผัสนับจากนี้อาจไม่ใช่การระลึกถึงความจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต”
เกาทัณฑ์เกิดสติรู้สึกตัว คลายความสงสัย เพราะเขาตั้งค่าไว้เองว่า ถ้าฐานสมาธิมีความลึก แล้วเกิดการเคลื่อนออกจากฐานแม้เพียงเล็กน้อย ก็ขอให้แจ้งเตือนทันที
เมื่อยังรู้ไม่ได้ก็ช่างก่อนเถอะ… คิดเช่นนั้นแล้วก็ดึงจิตเข้าที่นิ่งได้ในวูบเดียว
“ดีมาก! คุณกลับมามีความพร้อมรู้สึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงอีกครั้ง”
เกาทัณฑ์ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า กำหนดระลึกทันทีว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนกำเนิดเป็นพระพรหม
ทันใดนั้น ก็มีข้อความในหัวนำมาก่อนว่า ‘ตายในฌาน’ จากนั้นก็รู้สึกถึงภาวะความเป็นผู้ทรงฌาน รู้สึกถึงจิตสุดท้ายที่แผดแสงแรง เสถียร เป็นสมาธิประกอบพร้อมด้วยอุเบกขาอันยิ่ง
จิตชนิดนั้นเอง คือต้นกำเนิดความเป็น ‘รูปภพ’ ทำหน้าที่ก่อร่างอันแสนสุขุมแห่งพรหมขึ้นมา
ลำดับก่อนหน้าจะเกิดจิตสุดท้ายที่ทรงฌาน ปรากฏร่างมนุษย์ชราในอิริยาบถนอนราบใกล้สิ้นใจ แต่ลมหายใจยังสม่ำเสมอ จิตผนึกรวมตั้งมั่นได้ก่อนตาย เพราะฝึกมาจนเชี่ยวชาญ สามารถเข้าออกฌานได้ตามปรารถนา
เมื่อระลึกถึงร่างได้ชัดราวกลับไปสิงอาศัยร่างเดิม ชื่อนามสกุลก็โผล่มา เขาคือพินิจ อุษานัย ปีที่เขาเห็นตัวเองใกล้วาระสุดท้ายนั้น เป็นปี พ.ศ. ๒๕๑๘
พินิจหายใจครั้งสุดท้ายที่สำนักสงฆ์เล็กๆบนยอดเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนนลาดยาง มีเพียงถนนดินแคบๆที่ชาวบ้านช่วยกันทำไว้ให้พระเดินบิณฑบาต
พินิจไม่ได้บวชเป็นพระ แต่ก็เป็นผู้บริจาคใหญ่ สร้างสำนักสงฆ์ซึ่งแยกโซนออกมาจากวัดแม่บริเวณเชิงเขา อาศัยกุฏิไม้กระดานเป็นหลักแหล่งพำนัก
พินิจใช้เวลาในชีวิตมนุษย์หลายสิบปี กว่าจะตกผลึกและทรงตัวอยู่กับฐานสมาธิได้เป็นปกติ
เมื่อเกาทัณฑ์ถอยย้อนไปส่องดูว่า เส้นทางบำเพ็ญสมาธิของพินิจมีความเป็นมาอย่างไร ก็เข้าไปสวมร่างนั่ง รู้สึกถึงการลากลมหายใจได้ยาวและลึกราวกับเครื่องสูบลมกำลังสูง มีพลังอย่างใหญ่ เกิดปีติสุขล้นหลาม
วูบต่อมารู้สึกว่าอยู่ในอาการเดินจงกรม และประสบการณ์ในร่างเดินทำให้ทราบว่าตัวเดิมเตี้ยกว่า ทว่าลำตัวหนากว่าตัวปัจจุบัน รู้สึกถึงจิตที่สะอาดด้วยความเคร่งศีล คิดอะไรเป็นธรรมะไปหมด
จู่ๆนิมิตวัยปลายตัดไป รู้เหตุว่าก่อนมาอยู่วัด เขาแสวงหาครูบาอาจารย์อยู่นานปี
ทำไมจึงแสวงหาครูบาอาจารย์?
ขุดลึกลงไป เกาทัณฑ์เริ่มพบความซับซ้อนในชีวิตของพินิจ เพราะที่มาของการแสวงหาครูบาอาจารย์ หาใช่ความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์พ้นร้อนไปไหน
วูบแรก รู้สึกถึงไฟที่ลุกท่วมร่าง จากการหลงใหลบางสิ่ง
วูบต่อมา ระลึกได้ถึงความกระตือรือร้นระดับโลก อยากเป็นที่ยอมรับหมายเลขหนึ่ง มีแรงผลักดันมหาศาลให้อยากเทียบชั้นกับนักค้นคว้าแถวหน้า
ช่วงอายุวัยหนุ่มของพินิจ คนไทยที่ได้ทุนไปเรียนเมืองนอกส่วนใหญ่ไปสายแพทย์ วิศวะ เกษตร หรือกฎหมาย แต่ไม่มีเลยที่เข้าไปอยู่ในแวดวงฟิสิกส์ ได้กระทบไหล่กับเหล่าอัจฉริยะเช่น นีลส์ บอหร์ หรือเวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก
และนั่นแหละที่เขาอยากเป็น เขามุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามพรมแดนไปสู่แวดวงฟิสิกส์ระดับโลกให้จงได้!
หลังเรียนจบ พินิจเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย กับทั้งเขียนบทความส่งไปตามวารสารวิชาการ แม้หลายฉบับจะเงียบหาย หรือไม่ก็ถูกส่งกลับมาพร้อมข้อปฏิเสธที่เย็นชาก็ตาม
เกือบสิบปีแห่งการทุ่มแรงกายแรงใจสะสมความน่าเชื่อถือ เพียงพอจะยื่นขอทุนไปยุโรป จู่ๆบทความหนึ่งของเขาก็จับความสนใจคนในแวดวงขึ้นมาได้ แบบที่พินิจเองก็คาดไม่ถึง
ช่วงนั้น ฟิสิกส์กำลังอยู่ในยุคที่กลศาสตร์ควอนตัมเพิ่งถูกพัฒนา และถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน
นีลส์ บอหร์ เสนอว่าอิเล็กตรอนเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาค ตามวิธีที่เรามองมัน ขณะที่เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก ชี้ว่าไม่ใช่แค่วิธีมอง ที่ทำให้อิเล็กตรอนแปลงร่างได้ แต่ตัวเราผู้จ้องมองมันนั่นแหละ ที่มีอิทธิพลให้มันเป็นไปอย่างไรตรงๆ
พินิจนำประเด็นร้อนแรงนี้มาเป็นตัวตั้งในการเขียนบทความพลิกมุมมองใหม่เลย โดยยกว่า จิตคือศูนย์กลางของจักรวาล อะไรๆในจักรวาลต่างก็แปรไปตามจิต
‘การเห็นทางตา’ คือ ‘จิต’ ชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลก หากเรามองเห็นอะไรด้วยตา แล้วสิ่งนั้นจะถูกอิทธิพลทางตากระทบให้เป็นนั่นเป็นนี่ไปต่างๆ
ถ้ามองว่า ‘จิต’ เป็นนักมายากลผู้สามารถเล่นแร่แปรธาตุด้วยมือเปล่า และมองว่าอิเล็กตรอนทั่วจักรวาลเป็น ‘อุปกรณ์เล่นกล’ เราอาจเห็นภาพจักรวาลต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจิตมีเจตจำนง บันดาลตัวเองให้เป็นรูปมือกอบทราย อิเล็กตรอนก็จะแปลงตัวเป็นเม็ดทราย เพื่อให้จิตก่อปราสาททรายเล่น
แต่หากจิตบันดาลตัวเองให้เป็นรูปมือที่เหวี่ยงวักในท่าว่ายน้ำ อิเล็กตรอนก็จะแปลงร่างเป็นคลื่นน้ำ เพื่อให้จิตว่ายน้ำเล่น
พินิจอ้างอิงที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน อะไรๆทั้งหลายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพราะมีจิตนั่นเอง เป็นเครื่องบันดาล
บุคคลผู้ฝึกจิตทางพุทธศาสนา กระทั่งเกิดฤทธิ์อภิญญา สามารถเล่นแร่แปรธาตุ แปลงดินเป็นน้ำ ล่องหนหายตัว เดินผ่านกำแพงทึบตันได้ราวกับเป็นอากาศว่าง พูดง่ายๆว่าเมื่อ ‘จิตถึง’ ก็บัญชาได้ว่า จะให้สิ่งที่เห็นเหมือนมี ยังคงมีหรือไม่มี ยังคงเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร
หากยอมมองว่าจิตเป็นตัวแปรใหม่ ที่มีอิทธิพลกับพลังงานทุกชนิดในจักรวาล ก็จะมองได้ด้วยว่า จิตเป็นกลไกขับเคลื่อนจักรวาล เสมือนจักรพรรดิผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ชักใยสรรพสิ่ง!
เมื่อเข้าใจ ‘จิต’ ในฐานะตัวแปรสำคัญขั้นสูงสุดได้ ก็เท่ากับเราได้กุญแจไขปริศนาทุกข้อที่กำลังถกเถียงกันอยู่
พวกเราอุตส่าห์วิ่งไล่สืบหาผู้สร้างจักรวาลว่าอยู่ไหน ที่แท้ก็ ‘รู้สึกได้อยู่ตรงนี้’ นี่เอง!
บทความของพินิจเข้าตาใครบางคน และใครคนนั้นก็เอาไปพูดให้นีลส์ บอหร์ฟังขำๆ แต่นีลส์ไม่ขำด้วย เพราะนีลมีความสนใจยิ่งยวด กับการเชื่อมโยงปรัชญาตะวันออก พุทธ เต๋า เข้ากับควอนตัม แม้เขาจะไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงจังรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็ตาม
นีลส์ถามจริงจังว่าคนเขียนชื่ออะไร อยู่ประเทศไหน แล้วนั่นก็กลายเป็นบันไดสำคัญที่เปิดเส้นทางให้เกิดการนัดหมาย พินิจมีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะอาหารที่สำนักโคเปนเฮเกนของท่านศาสตราจารย์จนได้
ปกตินีลส์ บอหร์เป็นคนใจเย็น สุภาพ มีท่าทีเปิดใจรับฟังทุกคนแบบนักปรองดอง แต่ในค่ำคืนที่พินิจได้รับโอกาสไปนั่งร่วมโต๊ะ เขากลายเป็นใครอีกคนที่ดูรีบร้อน ไม่พูดช้าอย่างเคย เพียงเมื่อทักทายสวัสดีไม่ทันไร ก็ยิงคำถามใส่พินิจตูมใหญ่ว่า
“ที่คุณเขียนบทความได้น่าสนใจขนาดนั้น เป็นเพราะมีประสบการณ์ทางศาสนาอย่างไรหรือ?”
คำถามนั้น ผิดคาดถล่มทลาย ไม่ตรงกันกับคำตอบที่พินิจเฝ้าตระเตรียมมานานนับเดือน
และคำถามนั้น มีแรงกระแทกราวตบพินิจตกจากเก้าอี้ได้ เมื่อต้องยอมรับซื่อๆกับนีลส์ บอหร์ว่า เขาไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด ก็แค่คนที่สนใจ ช่างจำและช่างคิด จากการศึกษาทฤษฎีของศาสนาประจำชาติตนเท่านั้น
นีลส์เองก็ทำหน้าผิดหวังอย่างแรงเช่นกัน เขาพูดชมนิดหน่อยอย่างมีมารยาทว่า พินิจคิดได้แหวกแนวดี และตรงกับที่เขาสนใจศาสนาตะวันออกอยู่เสียด้วย
แต่ก็นั่นแหละ ของจริงระดับโลกมักรำคาญคำพูดสวยหรู นีลส์อยากได้คนมีประสบการณ์ตรงมาเป็นสะพานเชื่อมวิทยาศาสตร์กับศาสนา ไม่ใช่คนเขียนเก่ง ทำเป็นเขียนถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินทฤษฎี แต่ไม่เคยแน่ใจจากประสบการณ์ตรงว่า สิ่งที่ตนเขียนนั้นจริงหรือเท็จ
นีลส์คุยกับพินิจพอเป็นมารยาทไม่กี่คำ ก็หันไปคุยกับนักฟิสิกส์อื่น ส่วนเขาก็กลายเป็นหนึ่งในฝูงชนที่เอกบุรุษเช่น นีลส์ บอหร์ จำไม่ได้ว่าเคยคุยด้วยแทบในทันที
ยุคนั้น พินิจต้องขึ้นเรือจากท่าที่ปากน้ำ สมุทรปราการ เจ่าจุกอยู่ในเรือที่แล่นผ่านมหาสมุทรอินเดีย คลองสุเอซ เข้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งต้องต่อเรือ ต่อรถไฟขึ้นไปทางยุโรป อังกฤษ เยอรมนี กว่าจะถึงเดนมาร์กก็ซัดเข้าไปร่วมเดือน เพียงเพื่อมาใช้ ๕ นาทีสำคัญของชีวิต ปล่อยให้โอกาสบนเวทีโลกหลุดมือลอยหาย จากการตอบไม่ถูกใจนักฟิสิกส์บันลือโลกเพียงคำเดียว
แต่ความเจ็บปวดสุดชีวิต บางทีก็ให้อะไรดีๆเป็นการแลกเปลี่ยนได้
แววตา ‘เลิกให้ค่า’ ที่นีลส์ บอหร์มองเขา ทำให้ใจของเขาเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนอยากมีประสบการณ์ทางศาสนาจริงจัง
อาจเพราะนีลส์ บอหร์ผู้ยิ่งใหญ่ แสดงท่าทีกระตือรือร้น ตอนยังคาดหวังว่าจะเจอหนุ่มตะวันออกผู้รู้ยิ่งกว่า
ท่าทีในนาทีแรกของนีลส์บอกพินิจว่า เขาเป็นพวกใกล้เกลือกินด่าง อยู่กับขุมความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกมาตั้งแต่เกิด ทว่าได้แต่เมียงมองอยู่รอบนอก ไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้แก่นใหญ่ใจกลางขุมความรู้นั้นเลย
พินิจแสวงหาครูบาอาจารย์ แล้วที่สุดก็ได้พบ ตลอดจนประสบความสำเร็จทางสมาธิ เอาสมาธิมาเจริญสติจนซาบซึ้งจากหัวใจว่า จิตเป็นเพียงปรากฏการณ์รู้เห็นเดี๋ยวเดียว เกิดแล้วดับ ไม่มีตัวตนอยู่จริงอย่างที่คิด
ร่างทั้งร่าง โลกทั้งใบ จักรวาลทั้งมวลก็เช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏเพื่อเป็นเวทีกรรม เพื่อให้สังสารสัตว์นับอนันต์สร้างเหตุแล้วต้องรับผลอย่างเป็นระบบ มีฉาก มีตัวละครเป็นขั้นเป็นตอน
ด้วยความซาบซึ้งพระคุณของพระพุทธเจ้าและพระศาสนา พินิจจึงเปลี่ยนใจจากอยากดัง มาเป็นอยากทำคุณถวายแด่พระศาสนาไปแทน
ชาติก่อนเขาบำเพ็ญเพียรจนกระทั่งจิตใหญ่ พอที่จะรู้ตัวว่าบารมียังเล็ก เกิดความเข้าใจว่า ถ้าตั้งใจจริง คิดใช้เทคโนโลยีเป็นแว่นส่องให้คนทั้งโลกเห็นความจริงแบบพุทธ ก็ต้องอุทิศตัว ค่อยๆพอกพูนบารมีขึ้นมาหลายๆชาติ ไม่ใช่ตั้งใจในชาติแรกปุ๊บ จะประสบความสำเร็จก่อนตายปั๊บ
คล้ายพินิจในชาติก่อน ร่ำๆจะได้สิ่งที่ต้องการในชาตินี้ที่มาเป็นเกาทัณฑ์แล้วกระมัง?
การระลึกชาติ ยังคงอยู่ในทิศทางสืบย้อนอดีตแบบมีต้นมีปลาย เกาทัณฑ์พบว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์ฉิวเฉียดจะได้ไปโด่งดังอยู่กลางวงนักฟิสิกส์ระดับโลก เขาอยู่ในชุดราชปะแตน ซึ่งเป็นยูนิฟอร์มนิสิตจุฬาฯช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ปกตั้ง กระดุมหน้า ๕ เม็ด แขนยาว กางเกงขายาวรีดคม
ห้วงเวลานั้น จุฬาลงกรณ์มีอาคารเรียนเพียงไม่กี่หลัง ส่วนใหญ่สร้างจากอิฐฉาบปูนและไม้ หลังคากระเบื้องรางน้ำสีแดงเข้ม ริมรั้วด้านนอกที่ติดกับทุ่งโล่งยังไม่มีตึกสูงเกะกะสายตา
มันเป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์ระดับโลก การค้นคว้าวิจัยและทดลองอันครึกโครมของฝั่งตะวันตกนั้น สร้างความโกลาหลทางอารมณ์ให้ชาวจุฬาฯหลายคน บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวังรอการค้นพบ ‘ความจริงขั้นสุดยอด’ ในอนาคตอันใกล้ คล้ายจักรวาลกวักมือท้าทายให้เข้าไปขุดคุ้ยและค้นหา อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
นั่นเอง เป็นอิทธิพลให้พินิจมีไอดอลบิ๊กเนม เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เออร์วิน ชเรอดิงเงอร์, เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก และนีลส์ บอหร์
ได้เข้าใจกระจ่าง แต่ละภพแต่ละชาติ คนเราจะหลงใหลอะไรสักอย่างได้ทั้งชีวิต ต้องมีบุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจมาเป็นเครื่องกระตุ้น และที่กระตุ้นได้ ก็เพราะมีภูมิหลังผลักดันอยู่
บัดนั้น เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนจิตกลายเป็นเครื่องฉายภาพที่สั่งเลือกได้ เพียงกำหนดจิตนิดเดียวว่า วัยเด็กของพินิจเป็นอย่างไร ก็ปรากฏนิมิตเด็กวัยก่อนสิบขวบ ที่จ้องมองอะไรด้วยนัยน์ตามุ่งมั่น กล้าแสดงออก อยากให้ตัวเองเป็นที่สนใจ อยากให้พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนฝูงเห็นความเก่งกาจของตน ซึ่งนั่นก็เป็นลักษณะที่เหมือนกันกับชาติของความเป็นเกาทัณฑ์ด้วย
ในความจดจำได้นั้น มีความจำย่อยซ้อนเข้ามาอีก คือ เดิมทีพินิจถูกเรียกว่า ‘พินิจ ลูกหลวงเที่ยง’ แต่ต่อมาประมาณ ๑๐ ขวบ จึงค่อยมีกฎหมายบังคับให้คนไทยต้องมีนามสกุลกัน
ไหลเรื่อยอย่างราบรื่นไปจนถึงวันคลอด ขณะนั้นจิตมีความใหญ่และรู้แจ้งแหลมคมยิ่ง นิมิตวันคลอดปรากฏเป็นข้อความบอกว่าเป็นวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ซึ่งเป็นฤกษ์เกิดคนเก่ง คนร้อนวิชา อยากให้ผลงานของตนเป็นที่ประจักษ์ระดับโลก ทว่าที่สุดก็ได้แค่พยายามเขย่ง แต่คว้าดาวไม่ถึง แล้วหันมาปฏิบัติธรรมภาวนาในบั้นปลาย
ย้อนเข้าท้องแม่ และทะลุแสงนำเกิดออกไปเห็นอัตภาพก่อนหน้าได้อีกครั้ง และพบว่าเป็นพระพรหมองค์เดิม รอบนี้เกาทัณฑ์ทราบด้วยสัญชาตญาณเดิมแบบพรหมว่า ตนลงมาเกิดตายแบบมนุษย์ เล่นเกมความไม่รู้แบบมนุษย์ เป็นทุกข์กับอัตภาพมนุษย์ ต่อสู้กับกิเลสร้ายที่แฝงอยู่ในด้านมืดของมนุษย์มาแล้วๆเล่าๆนับไม่ถ้วน
แต่สุดท้ายก็ชนะกิเลสได้ก่อนตายทุกครั้ง จึงกลับมาเป็นพรหมอีกและอีก เพราะมีฐานที่มั่นดี แต่ละครั้งก่อนจะลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ได้เล็งเลือกฤกษ์เกิดแบบที่บั้นปลายจะได้ตายในสมาธิเสมอ
การย้อนศรเวลาในลำดับถัดจากนั้นเป็นแบบพรวดๆ เหมือนเข้าร่องสัญญาณแรง รายละเอียดครบชัดพรั่งพรูเต็มพิกัด
การเป็นมนุษย์ คือการมีหลายชื่อ เปลี่ยนชาติก็เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ ชาตินี้เขาคือ เกาทัณฑ์ เทียนไชยะ ชาติก่อนคือ พินิจ อุษานัย และก่อนมีกฎหมายระบบนามสกุลก็มีแต่ชื่อเดี่ยวๆ ไม่แตกต่างจากชาติก่อนๆ เว้นแต่ชาติที่เกิดในจีน อันนั้นจะมีแซ่ด้วย เพราะจีนบันทึกแซ่มาช้านานตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ย
ทว่าเมื่อกลับขึ้นไปเป็นพระพรหม จะมีชื่อเดียวชื่อเดิม คือ ‘นทระอัศฏิ’ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นเจ้าแห่งทิศทั้งแปด
ตอนเป็นมนุษย์ รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งชาติถัดมามีเค้าเดิมบ้าง แต่บางครั้งก็เป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อน้ำหนักและส่วนสูงแตกต่างกันมากๆ ความรู้สึกรู้สาเกี่ยวกับตัวตนก็จะห่างไกลเป็นคนละมุมโลก
แต่ตอนเป็นพรหม จะมีรูปร่างหน้าตาเดิม ผู้สามารถเนรมิตร่างแทนเป็นมนุษย์รูปร่างหน้าตาต่างๆ ลงไปทำภารกิจที่กำหนดไว้ให้สำเร็จลุล่วง โดยที่ร่างแทนนั้นจะไม่ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเกินมนุษย์ทั่วไป จำไม่ได้ว่าเคยยิ่งใหญ่คับจักรวาลปานใด แต่อาจมีพรสวรรค์บางอย่างติดตัวมาเพื่อเป็นอาวุธให้ตรงเป้าภารกิจ
เมื่อภารกิจสำเร็จ ตายดับกลับสู่ความเป็นพรหม ก็จะพบว่ามีความรู้ความเข้าใจที่สำคัญเพิ่มเติม รัศมีอาจผ่องใสขึ้นหรือหมองลงตามน้ำหนักบุญบาปที่ทำไว้ด้วยความไม่รู้ ขณะอยู่ในร่างมนุษย์
พระพรหมมีความรู้สึกยั่งยืนเป็นอมตะ ส่วนใหญ่จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะมองไม่เห็นความสิ้นสุดของตนเอง
แต่มีพระพรหมส่วนหนึ่งที่พบพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็ขึ้นมาเป็นพรหมจากการบวชเรียนในพุทธศาสนา จึงมีญาณทัศนะกว้างขวางพอจะรู้วันดับ ทราบว่าแม้พรหมภูมิตั้งมั่นอยู่ได้ตลอดกัปตลอดกัลป์ ก็ต้องถึงความดับสูญไม่ต่างจากสังสารสัตว์อื่นจนได้
พรหมที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมี จะถูกมองด้วยความเข้าใจว่า ‘แบ่งภาคลงมา’ เพื่อทำอะไรเล่นแป๊บๆ ก่อนกลับไปรวมกับร่างเดิมใหม่ นี่เองเป็นที่มาของความเชื่อแบบพราหมณ์
การย้อนอดีตชาติของเกาทัณฑ์ดำเนินไปเรื่อย นับได้ ๑๑ ชาติ กระทั่งเมื่อจะข้ามไปชาติที่ ๑๒ ก็ถึงจุดที่เริ่มขาดความแจ่มชัด ภาพแบนๆคล้ายฝันธรรมดา และนั่นก็เป็นจังหวะที่เอไอเตือนว่า
“ระวัง! สมองของคุณเริ่มทำงานแบบหลับฝัน ขาดมิติสมจริง และสมองอาจทำงานแบบเติมภาพเติมเสียงเข้าไป ไม่ได้มาจากความทรงจำที่บริสุทธิ์เหมือนที่ผ่านมา”
นั่นเอง เกาทัณฑ์จึงตัดสินใจกลับเข้าสู่ภาวะนึกคิดปกติ เขาแบมือสลับกำเร็วๆสองครั้ง เป็นอาณัติสัญญาณบอกเอไอว่าเขาต้องการออกจากการฝึกครั้งนี้แล้ว
“รับทราบ! ระบบจะช่วยให้คุณกลับคืนสู่สภาพปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป” แล้วเอไอก็ตรวจสอบกับทั้งรายงานตามลำดับด้วยโทนเสียงที่นุ่มลึกกว่าเดิม “ชีพจรลดลงต่ำกว่าฐานค่าเฉลี่ย ๑๕% สมองเข้าสู่ภาวะกดสัญญาณรบกวนโดยจงใจ คุณกำลังจะออกจากโหมดสมาธิลึกเดี๋ยวนี้แล้ว”
เกาทัณฑ์ลืมตา พบตนเองยังอยู่ในร่างที่ลอยในท่านอนเอน รู้สึกเหมือนเพิ่งกลับจากการเดินทางข้ามมิติ พ้นไปจากจักรวาลเดิม
แจ่มแจ้งแล้ว นี่ไม่ใช่ร่างแรก
ใบหน้านี้ชั่วคราว
ชาติหนึ่ง คือกายใจของคนคนหนึ่ง
คนคนหนึ่ง คือชุดความจำชุดหนึ่ง
ชุดความจำหนึ่งๆ เลือนหายไปเป็นระลอกๆ พอหายแล้วก็หายลับ ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การเกิดใหม่ คือการรีเซ็ตชุดความจำกันใหม่ จำแล้วลืม ลืมแล้วจำ ดุจเดียวกับพยับแดด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นอุปมาอุปไมยจริงๆ
ผู้ที่ระลึกชาติได้เป็นอันมาก ย่อมหยั่งซึ้งถึงความจริงนี้ชัด
และการระลึกชาติระดับหยั่งรู้แบบ ‘ปุพเพนิวาสานุสติญาณ’ ย่อมช่วยให้เล็งเห็นว่า ความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อนๆ ไม่ใช่ข้อมูลที่ฝังอยู่ในสมองของชาตินี้ ดังที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเดาว่าอยู่ในดีเอ็นเอ กับทั้งไม่ใช่สิ่งที่บันทึกไว้ในจิต ดังที่ตำราทางพุทธยุคหลังๆว่าไว้ด้วย
ที่แท้แล้วญาณรู้เห็นภาพเสียงสัมผัสในอดีต เกิดจากการอาศัยกำลังสมาธิถอยย้อนไปถึงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง รู้ชัดว่าเหตุการณ์นั้นๆเคยเกิดขึ้นจริง แล้วอาศัยชุดความจำนั้นๆเอง เป็นจุดเชื่อมต่อ สาวไปถึงชุดความจำก่อนหน้าไปเรื่อยๆ
นั่งทบทวนตัวเอง นี่เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
เมื่อชาติก่อนเขาก็พบเจอครูบาอาจารย์ที่พาไปนิพพานได้ ทำไมจึงไม่บำเพ็ญเพียรเพื่อความพ้นภัยจากสังสารวัฏ ตามรอยเหล่าพระอรหันต์ไป?
ทบทวน ‘มหาเจตจำนง’ ที่รู้สึกได้ขณะอยู่ในร่างพรหม ขณะนี้เขาไม่มีสมาธิลึก ไม่มีญาณทัศนะ มีแค่ความสามารถในการตีความตามข้อมูลต่างๆที่สะสมไว้
มหาเจตจำนงนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากการปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญบารมีเพื่อสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีกำลังในการรื้อถอนสัตว์จากมหาสังสารวัฏ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล อันไกลแสนไกล
งานในชาตินี้ จัดว่าท้าทายเอาเรื่อง เขามาเพื่อเปิดโปงความลับที่เร้นสุดลึก เหมือนมาลองให้รู้ว่าจะงัดข้อกับพลังสังสารวัฏด้วยพลังของวิทยาศาสตร์ได้ไหม!