บทที่ ๑๔ เจอใหม่ ลืมหมด


แดดร่มลมตกยามเย็น แพตรีออกมาดูแลรดน้ำต้นไม้ตามปกติ ดวงหน้าของเธอฉายรัศมีสงบสุข เยี่ยงผู้ได้รับสายใยไมตรีจากพฤกษานานาพรรณรอบราย

ผิวนอกของใจดูสงัดเงียบราบคาบราวแผ่นผิวทะเลสาบ ทว่าภายในลึกลงไปเธอรู้อยู่ว่า แฝงคลื่นใต้น้ำแห่งกระแสความอ่อนหวานละไมจากหัวใจไหลรินอยู่

เธอเคยรู้สึกอ่อนไหวกับเสน่ห์ของเพศตรงข้ามมาก่อน แต่ไม่เคยสักครั้งเดียว ที่ในหัวมีแต่ความคิดว่ายเวียนวกวนถึงคำพูด ท่วงที และสายตาของผู้ชายคนหนึ่งตลอดวัน

โดยเดิม เธอแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป ปู่กับย่าพาสวดมนต์ด้วยกันทุกวันตั้งแต่ ๒ ขวบ และพอ ๖ ขวบก็เริ่มเต็มใจหัดนั่งสมาธิและเดินจงกรมโดยไม่รู้สึกถูกบังคับ

เพียง ๗ ขวบ จากจิตที่เป็นสมาธิแบบง่อนแง่น ก็แปรเป็นจิตที่ตั้งฐานรู้ได้นิ่งนานเป็นระยะ แต่เนื่องจากเธอยังซนเล่นประสาเด็ก เอาจริงบ้าง เว้นวรรคไปยาวๆบ้าง ช่วงนั้นจึงยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก

แต่พออายุ ๑๓ เริ่มจริงจังแบบต่อเนื่องไม่ทิ้ง ภายในครึ่งปีเธอก็มีจิตเป็นมหัคคตะ ลงถึงฐานสมาธิแนบแน่นระดับปฐมฌานได้เป็นครั้งแรก

ฌานของฆราวาส เป็นฌานแบบลมเพลมพัด ได้ครั้งหนึ่งแล้วไม่ได้อีกเลยหลายสัปดาห์ บางทีก็หลายเดือน หรือเป็นปีๆ

แม้สมาธิไม่เสถียร ไม่ใช่ผู้ทรงฌาน แต่ในปีที่อายุ ๑๕ ปู่ชนะก็ช่วยนำเธอย้อนอดีตจนระลึกชาติได้ จดจำได้ว่ามาเกิดที่นี่ ตรงนี้ เพื่ออะไร

ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ เธอเคยเกิดที่มณฑลเสฉวน เขตลุ่มแม่น้ำแยงซี ตอนล่างของจีน มีชื่อว่า ‘เหลียนซิ่น’ ซึ่งแปลว่า ดอกบัวที่ยังมีกลิ่นหอมไม่รู้โรย

ครั้งนั้น เธอโตขึ้นมาแบบผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา ที่มองโลกในแง่ดี มีรอยย้ิมให้กับทุกคน ไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่าเจอผู้ชายที่เหมาะสมกับตน

แต่การมองโลกในแง่ดี ไม่ได้ประกันว่าจะได้พบรักดีๆ 

เธอมีเพื่อนชายคนหนึ่งในหมู่บ้านที่สนิทชิดเชื้อกันมาแต่เด็ก โตมาด้วยกันแบบมีใจตรงกัน ถึงขั้นลอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเมื่อลับหูลับตาพ่อแม่ตั้งแต่เพิ่งเข้าวัยรุ่น

ในเวลาไม่นาน เธอก็ใจแทบขาดเมื่อทราบว่าคนรักต้องติดตามพ่อของเขาไปค้าขายที่ต่างเมือง ซึ่งห่างไกลออกไปชนิดที่ต้องเดินทางรอนแรมเป็นเดือน

ปลายราชวงศ์ชิงเป็นยุคที่การค้าขายข้ามถิ่นเฟื่องฟู ทั้งชาและสมุนไพรจากเสฉวนเป็นที่ต้องการสูง พวกที่ยอมเหนื่อยเดินทางไปกลับ เอาของเหล่านี้ไปขายในมณฑลอื่นด้วยเกวียนใหญ่ ต่างร่ำรวยอู้ฟู่เป็นที่โจษขานกันไปทั่ว บิดาของคนรักเหลียนซิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น

คนที่เธอรักสุดหัวใจ ให้คำสัญญาว่าเมื่อพ่อแบ่งเงินให้ จะกลับมาแต่งงานและเอาเธอไปอยู่ด้วยแน่นอน และระหว่างรอมีเงินมีทอง ก็จะต้องได้พบกันปีละอย่างน้อยสองครั้ง

เธอเชื่อเขา และสายตาของเขาก็มุ่งมั่นจะทำตามที่พูด ครึ่งปีต่อมาเขากลับมาตามที่ตกลงกันไว้ ด้วยรอยยิ้มแห่งความคิดถึงพร้อมของกำนัลจากต่างแดน เธอจึงยิ่งมั่นใจและเฝ้ารอวันแต่ง

แต่เอาแน่อะไรได้กับระยะห่าง เขาตามพ่อกลับมาบ้านเกิดอีก ๒ ครั้ง ทุกครั้งดูดีมีระดับมากขึ้น แต่ครั้งต่อมา มีแต่พ่อของเขาเดินทางกลับมาตามลำพัง พร้อมทั้งแจ้งข่าวเป็นที่รับรู้กับชาวบ้านทั่วไปว่า ลูกชายของเขาแต่งงานไปแล้ว กับฝ่ายหญิงที่มีฐานะสมน้ำสมเนื้อกัน

เหลียนซิ่นจุกอกพูดไม่ออก ร้องไห้เหมือนน้ำตาจะหลั่งเป็นสายเลือด ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอเป็นของเขา แล้วก็มีแต่เธอคนเดียวที่ทึกทักว่าเขาเป็นของเธอ

อับอายเหลือจะกล่าวกับความลับที่ไม่อาจเผย

ตอนนั้นเธออายุ ๑๖ และพ่อแม่จนๆก็มีลูกสาวหลายคน ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกเรือนสักคน จึงกำลังเปรยๆกันอยู่พอดีว่า น่าให้ใครสักคนไปอยู่สำนักชี เพราะเชื่อว่าจะเป็นเหตุให้ทั้งครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ได้พากันขึ้นสวรรค์ แล้วการบวชชีก็ไม่มีอายุขั้นต่ำด้วย

เหลียนซิ่นอาสา โดยให้เหตุผลว่าเธอช่างพูดช่างเจรจาน้อยที่สุดในบรรดาลูกสาวทั้ง ๓ ของพ่อแม่ พี่สาวและน้องสาวของเธอน่าจะมีโอกาสออกเรือนได้มากกว่า ซึ่งพ่อแม่ก็เห็นด้วย และฝากความหวังให้เธอเอาดีทางธรรม กับทั้งเอาบุญใหญ่มาส่งเสริมให้ครอบครัวมีกินมีใช้กว่าที่เป็นอยู่

แม้ไม่มีเงินจัดงานฉลอง พ่อแม่ก็ป่าวประกาศไปทั่วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มยินดีที่ลูกสาวกำลังจะเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ มีแต่เหลียนซิ่นที่รู้แก่ใจว่า ตนยังไม่ขึ้นสูงตามใครยก ที่แท้แล้ว เธอแค่ขอถอยออกจากโลกเพราะรู้สึกต่ำต้อยเกินกว่าจะอยู่ต่อต่างหาก

สาวน้อยผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากรัก ได้บวชในวัดใหญ่ของมหายาน ชื่อว่าวัดเป่าซาน ใกล้ป่าไผ่ น้ำตก และลำธาร โดยปฏิปทาการประพฤติปฏิบัติจะเน้นศีลพรหมจรรย์บริสุทธิ์ แยกขาดจากโลกภายนอก เน้นความสะอาดเรียบง่าย

ด้านการปฏิบัติภาวนา ก็สวดสัทธรรมปุณฑริกสูตรและสุขาวดีสูตร ฝึกสมาธิแนวเซน กับเจริญเมตตาให้กับสัตว์ทั้งหลาย

ด้วยความฉลาดและเคร่งในศีล กับทั้งนุ่มนวลอ่อนโยน มีกิริยาน่าเลื่อมใสเป็นที่รักของเหล่าสหธรรมิก เหลียนซิ่นจึงได้รับหน้าที่เป็นผู้รักษาพระสูตรและดูแลพิธีกรรม จากนั้นวันเวลาผ่านไป ก็ไต่ระดับเลื่อนขั้นเรื่อยๆ จนมีสถานะผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักชี

หลังจากเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ เธอจึงเริ่มเล็งเห็นว่า พุทธศาสนาแบ่งเป็นหลายความเชื่อ ไม่ได้มีแต่แนวสวดมนต์หรือท่องบ่นตามตำราท่าเดียว อย่างเช่นสำนักเทียนไถและสำนักหัวเหยียน ก็มีแนวทางมุ่งหมายไปให้ถึงพระนิพพานด้วยชีวิตในชาติปัจจุบัน ผ่านการเข้าใจธรรมะที่แท้ และละอุปาทานให้เกลี้ยง

แต่แม้เธอจะเริ่มเป็นที่รู้จัก และง่ายที่จะเข้าถึงเครือข่ายบรรพชิตได้ไม่จำกัด ตลอดเวลาหลายสิบปี เหลียนซิ่นก็ไม่เคยพบใครที่มีวี่แวว ‘สิ้นทุกข์’ ให้ดูเป็นแรงบันดาลใจแม้แต่คนเดียว

ปีสุดท้ายของชีวิตแม่ชีเหลียนซิ่น ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๙๔ สิริอายุได้ ๗๐ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่จีนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคคอมมิวนิสต์ มีการกวาดล้างพระพุทธศาสนาออกจากแผ่นดินพอดี

ก่อนตาย เธอตั้งสัจจาธิษฐานว่า

“ตลอด ๕๔ ปีที่ข้าครองพรหมจรรย์มา ไม่เคยด่างพร้อย และสุดท้ายเข้าใจแล้วว่า ข้าไม่ได้บวชด้วยความต่ำต้อย แต่ข้าบวชอย่างสมศักดิ์ศรีในพระพุทธศาสนา ที่เป็นศาสนาแห่งการทำทุกข์ทางใจให้สิ้น ด้วยสัจจะในการอุทิศทั้งชีวิตเพื่อหวังพ้นทุกข์ ขอให้ชาติหน้าได้พบกับใครสักคน ที่พาข้าไปพบพระนิพพานด้วยเถิด”

สัจจาธิษฐานนั้นสัมฤทธิ์ผล เธอไปสู่ความเป็นเทพธิดาชั้นยามาเพื่อรอฤกษ์เกิดตามแรงอธิษฐาน ก่อนลงมาสู่ความเป็น แพตรี วิมุตติมารา ในปี ๒๕๔๗ โดยพ่อแม่จากไปตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้ แต่แทนที่จะโตมากับความรู้สึกแบบเด็กกำพร้าขาดพ่อแม่ กลับกลายเป็นความรู้สึกว่าได้อยู่กับบุคคลที่ใช่ยิ่ง อบอุ่นและปลอดภัยยิ่ง

และเมื่อปู่ช่วยให้จำปางก่อนได้ เธอก็มุ่งมั่นที่จะอยู่กับความตั้งใจเดิม หมั่นระลึกย้อนเหตุการณ์ครั้งเป็นเหลียนซิ่นอย่างละเอียดลออ เป็นการตอกย้ำไม่ลืมว่าตัวเองมาอยู่บ้านหลังนี้เพื่ออะไร

แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ ยิ่งเธอจำตัวเองในอัตภาพแม่ชีเหลียนซิ่นได้ชัดขึ้นเท่าไร ร่างกายและจิตวิญญาณของนางสาวแพตรียิ่งโหยหาความรักความใคร่มากขึ้นเท่านั้น

เธอถามปู่ว่า ในเมื่อสัจจาธิษฐานของแม่ชีเหลียนซิ่นสัมฤทธิ์ผลแล้วเห็นๆ เหตุใดเธอจึงไม่นึกอยากบวชให้พ้นโลกไปเลย ใจยังเหมือนผู้หญิงช่างฝันที่รอวันพบคนเคียงกาย

ปู่อธิบายว่า ร่างกายของแม่ชีกับร่างกายของแพตรีเสพสิ่งแวดล้อมต่างกัน ความรู้สึกนึกคิดเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ต่างกัน จึงมีความเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

กายทั้งแท่ง ใจทั้งดวง คือแรงดึงดูดของสังสารวัฏที่ทรงพลังกว่าหลุมดำ เกิดใหม่ก็ต้องบำเพ็ญสมาธิ เจริญปัญญาหนีแรงดึงดูดกันใหม่ ไม่ใช่ว่าครองพรหมจรรย์เป็นแม่ชีได้ชาติหนึ่งแล้ว จะเอาหลุมดำออกจากร่างใหม่ได้โดยอัตโนมัติ ธรรมชาติของกายใจยังปลุกเร้าให้โหยหาคู่ได้เยี่ยงปุถุชนทั้งหลายนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีความย้อนแย้ง การคิดหนีสังสารวัฏต้องมีดี มีศีลอันงามพอจะพุ่งขึ้นสูง ความสูงส่งนั้นย่อมบันดาลความเป็นสุขุมาลชาติ สะอาดกายสะอาดใจ แสนสวยและเนื้อหอม ดึงดูดใครต่อใครมาห้อมล้อม โดยที่แต่ละคนมีความต้องตาต้องใจ เหมือนเอาเหยื่อโอชะมาแกว่งล่อ เพื่อจะได้ทรยศคำอธิษฐานข้ามชาติของตัวเองเสีย

ที่จะพ้นภัยไปจากสังสารวัฏได้จริง จึงไม่ง่าย ต่อให้เคยอยู่ในศีลวัตรปฏิบัติดี ตั้งสัจจาธิษฐานไว้แข็งแรงเพียงใด ก็เหมือนได้แค่สปริงบอร์ดให้โดดออกตัวไกลหน่อย แต่ถ้าว่ายน้ำไม่เป็น ก็จมลงก่อนถึงฝั่งเสียก่อนอยู่ดี

ตั้งแต่รู้กลไกการทำงานของสังสารวัฏจากปู่ แพตรีก็จงใจทำตัวไม่เป็นมิตรกับผู้ชายทุกคนที่พยายามเข้าใกล้มาตลอด

แต่เขาคนนี้ช่างแตกต่าง และเหมือนเจาะทะลุเข้ามาอยู่ในใจเธอได้เป็นคนแรก ด้วยเสน่ห์คมคาย ด้วยพลังในตัว และด้วยอิทธิฤทธิ์เหนือความคาดหมายต่างๆนานา

หากนี่คือด่านกั้นขวาง เธอก็ใจอ่อน ทำท่าจะข้ามไม่ผ่าน...

“ผมเดาผิด!”

แพตรีสะดุ้งสุดตัว หันขวับมาทางต้นเสียง แล้วก็พบเขาผู้กำลังมีบทบาทกับความคิดของเธออยู่

เกาทัณฑ์!

ปกติเธอมีจิตเปิดโล่งกว้างขวาง ที่ไวต่อความเคลื่อนไหวรอบตัว ทว่าคราวนี้หัวใจกำลังล่องลอยอ้อยอิ่ง เกินกว่าจะไหวทันการแอบมาข้างหลังของใคร

ชายหนุ่มซ่อนหัวเราะไว้ มันเป็นนิสัยเสียๆอย่างหนึ่งกระมังที่ชอบเห็นผู้หญิงมาดนิ่งตกใจ เขาเป็นฝ่ายเลื่อนไปนั่งตรงหน้าเธอ ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงนุ่มแน่น

“ผมนึกว่าชาติก่อนเราเป็นคู่ชีวิตกันเสียอีก... คืนที่เจอผมแหงนหน้ามองแสงไฟจากห้องแพ ให้สารภาพก็ได้ ผมฝันถึงแพ ได้พูดคุย แบบที่ชวนให้นึกว่าก่อนชาตินี้ เราเคยอยู่ด้วยกัน ที่แท้ไม่ใช่… ผมเป็นโสด แล้วแพก็เป็นแม่ชีอยู่ทั้งชีวิต!”

หญิงสาวรักษาสีหน้าเป็นปกติ สานตากับเขานิ่ง ไม่โต้ตอบคำใด

“คงรู้ตัวอยู่แล้วนี่นะ แพสวยระดับป่วนจิตคนเห็นให้ผิดปกติกันไปหมด ยิ่งอยู่ต่อหน้า ยิ่งคิดอะไรเพี้ยนๆ ซึ่งก็คงไม่แปลก หากตอนกำลังเพี้ยนๆจะพูดตู่นั่นตู่นี่เหมือนคนบ้า”

คนสวยยังเงียบ แต่ประกายตาทอแววขัน มุมปากเริ่มแย้มแต้มยิ้มหน่อยๆ ราวกับเขาเอาอะไรมาเพ้อเจ้อให้ฟังอยู่จริงๆ ซึ่งเกาทัณฑ์ก็แก้ลำด้วยการสบตาตอบอย่างเปิดเผย ไม่หลบแววขบขันนั้นไปไหน

“มาเล่นจ้องตากันดีกว่า ใครยิ้มก่อนแพ้!”

ว่าแล้วก็หุบยิ้ม ทำหน้านิ่งขึงขังเหมือนเด็กๆเล่นจ้องตา ซึ่งนั่นก็สะกดให้เธอเผลอปล่อยหัวเราะขำออกมาเบาๆ

“นี่เข้ามาได้ยังไงคะ?”

“ไม่ได้ปีนหรอกน่า ตอนผมมาถึง ป้าก้อยกวาดใบไม้อยู่แถวนั้นพอดี”

“แล้วไม่ขึ้นไปหาปู่หรือ?”

“ผมมาหาแพ!” เขาพูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้ก็ได้เจอแล้ว!”

“เจอทำไม?”

“มีคำถามที่อยากให้ตอบ…” ทิ้งช่วงเล็กน้อยก่อนต่อให้จบ “มากมาย และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง!”

“ถ้าไม่อยากตอบล่ะ?”

“ผมก็คงเก็บเรื่องระหว่างเราไว้เงียบๆ ด้วยความกลัวลึกๆว่า ตัวเองฝึกสมาธิแล้วกลายเป็นพวกชอบละเมอเพ้อพกไปข้างเดียว”

“ก็ละเมอจริงๆหนิ!”

หญิงสาวรับรอง เมื่อคิดถึงค่ำคืนที่เขามายืนเพ้อพกด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ

“ผมคงเป็นอย่างแพว่า” เกาทัณฑ์เหลือบไปทางอื่นด้วยสายตาของคนที่รู้ว่าถือไพ่อะไรไว้ในมือ “นี่ก็ละเมออีก เห็นตัวเองเป็นเออร์แปง ซาโลมุน สามีของสาวยิปซีนามว่านาธีรา“

“ชื่อเพราะนะคะ” แพตรีชมยิ้มๆ “ทั้งชื่อตัวเองและชื่อเมียเก่า”

ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษมากกว่านั้น แต่เกาทัณฑ์จับได้ว่านั่นเป็นเพราะเธอเตรียมที่จะ ‘เฉย’ ไว้ล่วงหน้า หลังจากเห็นเขาโชว์วีรกรรมในห้องครัวมาก่อน

ชายหนุ่มเหลือบลงเล็งมองมือซ้ายเรียวงอนอ่อนช้อยอย่างมาดหมาย

“แพเลิกทำเป็นเมิน เลิกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียทีได้ไหม? จะให้พี่เหนื่อยวิ่งสู้ฟัดไปจนตกขอบโลกก็ยอม ขอให้บอกเถอะว่าต้องทำยังไงถึงจะสนิทกันสักที นี่อุตส่าห์จำได้แล้วนะว่าเราเคยเป็นอะไรกันมา”

แพตรีถอนใจยาว

“อันนี้พูดหมดเปลือกนะคะ ปู่สอนแพให้ระลึกชาติได้มานาน และแพก็ระลึกได้หลายชาติ แต่ชาติที่ภูมิใจที่สุด สนใจที่สุด ย้ำระลึกละเอียดลออที่สุด คือชาติความเป็นเหลียนซิ่น นอกนั้นเลือนๆหมดแล้วค่ะ รู้ผ่านๆ แล้วก็ไม่ได้มีญาณหยั่งลงไปทราบว่าใครเป็นใครในชาติต่อมาเลยจริงๆ”

“ขอชัดๆ จำได้ใช่ไหมว่าตัวเองคือนาธีรา?”

“ค่ะ! จำได้” เธอรับซื่อๆ “แต่เป็นการจำได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า เราไม่ใช่ใครเลย ไม่เคยเป็นอะไรจริงเลย เพราะถ้าเป็นใครหรืออะไรสักอย่าง ก็คงไม่หลงลืม แล้วต้องมาขึ้นต้นสร้างตัวสร้างตนใหม่ไปเรื่อยๆอย่างนี้”

“รางวัลของการจดจำได้ว่าเคยรักกันขนาดไหน มีแต่คำพูดตัดเยื่อตัดใยแค่นี้หรือ?“

ไม่ทันสิ้นคำ เกาทัณฑ์ก็รุกประชิด ดึงมือซ้ายบนตักเธอขึ้นกุมอย่างนุ่มนวล แพตรีจ้องเขาตื่นๆด้วยความคาดไม่ถึงกับการจู่โจมชนิดนั้น พลังและไออุ่นในอุ้งมือแกร่งมีอิทธิพลให้อ่อนยวบลงเฉียบพลันไปทั้งร่าง ได้แต่แข็งใจใช้มือข้างที่เป็นอิสระยันพื้นเอนกายอย่างพยายามหนี

“นี่จะทำอะไรคะ?”

ปลายเสียงพร่าสั่นเกินกว่าจะน่าเกรง เกาทัณฑ์เอียงคอยิ้มละไม พินิจริมฝีปากสั่นระริกของเธอด้วยความรู้สึกเป็นต่อ รวบมือน้อยที่นุ่มนิ่มดุจสำลีสวรรค์แน่นขึ้น ก่อนโน้มใบหน้าเข้าหา แพตรีก้มหลบอย่างรู้ว่าเขาจะหอมแก้ม

“พี่เต้! ไม่ทำอย่างนี้ค่ะ!”

หญิงสาวกระซิบแผ่ว ทว่าเฉียบคมพอจะหยุดเขาไว้ ก่อนได้ชื่นเชยแก้มหอมนิดเดียว ที่หยุดไม่ใช่เพราะเกรงกัน ทว่าเพราะดีใจที่ได้ยินเธอเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก

“งั้นรอไว้ก่อนก็ได้”

เขาพูดหน้าตาเฉย สุ้มเสียงเหมือนเป็นฝ่ายยอมเสียสละอย่างสูง นิลเนตรฉายแววฉงนฉงายในความกล้าดีของเขาอยู่อึดใจ ก่อนมองมือตนที่ยังตกอยู่ในอุ้งมือมั่นคงทรงพลัง แล้วขอร้องด้วยเสียงวิงวอน

“ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวปู่เห็น”

“พี่ยอมหัวร้างข้างแตก ขอแค่ได้กอดแพเหมือนในฝัน คืนนั้นที่ต้องแล่นออกมาแหงนมองหน้าต่างห้องแพเป็นกระต่ายชมจันทร์ เอาจริงๆก็เพราะฝันว่าได้กอดแพนั่นแหละ”

พูดเหมือนดื้อ แต่กลับยอมปล่อยมือแล้วถอยห่างออกมาจนเธอรู้สึกว่าอยู่ในระยะปลอดภัย นั่นเอง แพตรีจึงยืดกายนั่งตรง จ้องเขาอย่างจะเอาเรื่อง

“แค่จำได้ว่าเคยเป็นอะไรกัน แล้วนึกอยากทำอะไรก็ทำเหรอคะ? ไม่ยอมนะ!”

“ก็จริงนะ…” เกาทัณฑ์ทำหน้าครุ่นคิดตาม “ขนาดเป็นผัวเมียที่เลิกราวันเดียว เขายังเกรงใจไม่แตะต้องกัน นี่อะไร… ตายจากมาตั้งแต่สองชาติที่แล้ว อยู่ๆจะให้อ้างสิทธิ์คนรักเก่าจับเนื้อต้องตัวกันดื้อๆได้ไง… พี่ทำแบบนี้นับว่าใช้ไม่ได้!”

ติเตียนตนเองแทนเธอเสร็จก็ส่ายหน้าช้าๆ ด้วยแววอิดหนาระอาใจ แพตรีฉิวจนขำ ขำเสร็จก็ต่อว่าเขาจริงจัง

“ไม่ต้องทำเป็นตลกหรอก! จริงใจหน่อยค่ะ แพเสียหายนะ”

“อยู่ในสังสารวัฏมีแต่ต้องออกแรงเหนื่อยไปเรื่อยๆสินะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร สัญญารักข้ามชาติไม่มีจริง เจอกันใหม่ ก็เป็นคนแปลกหน้ากันใหม่ เอาแน่เอานอนไม่ได้กันใหม่”

“ใช่ค่ะ! ถ้าทำตัวไม่ดี ปากว่ามือถึง รุ่มร่ามไม่น่าไว้ใจตั้งแต่วันแรกๆ ก็อาจต้องแยกทางตั้งแต่ยังไม่ร่วมเดิน!”

ชายหนุ่มก้มหน้ายิ้ม ยกมือยอมแพ้

“เข้าใจแล้วจ้า” แล้วก็เงยขึ้นสบเต็มหน่วยตา “ชาตินี้พี่คงต้องรอจนกว่าจะถึงวันแต่งใช่ไหม?”

แพตรีถอนใจ ส่ายหน้าหน่อยๆ

“ยังไม่แน่ด้วยซ้ำค่ะว่าจะได้แต่งอีกหรือเปล่า” เธอใช้สายตาประกาศว่าเปิดอกพูด “แพเข้าใจค่ะ พี่รู้เรื่องหนหลังระหว่างเรา แต่ทำความรู้จักชาตินี้ของแพอีกหน่อยจะเข้าใจนะคะว่า แพ…”

สาวผู้ใฝ่สันโดษตั้งแต่อายุยังน้อยทำท่าอึกอัก สองจิตสองใจว่าจะพูดให้จบไหม เกาทัณฑ์เลยเติมคำในช่องว่างให้

“แพไม่อยากมีคู่ให้ต้องเกิดใหม่กลับมาเจอกันอีกแล้ว”

“ค่ะ!” เธอเชิดหน้ารับนิ่งๆ โล่งอกที่เขาช่วยพูดให้ แต่ยากจะคุมหัวใจมิให้เต้นผิดจังหวะต่อหน้าบุคคลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของหัวใจตน “แพจำได้ว่านาธีรารักเออร์แปงมาก แต่พี่อย่าเสียใจนะ ที่แพไม่รู้ และไม่เคยสนใจจะรู้ว่าเออร์แปงไปอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะ… แพพอใจจะจำความปรารถนาของแม่ชีเหลียนซิ่นมากกว่า”

“งั้นมาคุยกันเล่นๆก็ได้ แค่อยากรู้ว่าแพกับพี่ระลึกได้ตรงกันไหม”

“แพ… ไม่อยากคุยค่ะ”

“สองคนนั้นเกิดในสมัยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แหล่งกำเนิดตำนานดอก Forget Me Not… พี่เคยถามชื่อดอกไม้นี้กับแพในวันแรกที่เรารู้จักกัน จำได้ไหม?”

หญิงสาวจุปากจึ๊กหนึ่งเบาๆ เบนหน้าเมินอย่างอ่อนใจ แต่ที่สุดก็อดตอบไม่ได้

“แพไม่รู้ละเอียดขนาดระบุถูกว่าเกิดสมัยไหน รู้แค่ว่านาธีราเป็นยิปซีที่พูดได้หลายภาษา ปะปนอยู่กับคนหลายเชื้อชาติ”

“จริงหรือนี่?”

ชายหนุ่มแปลกใจ เพราะเธอนำหน้ามาก่อนเขานาน นึกว่าจะรู้เห็นคมชัดลึกไปทุกรายละเอียด

“จริงค่ะ! ของแพส่วนใหญ่เห็นเป็นภาพแบนๆ ทึมๆ และผ่านไปไวๆกระโดดๆ ไม่ได้คมชัดลึกอะไร”

“อย่างพวกปี ค.ศ. หรือ พ.ศ. อะไรนี่รู้หรือเปล่า?”

“ถ้าเป็นชาติก่อนหน้าเหลียนซิ่น จะไม่รู้เลยค่ะ และแม้แต่ชาติเหลียนซิ่นเอง ก็ต้องแกะอยู่ซ้ำๆหลายรอบ สังเกตสังกาและเอาไปเปรียบเทียบกับบันทึกต่างๆมากมาย แถมสุดท้ายต้องให้ปู่ตรวจการบ้าน กว่าจะแน่ใจว่าถูกต้องจริง พวกปี พ.ศ. พวกยุคสมัย พวกบทสนทนาเป็นคำๆนี่ส่วนใหญ่มักต้องรอปู่เฉลย”

“สารภาพอย่างนะ” เขาทำเสียงอ่อยๆอย่างนึกอายที่เธอนึกว่าเขาเก่งกว่า “พี่มีตัวช่วยน่ะ ไม่ได้เก่งจริงหรอก ที่บริษัทมีเทคโนโลยีบันดาลสมาธิ และคุมสมาธิด้วยเอไอ ถ้าอธิบายง่ายๆคือมันทำให้เกิดกำลังระดับเดียวกับคนที่ทำฌาน ๔ ได้ แล้วถอยมาระลึกชาติ รายละเอียดต่างๆเลยชัดครบ เลขปีและบทสนทนาทั้งหลายโผล่มาเองหมด”

“อ้อ! อย่างนี้นี่เอง…” เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ และไม่ค่อยประหลาดใจแล้วกับความเก่งวิชาของเขา “ยังไงก็เก่งแหละค่ะที่สร้างเครื่องทุ่นแรงขึ้นมาได้ วันหลังแพจะขอใช้บริการบ้าง”

“ได้เลย! พี่อยากรู้เหมือนกันว่าคนชำนาญแล้วไปใช้ จะยิ่งขยายผลขนาดไหน”

แพตรียิ้มเป็นเครื่องหมายขอบคุณ ก่อนเบนสายตาไปทางอื่น แสดงท่าว่า หากเขาไม่พูดต่อก็แปลว่าจบการสนทนา

เกาทัณฑ์ถือโอกาสมองโครงหน้า ตา จมูก ปากของหญิงสาวด้วยวูบแห่งอารมณ์หลงรูป ความงามงอนสมส่วนอาบเสน่ห์ กับผิวพรรณเปล่งแสงดึงดูดตารัดรึงใจได้ขนาดนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ตั้งคำถามใดๆว่า ทำไมเธอจึงได้แรงดึงดูดจากจักรวาลมามหาศาลปานนี้ แค่มีมาล่อตาล่อใจให้ไขว่คว้าก็เท่านั้น

นึกแปลกใจที่ตนเคยมืดบอด สำคัญว่าความไม่เท่าเทียมทางใบหน้า รูปทรง สัดส่วนทั้งหลายในร่างกายมนุษย์ ถูกวาดขึ้นด้วยฝีมือความบังเอิญ มันจะเอาอะไรมาบังเอิญได้ขนาดนี้ เห็นอยู่ชัดๆว่า มีเบื้องหลังของการขึ้นรูปอยู่

พอคิดถึงตรงนั้น ก็สะดุด

เพียงเมื่อระลึกได้ไม่กี่ชาติ ก็เหมือนเปิดผ้าคลุมบังตาบังใจออก โลกทั้งใบต่างไปหมด ใดๆล้วนเป็นรหัสกรรม เห็นทนโท่อยู่แท้ๆ

นี่เอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าชาติก่อนมีอยู่ จัดเป็นอวิชชาที่ ๑ หลงนึกว่าอะไรๆเพิ่งเกิดขึ้น

นอกจากนั้น การไม่รู้ว่ากรรมเก่ามีผลดลบันดาลให้เกิดความเป็นเช่นนี้ จัดเป็นอวิชชาที่ ๒ หลงนึกว่าทุกคนได้รูปกาย ได้ชะตากรรมมา โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง

“ในชาติของความเป็นเออร์แปง…” เกาทัณฑ์เริ่มเล่า “พวกเราอยู่ในยุคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เหมือนถ้ำมังกรมรณะที่พ่นควันพิษออกมาให้คนปอดพังกันทุกวัน เออร์แปงอยากเป็นอัศวินขี่ม้าขาวแบบเซนต์จอร์จ พยายามคิดค้นต้นแบบเครื่องบำบัดอากาศขึ้นมา เพื่อปราบมังกรในโลกความจริง”

ทีแรกแพตรีคร้านจะฟัง แต่พอได้ยินน้ำเสียงของคนเล่าสนุก ก็เผลอฟัง และอดโต้ตอบไม่ได้

“ชื่อ ‘ลุฟต์ไฮเลอร์’ ใช่ไหมคะ?”

“อ้าว! ไหนว่าจำรายละเอียดไม่ได้?”

“เป็นความจำแบบสุ่มน่ะค่ะ ลุฟต์ไฮเลอร์เป็นประวัติศาสตร์ทางความรู้สึกของนาธีรา มีแรงประทับให้จดจำระดับสัญลักษณ์แทนชีวิตทั้งชาติ เพราะเธอภูมิใจในตัวสามีมาก ที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาช่วยผู้คน”

แพตรีเล่าด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆเหมือนพูดถึงหญิงอื่น ต่างจากเกาทัณฑ์ที่มีสีหน้าสดชื่น ยิ้มแย้มโสมนัสที่เธอเผยความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน แม้ว่านั่นจะเป็นความรู้สึกย้อนหลังไปสองชาติก็ตาม

“รู้ไว้เถอะว่ามันควรเป็นความภูมิใจร่วมกัน เพราะนาธีราก็มีส่วนช่วยคิด ช่วยผลักดันให้เกิดความสำเร็จด้วย”

“เหรอคะ?”

คำนั้นเผยว่าเธอไม่อาจจดจำส่วนนี้ได้ เกาทัณฑ์จึงเล่าแบบมีที่มาที่ไป เพื่อช่วยเธอต่อจิ๊กซอว์ให้ครบ

“ในภาษาเยอรมัน Luft แปลว่า อากาศ ส่วน Heiler แปลว่าผู้บำบัด รวมแล้วคือเครื่องบำบัดอากาศ ซึ่งสมัยนั้นไม่มีใครเข้าใจหรือเห็นความสำคัญของอะไรแบบนี้กัน”

“ค่ะ! ดูเหมือนพี่จะเสพติดการเป็นผู้มาก่อนกาลจริงๆ คิดอะไรที่คนไม่คิดกันได้ทุกชาติ”

“ตอนนั้น พี่อาศัยความรู้ความเข้าใจเรื่องการควบแน่นอากาศเย็นมาเป็นแกนการออกแบบ โดยคิดใช้วัสดุพื้นบ้านมาสร้าง จำพวกถ่านไม้ ผ้าเปียก ถุงกรองโลหะบาง และนั่นแหละที่นาธีราได้มีส่วนช่วยออกแบบ”

พอเป็นการพาดพิงถึงตัว คราวนี้แพตรีชักทำหน้าอยากรู้

“ยังไงคะ?”

“แรกเริ่มที่มาอยู่ด้วยกัน นาธีรารับจ้างทำความสะอาดและหุงหาอาหารในบ้านให้เออร์แปง แต่ต่อมาหลังจากเห็นเขาทำงานกับเศษเหล็ก เศษท่อประหลาดๆ สกปรกรุงรัง เธอเลยอาสาช่วยล้างอุปกรณ์ให้ แล้วเกิดความเข้าใจว่า เขากำลังพยายามทำเครื่องกรองอากาศ”

แพตรีฟังแล้วคิดตาม พยายามขุดความจำในร่างนาธีรา ทว่าจิตไม่เป็นสมาธิพอจะย้อนระลึกแบบเจาะรายละเอียดเฉพาะเหตุการณ์ได้ ได้แต่เอ่ยตามความรู้สึกคร่าวๆ

“จำได้ค่ะว่านาธีราเป็นคนขยัน แล้วก็ใส่ใจรายละเอียดข้าวของ”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ นาธีราเป็นพวกชอบถอดประกอบ แล้วก็มีไอเดียดัดแปลงข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุให้ได้ไถ่ถามเกี่ยวกับสิ่งที่เออร์แปงทำ แล้วนางก็มีหัวช่างกล เริ่มแนะนำให้เขาทำอะไรๆเรียบง่ายขึ้น กับช่วยเลือกด้วยว่า ถ่านชนิดไหนทำให้อากาศสะอาดกว่า”

“สมควรได้เงินเดือนเพิ่มนะคะ”

เกาทัณฑ์พยักหน้ายิ้ม

“เออร์แปงสมนาคุณงวดแรกไป ๑๐๐ กุลเดน เท่ากับค่าแรงช่างฝีมือระดับสูงทั้งเดือน นาธีราถึงขั้นกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะไม่เคยมีใครตีมูลค่าความคิดของเธอแพงขนาดนั้นมาก่อนเลยในชีวิต”

“ใจดีนะคะ… แพจำได้ว่าก่อนขายไอเดียเครื่องบำบัดได้ เออร์แปงไม่ได้ร่ำรวยนัก เหมือนจะต้องดิ้นรนหานายทุนหรือเปล่า?”

“ถูกต้อง! พี่มีแค่ไอเดีย แต่ไม่มีเงินทุน รายได้ประจำมาจากการดูแล ซ่อมบำรุงเครื่องจักรในโรงงานเล็กๆ แล้วสมัยนั้นไม่มีนายทุนเชื่อด้วยว่า เจ้าของโรงงานทั้งหลายจะยอมจ่ายเพื่อให้สุขภาพของคนงานดีขึ้น”

“เก่งขนาดนั้นไม่มีใบเครดิตบ้างหรือคะ?”

“เออร์แปงไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัย ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีตราประทับจากใครที่จะใช้เป็นใบเบิกทาง”

ความจดจำเกี่ยวกับชาติของนาธีรากลับมาปรากฏในใจแพตรีรางๆ

“ภาพจำของแพ เออร์แปงเป็นผู้ชายผมยุ่ง คิดทำเพื่อคนอื่นแบบหัวเดียวกระเทียมลีบน่าสงสาร และนาธีราก็พยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆเกินหน้าที่ลูกจ้างทำความสะอาด”

“กรรมดีที่คิดช่วยเจ้านาย ถึงได้ยกระดับจากคนใช้มาเป็นเมียไง”

“แค่ช่วยเลือกถ่าน?”

“อันนั้นแค่จุดเริ่มต้น กำลังใจและคำปลอบโยนที่ฉลาดอย่างคาดไม่ถึงต่างหาก ที่ทำให้เออร์แปงรู้สึกขาดเธอเคียงคู่ไม่ได้”

“ปลอบอย่างไรตอนไหน?”

“ช่วงที่เออร์แปงเอาไอเดียเครื่องบำบัดไปเสนอขอทุนทำโรงงาน ก็ได้รับคำปฏิเสธซ้ำๆ กลับบ้านจะมาด้วยท่าเดิมๆ คือกะปลกกะเปลี้ย หมดอาลัยตายอยาก วันหนึ่งนาธีราเห็นเออร์แปงกำลังกินเหล้าร้องไห้อยู่ เธอก็กล้าพูดขึ้นมาว่า พวกนายทุนไม่เคยเห็นใครเป็นคนดี เขาเห็นแต่ขอทานไปแบมือขอเงิน ทำไมไม่หาวิธีทำให้นายทุนรู้สึกว่า เราคือเจ้าของลายแทงขุมทรัพย์ที่รอคนวิ่งตามมาขอไปขุดขุมทรัพย์ร่วมกันบ้าง?”

แพตรีหรี่ตาคิดตาม แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

“นาธีราพูดได้ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ขนาดนั้นเลย!” เกาทัณฑ์ยืนกราน “เออร์แปงฟังคำของนาธีราจบแล้วหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ภาพหญิงรับจ้างทำความสะอาดหายวับ เปลี่ยนมาเป็นหญิงคู่ชีวิตที่แสนอบอุ่นไปแทน”

น้ำเสียงที่สื่อความทรงจำเข้มข้นนั้น พลอยดึงแพตรีกลับไปสู่ความเป็นนาธีราผู้ภักดีนายได้อีกครั้ง

“เป็นโชคดีของกันและกัน”

“ใช่เลย! โลกแบ่งพื้นที่เล็กๆให้คนสองคนอยู่ด้วยกัน และนำโชคมาให้กัน ฝ่ายนายเลี้ยงดูบ่าวอย่างดี ส่วนบ่าวก็สร้างตำนานเปิดกะลาให้เจ้านายได้”

“แล้วไงต่อคะ?” ถามอย่างชักระทึกตาม ใคร่รู้ตอนต่อไปเร็วๆ “พอฟังคำแนะนำจากนาธีรา แล้วเออร์แปงได้ไอเดียใช้อุบายยังไง ถึงดึงดูดนักลงทุนมาหา?”

“ยุงชักเริ่มเยอะ” เขาพูดเอื่อยๆ ปัดมือไล่สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่มาเกาะแขนตนช้าๆ “เย็นแล้ว แพไม่พาพี่เข้าไปนั่งคุยกันในบ้านหน่อยหรือ?”

เนื่องจากเห็นว่าเป็นข้อเรียกร้องที่สมควรแก่เวลา แพตรีจึงลุกนำ

“ไปค่ะ!”

ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวไปที่เรือนเอนกประสงค์ ตั้งแยกห่างจากตัวเรือนหลักเพียงพอให้รู้สึกเป็นสัดส่วน เรือนนี้เขาเคยมาร่วมรับประทานอาหารกับปู่ชนะและแพตรีมาแล้วครั้งหนึ่ง

เงาสีทองเรื่อของแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ทอดทาบผ่านช่องระแนงหน้าต่าง กลิ่นอวลของเปลือกส้มแห้งกับใบฝรั่งทำให้ใจสงบลงอย่างง่ายดาย ภายในเรือนตกแต่งอย่างเรียบง่าย ฝาไม้เรียบสนิทลงน้ำมันงาม มุมหนึ่งมีโต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๖ ที่นั่ง ปูผ้าลินินสีขาวสะอาดตา แจกันเซรามิกลายครามวางดอกพุดหอมไว้กลางโต๊ะ กลางห้องจัดวางโต๊ะไม้เตี้ยทรงกลมประกบด้วยเก้าอี้พนักเตี้ยหันเข้าหากัน ซึ่งแพตรีพาเขามานั่งลงที่นั่น

“รับน้ำส้มหรืออัญชันมะนาวดีคะ?”

เสียงถามเสนาะโสตฟังพินอบพิเทาแปลกๆ เกาทัณฑ์หันไปมอง จึงสบกับนัยน์ตาพูดได้คู่นั้น ที่กำลังฉายแววนึกสนุก คล้ายอยากจบประโยคคำถามเมื่อครู่ด้วยการเรียกเขาว่า ‘ท่านของดิฉัน’

นั่นเอง ชายหนุ่มจึงกลั้นยิ้ม ยกมือกอดอกหันไปอีกทาง เชิดคางปั้นหน้าขรึมหน่อยๆ สวมบทเจ้านายกำมะลอ เปล่งเสียงสั่งเป็นกังวานห้าวลึกและเชื่องช้า ราวขุนนางในวัง

“ขออัญชัญมะนาว!”

แพตรีเม้มปากแน่น แต่ที่สุดก็หลุดหัวเราะด้วยสุ้มเสียงน่ารัก ใจหนึ่งอยากเล่นละครตามเขา โดยค้อมศีรษะรับ ‘เจ้าค่ะ!’ แต่ยั้งไว้ด้วยความเขิน ยังเล่นไม่ออก แค่สั่นหน้าเบะปากยิ้มแล้วหันไปหยิบรีโมตมากดเปิดเครื่องปรับอากาศ ก่อนเดินหายไปจากห้องเงียบๆ

ชายหนุ่มลดแขนลงเอามือไพล่หลัง เดินทอดน่องช้าๆ ทอดสายตามองผนังฝั่งหนึ่งของเรือน ซึ่งแขวนภาพสีน้ำมันสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ราว ๓ คูณ ๒ เมตร ได้สัดส่วนกับเรือนไทยที่มีฝาสูง โล่ง โปร่ง และออกแบบไว้รองรับงานศิลปะโดยเฉพาะ

ภาพวาดเป็นแนวอรูป ไร้รูปลักษณ์ ซึ่งไม่ใช่แค่วาดเพื่อให้ตีความล่องลอย หากเป็นงานที่ชาญฉลาด จุดเด่นอยู่ตรงกลางภาพ เป็นวงกลมสีครามแซมทองค่อนข้างใหญ่ ดึงดูดสายตาราวกับมีแรงโน้มถ่วง

แต่เมื่อจ้องนิ่งพอ เส้นสายรอบๆ วงกลมจะเริ่มเผยให้เห็นรูปร่างคล้ายเถาวัลย์คดเคี้ยว กับมวลเมฆที่เลื่อนไหลอย่างมีทิศทาง ทุกอย่างแฝงอยู่ในฝีแปรงซ้อนทับหลายชั้น ซึ่งเกาทัณฑ์รู้สึกคล้ายถูกสะกดให้ย้อนกลับมาค้นหาความหมายกลางใจตน

วงกลมสีครามแซมทอง แทนความทึบกลางใจ

เถาวัลย์ แทนความนึกคิดที่ยุ่งเหยิง

มวลเมฆ แทนอารมณ์รู้สึกล่องลอย

มุมขวาล่างปรากฏชื่อ ‘รู้ว่าคิด’ พร้อมลายเซ็นจิตรกรนาม ‘เวณิก ทันกะรา’ ซึ่งแค่เห็นพลังการตวัดลายเซ็น ก็รู้สึกถึงความขลัง น่าจะต้องเป็นศิลปินชื่อดังในแวดวงภาพวาดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งหมดเมื่อปรากฏด้วยกัน กลายเป็นภาพรวมสะท้อนจิตที่เคยมืดบอด เริ่มเรื่อเรืองขึ้นมาเป็นสีทอง เมื่อเกิดสติรู้ว่าความฟุ้งซ่านดุจเถาวัลย์ และอารมณ์เลื่อนลอยดุจเมฆหมอก

ยิ่งสำรวจ ยิ่งรู้สึกเข้ามากลางอกตน และจากที่เคยทึบเพราะความคิด บัดนี้จิตแยกห่างจากขั้วความคิด เหมือนได้ถอดปลั๊กในหัวออก หลุดไปอยู่กับลานกว้างโล่งแทน

เพิ่งเข้าใจภาพแนวอรูปเป็นครั้งแรก อาจเพราะเริ่มรู้จักสมาธิจิตแบบพุทธบ้างแล้ว

เมื่อเข้าใจภาพ ก็ค่อยๆเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน ความสงบผาสุกของที่นี่ กำลังเปลี่ยนชีวิตเขาทีละน้อย...

แพตรีกลับมาพร้อมถาดไม้ทรงกลมที่มีแก้วน้ำสีม่วงเข้มวางอยู่ โดยมีกลีบมะนาวฝานบางลอยหน้าสวยงามพร้อมดอกอัญชัญสดแต่งขอบแก้ว เธอบรรจงวางถาดลงบนโต๊ะไม้อย่างอ่อนโยน

เกาทัณฑ์มองตามความเคลื่อนไหวของเธอชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนอาจหาญ ย่องกริบเข้าหาจากเบื้องหลัง คล้องวงแขนตระกองกอดร่างระหงไว้เต็มอ้อมอย่างแสนรัก

แพตรีเงยหน้าขึ้น ทีแรกขืนกายเล็กน้อย แต่เมื่อสัมผัสว่าอ้อมแขนและแผ่นอกนั้นมากับความรู้สึกประณีตละเอียดอ่อน ก็ยอมยืนนิ่งให้กอดโดยดี

ในความสงบเงียบจากกลางใจใสสะอาด ราวกับทุกสิ่งยุติการเคลื่อนไหวเป็นนิรันดร์ ใจอาบแสงรักที่แผ่รัศมีเป็นวงกว้าง แสนคุ้นกับสัมผัสสนิทแนบนุ่มนวลไม่เป็นอื่น

เวลาล่วงเลยจนถึงจุดที่แพตรีขยับตัวจะแกะแขนออก เกาทัณฑ์ก็โน้มหน้าลงหอมแก้มนวลทีหนึ่ง แล้วกระชับปลอกแขนแน่นขึ้น แสดงท่าว่าไม่ยินยอมปล่อยตัว

“จะไม่เกรงใจกันแล้วใช่ไหม?”

“พี่แค่อยากให้เราทำตัวเป็นกันเอง”

“เพิ่งรู้จักกันไม่ทันไร ทำแบบนี้แล้วบอกว่าเพื่อความเป็นกันเองเหรอคะ?”

เกาทัณฑ์หัวเราะ ถอนมือข้างหนึ่งไปลากเก้าอี้ใกล้ตัวมาหย่อนกายนั่งลง และนั่นก็เป็นผลให้ร่างนุ่มในอ้อมกอดต้องย่อตามลงนั่งบนตักด้วย

“สัญญาว่าจะไม่เกินเลยไปกว่านี้ก่อนแต่ง”

“พูดแล้วพูดอีกนะคะ! เอาจริงๆ ใครบอกพี่เหรอว่าจะแต่งด้วย?”

“ขอโทษที่แสดงความเชื่อมั่นมากไป พี่จะค่อยๆพยายามขอแพดีๆแล้วกันนะ อีกสองวันน่าจะยอม”

“ฝันไปเถอะ!”

เกาทัณฑ์มองเส้นผมยาวที่เรียงเส้นเป็นเงาลื่นอย่างมีน้ำหนักคล้ายสายไหมที่ร่วงอย่างตั้งใจลงคลุมแผ่นหลังทรงอรชรอ่อนช้อย แอบถามเธอกลับอยู่ในใจเงียบๆว่า แล้วนี่ล่ะ... ฝันหรือจริง?

คิดแล้วก็กล้าโน้มตัวฝังจมูกลงบนกลางหลัง สูดกลิ่นหอมรื่นเต็มอก เข้าใจอารมณ์ประเภท ‘ยอมตายขอให้ได้กอดนาง’ อย่างเต็มตื้น แต่วิเศษกว่านั้นคือขณะนี้เขาได้กอดด้วย แล้วก็ไม่ต้องตายด้วย!

แพตรีรู้สึกว่ายอมเขาง่ายไป จึงขยับท่าจะลุกจริงจังพร้อมพูดห้วนๆ

“ไม่เอาแล้วค่ะ! แพจะไปนั่งโน่น”

นั่นเอง ชายหนุ่มจึงยอมปล่อยอย่างเสียดาย และเธอก็ลุกเดินก้าวเดียวไปหันหลังลงนั่งอย่างนุ่มนวลราวหยดน้ำ จากนั้นมองหน้ากันและกันอยู่นาน ก่อนที่แพตรีจะเป็นฝ่ายทวงถาม

“เออร์แปงใช้อุบายยังไง นายทุนถึงตามขบวนมาได้คะ?”

ชายหนุ่มหรี่ตายิ้มสนเท่ห์ นึกไม่ถึงว่าเธอจะอยากรู้ตอนต่อขนาดนี้

“ตอนเย็นๆที่โรงเบียร์ จะมีคนรวยๆแวะเวียนไปดื่มกันเยอะ เออร์แปงเลยขนต้นแบบเครื่องบำบัดไปสาธิตการทำงานให้ดู”

“ได้ด้วย?”

“สมัยนั้นไม่มีใครว่าหรอก”

“แล้วสาธิตยังไง?”

“เออร์แปงเอาใบไม้แห้ง เศษถ่านไม้เนื้ออ่อน เศษผ้าชุบน้ำมัน เป็นวัตถุดิบในการจุดควันขึ้นมาจางๆที่ฝั่งตรงข้าม ให้ควันลอยต่อเนื่องแบบไม่ทึบ ไม่สำลัก แต่ให้ความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในลำคอ แสบจมูก แสบตานิดๆ เลียนแบบสภาพในโรงงานมาเกือบจะเป๊ะ”

“เข้าใจคิด”

“ทีเด็ดคือเออร์แปงเขียนไว้บนป้ายหลักว่า เบียร์ ๓ แก้ว แลกเครื่องบำบัดอากาศได้หนึ่งเครื่อง!”

“อื้อม์!”

“ป้ายรองบอกว่า ถึงอยู่ชั้นบน ถ้าคุณได้กลิ่นแบบนี้ ก็อย่านึกว่าจะรอด”

“โอเค! เข้าใจแล้วทำไมแห่กันซื้อ” หญิงสาวยิ้มชื่นชมไอเดีย “น่าบอกด้วยนะคะว่า ซื้อให้ลูกจ้าง คือซื้อให้ตัวเอง”

เกาทัณฑ์ห่อปากตาโต ยกนิ้วชี้ขึ้นสูง ก่อนพลิกมือชี้ตรงไปทางเธอ

“นั่นแหละ! ข้อความที่นาธีราบอกให้เออร์แปงเขียน”

“เหรอคะ?” แพตรียิ้มดีใจที่ไอเดียสองชาติพ้องกันได้ “นายทุนเดินมาเจรจาเดี๋ยวนั้นเลยไหม?”

“คนที่มีกำลังซื้อจริงๆ เขาไม่เดินมาถามหรอกว่าเครื่องทำงานยังไง เขาอยากรู้ว่ามีใคร ‘น่าเชื่อถือ’ รับรองแล้วหรือยังมากกว่า”

“แสดงว่าต้องมีพรีเซ็นเตอร์ด้วย เอาใครมาคะ?”

“บาทหลวง!” เขาตอบกลั้วหัวเราะ “ที่โบสถ์ในเมือง มีบาทหลวงวัยกลางคนชื่อ ‘พ่อครูรูดอล์ฟ’ เป็นคนเคร่งในหลักเมตตา และดูแลสุขภาพชาวบ้านด้วย เออร์แปงไปขอให้ท่านลองเครื่อง”

“ท่านเห็นด้วยเหรอคะ?”

“ไม่ใช่แค่เห็นด้วย แต่ยังให้พี่เอาเครื่องต้นแบบไปติดที่คลินิกในชุมชนใกล้โบสถ์ด้วย เพื่อให้ผู้คนได้ลองอากาศดี รู้สึกเบา หายใจคล่องกว่า และไม่แสบจมูก” 

“ท่านใจดีนะคะ”

“พ่อครูรูดอล์ฟพูดเป็นคติ พาให้พี่มีหัวทางธุรกิจขึ้นมาด้วยคำไม่กี่คำ ท่านบอกว่า ไม่ต้องพยายามให้คนมีเงินเชื่อ แค่ทำให้คนเจ็บป่วยหายใจดีขึ้น เดี๋ยวพวกคนมีเงินก็วิ่งตามมาเอง”

“แค่ฟังก็เชื่อเลยค่ะว่าต้องได้ผล”

“ทั้งแผนโรงเบียร์ ทั้งแผนคลินิก เวิร์กทั้งคู่ คนเอาไปร่ำลือกันเยอะมาก ถึงตอนนั้นพี่ก็เริ่มฉลาดขึ้น สมองแล่นปรูดปราด”

“ทำป้ายโฆษณารอบเมืองใช่ไหมคะ? ชักคุ้นแล้วล่ะ นาธีราช่วยเออร์แปงแบกป้ายไปติดรอบเมือง เหนื่อย แต่มีความสุขกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีชาวเหมืองแร่อาสาช่วยกันใหญ่”

“ใช่! ไหนจำข้อความบนป้ายได้ไหม?”

แพตรีพยายามเค้นนึก ก่อนยอมแพ้

“ไม่ได้ค่ะ เลือนเกิน จำได้แค่บรรยากาศร่วมแรงร่วมใจไปทั้งเมือง”

“พี่ทำป้ายโฆษณา ยิงข้อความเข้าตาพวกเจ้าของโรงงานว่า โอกาสผลิตสินค้า มีราคาสูงกว่าเครื่องบำบัดอากาศหลายพันเท่า อย่าให้สินค้าชะงักเพราะคนงานตาย”

“ถัดจากนั้น เออร์แปงก็มีนัดคนใหญ่คนโตเยอะมากใช่ไหมคะ? แล้ว… เราก็ได้ย้ายบ้าน”

“ถูก! เศรษฐีคนหนึ่งมีบ้านที่ไม่ได้ใช้ เลยยกให้เรามาทั้งหลัง ขอแค่เซ็นสัญญาผลิตเครื่องกับเขา” แล้วเกาทัณฑ์ก็มองแพตรีนิ่งๆด้วยประกายซึ้ง “จำที่พี่ขอแต่งงานได้ไหม?”

หญิงสาวค่อยๆเบนหน้า หันเหสายตาไปมองกิ่งไม้ไหวนอกหน้าต่างเรือนไทย ก่อนตอบเสียงเรื่อยๆ

“จำไม่ได้ค่ะ”

“จริงเหรอ?”

“จริงค่ะ! แพไม่โกหก ถ้าเขินไม่อยากพูดจะเงียบ ไม่ทำเป็นไก๋”

ชายหนุ่มเอียงคอมองหญิงสาว รู้จักตัวตนของแพตรีเพิ่มขึ้นอีกนิด เธอเป็นน้ำนิ่งที่ไหลลึก ทันคน ทว่าไม่มีแม้แต่มายาอิตถี ทุกกิริยาออกมาจากใจใสตรง สะอาดหมดจด เป็นอีกชนิดของเสน่ห์ที่เขาไม่เคยเจอ

“แล้วตกลงอยากฟังหรือเปล่าว่าเออร์แปงมีมุกเด็ดเซอร์ไพรส์ยังไง ขนาดที่นาธีราแทบตีลังการ้องกรี๊ด?”

แพตรียังไม่หันกลับมา แค่อมยิ้มตอบเมินๆว่า

“ถ้าอยากเล่าก็เล่าไปสิคะ”

“จริงๆแล้ว ตั้งแต่นาธีราพูดให้เออร์แปงคิดได้และมองโลกต่างไป พวกเขาก็คุยกันมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งคุยกันได้ทุกเรื่อง เออร์แปงซื้อของเล็กของน้อยมากำนัลนาธีราไม่ขาด กระทั่งรู้กันว่ารัก และจะมีอนาคตด้วยกัน ไม่ได้อมพะนำอำพรางอะไร”

หญิงสาวรับฟังเงียบๆ นัยน์ตามีแววนิ่งเยี่ยงผู้เห็นภาพในใจคมชัด ซึ่งเห็นเท่านั้น ชายหนุ่มก็ทราบเลยว่าเธอกำลังระลึกตาม

“วันหนึ่ง หลังจากรู้ว่ากำลังจะรวย เออร์แปงก็เรียกนาธีราขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสอง พอนาธีราไปถึง เขาก็ยกขาขึ้นนั่งคร่อมหน้าต่าง และหันมาบอกว่า ถ้าเธอไม่ยอมแต่งงานกับฉัน ฉันจะโดดลงไปตายเดี๋ยวนี้!”

แพตรีหัวเราะเสียงใสเหมือนระฆังเงิน หลุดโฟกัสทางใจ หันกลับมาหรี่ตามองเขานิ่งด้วยประกายคมปลาบ

“มุกเยอะมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเลยนะคะ”

“ทายซิ นาธีราตอบว่าไง”

สาวผู้เป็นอนาคตชาติของนาธีราสั่นศีรษะน้อยๆ

“เฉลยเถอะค่ะ บอกแล้วว่าไม่เก่งเท่า เล่าเลย เลิกขยักให้ต้องทวงได้ไหม?”

เกาทัณฑ์หัวเราะหึหึ

“นักเล่าเรื่องที่ดีก็ต้องมีชั้นเชิง รู้จักเว้นระยะให้คนฟังอยากรู้ตอนต่อไปบ้างสิ”

แพตรีพยักพเยิดยิ้มเย็น

“มุกถัดไปคือจะพูดว่า ต้องกลับมานั่งตักต่อ ถึงจะยอมเล่าใช่ไหมล่ะ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าหัวเราะเสียงดังเยี่ยงคนไม่กลัวถูกจับได้ว่าคิดอะไร ครู่หนึ่งจึงเงียบเสียง ก้มกลับมาสานตาอย่างอ่อนโยน

“เราสองคนน่าจะมีความสุขกันมากนะ ไม่ต้องพูดสักคำก็รู้ใจกันเองไปตลอดชีวิต”

แต่ละคำที่เหมือนรวบหัวรวบหางต้อนเข้ามุมนั้น ทำให้แพตรีรู้สึกว่าตนตกอยู่ในสถานะคนรักของเขาไปแล้ว

เบนหน้ามองไปอีกทาง ตาลอยวูบหนึ่งด้วยความอนาถใจ ความปรารถนาที่จะหลุดพ้นของแม่ชีเหลียนซิ่น ทำท่าจะไปไม่ถึงไหนเสียแล้วกระมัง?

เกาทัณฑ์ทราบวาระจิตนั้นของเธอชัด จึงรีบเล่าต่อด้วยสุ้มเสียงเร้าใจ ไม่ทำเป็นกั๊กแล้ว

“พอเห็นเออร์แปงเล่นมุกขู่ฆ่าตัวตาย นาธีราก็มองเขาที่กำลังขี่หน้าต่าง แล้วบอกยิ้มๆว่า… ท่านของดิฉัน ชั้นสองนี้มันไม่ได้สูงนัก”

แพตรีปล่อยหัวเราะออกมาอย่างถูกใจคำตอบของตนในอดีต ก่อนถามด้วยแววตารื่นรมย์ว่า

“นาธีราตอบแค่นั้นเหรอคะ?”

“มีต่อ! พอตอบเสร็จ เธอก็เดินเข้ามาสวมกอดเออร์แปง และบอกเขาว่า ขอบคุณที่เห็นค่ากัน ดิฉันจะขอจดจำนาทีนี้ไปจนถึงชาติหน้า!”

รอยยิ้มในใบหน้าแพตรีเหือดหาย ด้วยความสลดวูบ ใจหายไปถึงไหนต่อไหน คำมั่นสัญญาช่างไร้ความหมาย ในเมื่อชาตินี้เธอลืมสิ้น

ปิดตาปลง ก่อนเปิดขึ้นถามเขาเสียงปกติ

“นาธีราพูดเรื่องชาติหน้าเหรอคะ? ไม่ขัดกับโองการของศาสนาประจำจักรวรรดิ ที่ห้ามไม่ให้เชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่หรือ?”

หญิงสาวถามจากความรู้ตามตำราประวัติศาสตร์

“ชนชั้นแรงงานแทบไม่รู้เรื่องศาสนานะ ส่วนใหญ่ไม่เคยไปโบสถ์  แล้วก็ยังเชื่อว่ามีชาติหน้ากันอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะพวกยิปซีในยุคนั้น”

“เสียดายนะคะ” เธอเอ่ยอย่างรู้ว่าชาติก่อนไม่ได้จบที่ความสุขแบบแก่ชราไปด้วยกัน “เครื่องบำบัดของเออร์แปงควรได้เป็นต้นแบบของเครื่องฟอกอากาศ ถ้าไม่ใช่เพราะสงคราม”

“จำเรื่องสงครามได้หรือ?”

“อันนี้จำได้ค่ะ สงครามเป็นความเศร้าโศกที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของนาธีรา มันเกิดขึ้นก่อนผลงานของเออร์แปงจะเป็นที่รู้จักออกไปกว้างๆ”

“อือ… เออร์แปงไม่มีดวงดังในวงกว้าง สมัยนั้นกว่านวัตกรรมเล็กๆจะเดินทางข้ามเมือง หรือเป็นที่รู้จักข้ามประเทศ ก็กินเวลาเป็นสิบๆปี แถมจังหวะที่เออร์แปงตั้งโรงงานได้เพียง ๓ ปี ใน ค.ศ. ๑๘๗๘ จักรวรรดิก็ส่งทหารไปรุกรานบอสเนีย บรรดาโรงงานในจักรวรรดิที่ถูกพิจารณาว่า ‘ผลิตสิ่งเกินจำเป็น’ ล้วนโดนแปรรูปเป็นโรงผลิตอาวุธกันเรียบ”

“แพจำได้แม่นค่ะ ภาพที่เจ้าหน้าที่ทหารของจักรวรรดิมาถึงโรงงานเพื่อเอาตัวเออร์แปงไป”

“ใช่! พวกเขาเอาเออร์แปงไปช่วยงานช่าง แห่มากันพร้อมจดหมายคำสั่ง อ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งแผ่นดิน ต้องให้คนมีความรู้ความสามารถที่เหมาะสม ตอนนั้นถึงแม้มีเงิน มีเส้นสาย ก็ขัดราชการไม่ได้”

“จากนั้นเออร์แปงก็หายไปจากชีวิตของนาธีราตลอดกาล” เธอยิ้มรันทด แล้วกลับไปสวมร่างนาธีราที่อยากรู้ข่าวคราวของสามี โดยที่ชาตินั้นไม่เคยได้รู้ไปจนตาย “เกิดอะไรขึ้นกับเออร์แปงหลังจากนั้นคะ? นับจากวันที่ทหารพาตัวไป ก็ไม่มีข่าวอีกเลย”

“ที่ไม่ได้ข่าว เพราะเออร์แปงถูกส่งไปแนวรบห่างไกล โอกาสติดต่อสื่อสารจึงต่ำมาก แล้วที่สำคัญ เขามีชีวิตอยู่ไม่นานนัก”

“เดาในแง่ร้ายไว้แบบนั้นเหมือนกันค่ะ…”

“เขาเริ่มต้นแค่ในฐานะช่างเทคนิคภาคสนาม เพราะมีทักษะเรื่องควบคุมไอร้อนกับระบบถ่ายเทอากาศในพื้นที่ปิด แต่พอคนในกองบัญชาการเห็นว่ามีหัวคิดดี ก็เริ่มบีบให้เอาความรู้ไปดัดแปลงใช้กับห้องเก็บวัตถุระเบิด ห้องเก็บก๊าซพิษ แล้วสุดท้ายถึงขั้นถูกใช้ในแผนการพัฒนาอาวุธใหม่ที่เน้นการจู่โจมโดยไม่ให้ศัตรูรู้ตัว”

“เออร์แปงคงไม่ยอมแน่ๆใช่ไหม?”

“อือ! ชาตินั้นพอมีผลงานผลิตเครื่องช่วยชีวิต อยู่ๆให้ไปผลิตเครื่องทำลายชีวิต ความรู้สึกมันจะกระอักเลือด เลยขอยอมตายแม้โดนขู่ว่าถ้าไม่ทำจะถูกยิง”

“แล้ว?”

“ทหารก็ลากไปยิงกลางลานตามที่ขู่นั่นแหละ อยู่แนวหน้าถ้าไม่ทำตามที่ขู่ให้เห็นทั่วๆ ก็ควบคุมคนไม่ได้” ตอบเรียบๆเช่นเดียวกับเล่าเรื่องของคนอื่น “ตอนโดนยิงเป้า เออร์แปงนึกถึงที่พ่อครูรูดอล์ฟสอนก่อนไปแนวหน้าว่า เราไม่ได้ถูกเกณฑ์ให้เอามือไปเผาศัตรู แล้วหัวใจตัวเองก็จะไม่ถูกมือใครเผา ตราบเท่าที่ปากยังเอ่ยคำสวดให้ทุกคนเป็นสุขได้”

“ดีจัง…”

“เออร์แปงพึมพำกับตัวเองตอนจะตายว่า ขอให้นาธีราจงพบกับความสุขสงบตลอดชีวิตที่เหลือ… จากนั้นเขาก็กล้าคิด กล้าขอให้คนที่ฆ่าเขา จงประสบกับความสุขสงบตลอดชีวิตที่เหลือ เช่นเดียวกับนาธีราด้วย”

“ใจใหญ่มาก!”

“ใช่! จิตที่ให้อภัยไม่มีประมาณ ก็เหมือนกันกับจิตที่แผ่เป็นเมตตาไม่มีประมาณ เมื่อกลายเป็นวิถิีจิตสุดท้ายของชีวิต ก็หนักแน่นและแน่วไปสู่ความเป็นอัปปมัญญา”

“คู่ควรกับการไปเป็นสหายแห่งพรหม!” แพตรีเอ่ยตามที่เห็นในห้วงมโนทวารพลางขนลุก “ที่รู้สึกคือพี่เต้ตายจากความเป็นมนุษย์ไปสู่พรหมภูมิมาหลายครั้งแล้วใช่ไหม?”

“เท่าที่พี่ระลึกได้ คือเป็นมนุษย์ ๑๑ ชาติ ๑๑ ชื่อ แต่กลับไปสู่ความเป็นพรหมชื่อเดียวกันมาตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มชาติของความเป็นพรหมมาตั้งแต่เมื่อไร”

“อนุโมทนาสาธุการนะคะ”

แพตรีพนมมือจดหน้าผากอย่างอ่อนโยน

“แล้วนาธีราล่ะ?” เกาทัณฑ์ถามบ้าง “หลังเออร์แปงจากไป ชีวิตเธอเป็นยังไงต่อ?”

“พอจักรวรรดิไปรุกรานบอสเนีย ก็เกิดการชุมนุม เกิดจลาจลจากกลุ่มต่อต้านจักรวรรดิเป็นระยะๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นาธีราเดินไปจ่ายตลาดอยู่ดีๆ ก็โดนลูกหลงจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นกะทันหัน ตายแบบไม่นึกไม่ฝันว่าวันนั้นจะถึงตาตัวเอง”

“สงครามมีแต่เรื่องน่าเศร้าจริงๆ”

“พอตายเศร้าๆ เลยไปเกิดแบบเศร้าๆในจีน”

แพตรีพูดด้วยความความรู้สึกสงสารตัวเอง และนั่นเป็นวาระที่เกาทัณฑ์เริ่มเข้าใจเธอ เหมือนเข้าไปนั่งที่กลางหัวใจ 

อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคนคนหนึ่งระลึกได้ว่า ชีวิตก่อนต้องหนีโลกไปบวชตั้งแต่วัยรุ่นเพราะอกหักรักคุด เป็นชาติที่ได้ชื่อว่าเข็ดกับความรักไปจนตาย?

การระลึกชาติแบบแพตรี จึงเป็นไปเพื่อได้ข้อสรุปว่า เกิดมาต้องเผชิญกับสารพัดทุกข์ แต่มหันตทุกข์ที่แท้คือตายแล้วไม่จบ ต้องเกิดอีก

และอีก...

“ตัวตนของเรา เกิดจากผลรวมของชาติก่อนๆ ชาติละนิดชาติละหน่อยจริงๆแหละ ด้วยคำอธิษฐานของแม่ชีเหลียนซิ่น แพถึงได้ ‘ชะตาหลัก’ มารับการอุปการะจากปู่ และด้วยความผูกพันระหว่างนาธีรากับเออร์แปง แพจึงได้ ‘ชะตารอง’ มาพบรักแท้ร่วมกับพี่อีก”

“รักแท้เลยเหรอคะ?” เธอหัวเราะขื่นๆด้วยหลากอารมณ์ปนกัน “ทำไมแพรู้สึกเหมือนคนเคยตื่นอยู่ดีๆ ตอนนี้โดนสะกดจิตล้างสมองให้กลับไปฝันสะลึมสะลือต่ออีกแล้ว”

เกาทัณฑ์ถอนใจ เป็นนาทีที่เห็นความต่างระหว่างทางไปนิพพานของตัวเองกับแพตรีชัดเจน

การระลึกชาติมีได้หลายแบบ แบบของเธอเป็นไปเพื่อหมดสนุกกับการเกิดตายแล้วจริงๆ ในขณะที่แบบของเขา ความสนุกยังไม่จบ

เมื่อทราบชัดว่าอัตตาของตนฝังอยู่กับมหาเจตจำนงไปสู่ความเป็นพุทธภูมิอันยิ่งใหญ่ ก็ไม่ยี่หระกับความทุกข์ยากในโลก คล้ายลงมาสนุกกับความเก่งกล้าสามารถ แต้มแต่งสีสันต่างๆนานาไว้บนโลก ท่องเที่ยวสร้างบุญสร้างบารมีไปเรื่อยๆไม่เบื่อหน่าย

แต่สำหรับเธอ เมื่อไม่มีจุดหมายใหญ่ในสังสารวัฏ เป็นหนึ่งในสังสารสัตว์ที่ท่องเที่ยวเกิดตายไปเรื่อยๆแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แล้วมีชาติหนึ่ง ตื่นขึ้นพบความจริงว่า กำลังถูกหลอกให้เป็นทุกข์ฟรีๆอยู่ ก็ย่อมเกิดความเหนื่อย เข็ดหลาบ และไม่อยากไปต่อเป็นธรรมดา

เห็นใจเธอ แต่ก็เห็นแก่ตัวมากกว่า!

“นาทีที่เออร์แปงขอแต่งงาน แล้วนาธีราบอกว่าจะจำนาทีนั้นไปจนถึงชาติหน้า เออร์แปงเกิดความรู้สึกชัดแจ้งมากๆว่า นั่นคือคำอธิษฐานที่ศักดิ์สิทธิ์…”

แพตรีพูดแทรกเสียก่อนที่เขาทันได้จบประโยค

“ตอนยังไม่รู้อะไร ก็อธิษฐานโง่ๆกันทุกคนแหละค่ะ!”

เกาทัณฑ์สะอึก ถึงกับไปต่อไม่ถูก เพราะกำลังจะบอกว่า ห้วงเวลาที่นาธีราอธิษฐานจดจำกันไปถึงชาติหน้า เป็นโมงยามที่พลอยเปลี่ยนใจเขา จากเดิมไม่เคยคิดไม่เคยสน มาเป็นปักใจเชื่อแน่วแน่ ปรารถนาที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาธีราไปทุกภพทุกชาติ

เจอกันใหม่ แม้ลืมเรื่องเก่า แต่จะไม่ลืมความรู้สึกที่เคยมีให้กัน...

“แพนี่… บางทีพูดจาแบบคนใจร้ายได้เหมือนกันนะ”

หญิงสาวเล็งแลสายตาสานสบกับเขา ด้วยตัวตนที่ลึกกว่าความเป็นแพตรี

“ตอนเป็นนาธีรา รับใช้พี่อยู่หลายปี พี่แทบไม่เคยมองหน้าเลยด้วยซ้ำ ถ้าชาติหน้าแพไม่สวยอีก พี่ว่าพอเราเจอกันจะเป็นยังไง?”

เกาทัณฑ์สะอึกอ้ำอึ้ง แต่แล้วก็คิดหาทางลงเจอ

“นักประดิษฐ์สมัยนั้นมันบ้าๆ แพก็รู้ เออร์แปงไม่มองคนทั้งโลกแหละ ไม่ใช่เฉพาะนาธีรานะ เพราะในหัวมีแต่ความหมกมุ่นผลิตผลงาน…”

“แพไม่ได้ว่าอะไร ไม่ต้องแก้ตัวย้อนหลังหรอก แค่รำพึงน่ะค่ะ รู้ว่าเกมกรรมเป็นอย่างนี้แหละ อย่างเช่นกว่าจะสวยให้พี่กระตือรือร้นผิดปกติได้ ก็ต้องเป็นแม่ชีดีๆกันชาติหนึ่ง”

“มันก็…”

“มันก็แน่นอนเลยค่ะ พี่ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ถ้าชาตินี้พลาดทำกรรมเศร้าหมอง ชาติหน้าก็ต้องไปมีหน้าตาเศร้าหมองกันใหม่ พอเจอกันใหม่พี่ก็ไม่มองอีก”

“เส้นทางผูกพันระหว่างเรา ถ้าไม่เริ่มด้วยหน้าสวยๆต้องตาต้องใจ ในที่สุดก็ต้องจุดชนวนด้วยความงดงามทางปัญญาแบบแพ แบบนาธีราอยู่ดี พี่เชื่อเช่นนั้น... พี่อยากดูแลปกป้องแพ!”

แพตรีเหลือบตาลงต่ำ หัวเราะเบาๆเหมือนจงใจเยาะให้รู้ว่าเธอไม่เชื่อ

“อนาคตจะไปรู้ได้ยังไง” แล้วเธอก็ชี้ว่า “ชาติของเหลียนซิ่น พี่ก็ตามไปปกป้องไม่ได้ เป็นชาติที่ว่างเปล่าจากกันและกัน แล้วจะคาดหวังหรืออธิษฐานยังไงให้อุ่นใจว่าจะเจอกัน ดูแลกันไปเรื่อยๆคะ?”

“ธรรมชาติเตรียมอะไรที่เหมาะสมไว้ให้เราเสมอ จังหวะการได้พบ จังหวะที่ต้องพราก เป็นส่วนหนึ่งของการอยู่ด้วยกันในสังสารวัฏ”

“พี่เพิ่งระลึกได้ ๑๑ ชาติ ยังไปไม่ถึงชาติที่พลาดไปเป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรกเลยใช่ไหม?”

“ยัง…”

เขายอมรับ และทราบล่วงหน้าว่าเธอจะพูดอะไร

“แพไปถึงตรงนั้นมาแล้ว! บอกเลยค่ะว่า ทำให้มองตัวเองและคนอื่นต่างไป แบบไม่มีวันเปลี่ยนกลับไปเห็นเหมือนเดิมได้อีกเลย การพากันเดินทางไกลไปบนเส้นทางเกิดตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทุกคนต้องพลาด พี่จะคุ้มครองยังไง ให้แพพ้นจากกรรมร้ายของแพเองได้?”

“อือ…”

ชายหนุ่มครางรับ ไม่ทราบจะพูดอย่างไรให้เข้าท่า

วูบหนึ่งเขารู้สึกคล้ายคนบ้าพลังที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากพิชิตยอดเขา พยายามกระชากลากถูบุคคลที่ตนอ้างว่ารักแสนรักให้ปีนป่ายตามกันมา โดยไม่สนว่าเธอเต็มใจยอมเหนื่อยไปกับเขาไหม

“เอางี้!” โพล่งขึ้นมาอย่างนึกได้ และตัดสินใจเป็นเด็ดเป็นขาด “แพไม่ต้องเดินทางยาวกับพี่ก็ได้ แต่ขอให้ชาตินี้พี่ได้ดูแลแพเป็นครั้งสุดท้าย!”

“ดูแลยังไง? ครั้งสุดท้ายแบบไหนเหรอ?”

“เราก็… แต่งงานกันแบบที่เขาทำๆกัน ถ้าแพไม่อยากมีลูกให้เป็นห่วงก็ไม่ต้องมี เราใช้ชีวิตคู่ผัวตัวเมียอย่างมีความสุขไปสักพัก แล้วถึงจุดหนึ่งที่แพอยากหยุด อยากวางชีวิตคู่ พี่สัญญาว่าจะไม่ขวาง จะครองพรหมจรรย์ร่วมด้วย โดยเป็นฝ่ายเลี้ยงดู ไม่ให้แพต้องทำอะไรนอกจากบำเพ็ญเพียรไปจนสุดทาง”

“ใครอยากให้เลี้ยง? ชาตินี้แพมีงานดีๆทำนะ ไม่ได้เร่ร่อนเหมือนตอนเป็นยิปซีเสียหน่อย”

“มีใครสักคนเป็นเพื่อนก็ดีไม่ใช่เหรอ ปู่ก็อายุมากแล้ว ท่านจะได้ไม่ติดห่วงคาใจเมื่อเห็นแพเป็นฝั่งเป็นฝา”

“ปู่ไม่ห่วงแพหรอกค่ะ ท่านรู้ว่าแพอยู่คนเดียวได้”

หากเป็นคนอื่นคงจนแต้ม แต่ไม่ใช่เขา เกาทัณฑ์ยิ้มและตัดสินใจหงายไพ่สำคัญด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล

“วันแรกที่เราเจอกัน พี่ย่องมาข้างหลัง แพหันมามองได้ทั้งยังห่าง เพราะมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวจนไวสัมผัสตลอด แต่วันนี้... พี่เข้ามาชิดแค่เอื้อม แพยังไม่รู้สึก เพราะมัวเหม่อลอยคิดถึงใครอยู่ใช่ไหม?”

หญิงสาวคอแข็ง ทำเสียงแข็งผิดปกติแบบกลัวถูกจับได้

“อะไร… คิดถึงใคร?”

“คิดถึงพี่ไง!” เขาเฉลยเต็มปากเต็มคำ “และไม่ใช่เพิ่งคิด แต่คิดอยู่เรื่อยๆมาทั้งวันด้วย!”

แพตรีหน้าชา แล้วแปรเป็นแดงเรื่อ หันมองไปทางอื่นที่ไม่มีเขา เกาทัณฑ์เอียงคอมองอยู่เป็นพัก ก่อนพยักหน้าให้คำรับรอง

“เชื่อแล้วล่ะ! เวลาแพเขินไม่อยากพูด จะเงียบ ไม่ทำเป็นไก๋จริงๆด้วย!”

“ล้อเลียนให้มันได้อะไรเหรอคะ อยากให้อายม้วนให้ดูใช่ไหม?”

“อยากดูนิดหน่อยเอง…” เขาลากเสียงรับขำๆ ก่อนจริงจังขึ้นเล็กน้อย “พี่แค่ไม่อยากให้เราเสียเวลาเปล่า อยากใช้ทุกนาทีที่มีโอกาสพบกันให้คุ้ม เพราะชาติต่อๆไป แพอาจไม่อยู่ให้เจออีกแล้ว…”

หญิงสาวใจอ่อนยวบ เสียงอ่อยลง

“แล้วจะไม่ใช้เวลาทำความรู้จักให้ดีเสียก่อนหรือ? ชาตินี้นี่เราเป็นคนแปลกหน้ากันแท้ๆเลย”

“เรียกว่าแปลกหน้า ถ้าจำไม่ได้ทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระลึกได้คนเดียว… แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายรู้ตื้นลึกหนาบางดีด้วยกันทั้งคู่ การใช้เวลาคบหาดูใจแบบคนธรรมดา คงจี้หัวใจเราทุกวันให้ถามตัวเองว่า จะแสดงละครบท ‘คนแปลกหน้า’ ไปถึงไหน เพื่ออะไร?”

แพตรีกอดอก ยืดตัวตรง มองหน้าเขาด้วยสายตาอ่านยากอยู่นาน ก่อนยักคิ้วถามเหมือนลองใจ

“นอกจากไม่มีลูก ไม่ต้องมีอะไรกันเลยได้ไหม?”

เกาทัณฑ์หัวเราะไม่ออก ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“แพ…”

“พี่อาจคิดว่าตัวเองเก่ง เดี๋ยวแพก็ติดใจ ขอบอกล่วงหน้าเลย ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ค่ะ! ในระยะยาวแพจะทำให้พี่เป็นทุกข์เปล่าๆ ถ้าเราไม่พอดีกันเรื่องพวกนี้”

“สมาธิของพี่ก็ไม่ใช่กระจอกๆนา ชาติก่อนไม่มีครอบครัว ครึ่งชีวิตแรกทุ่มกับงานสุดตัว ครึ่งชีวิตหลังหลังเอาดีทางภาวนาพอๆกับพระ แพไม่ต้องห่วง ถ้าพี่ทำให้แพเป็นสุขทางโลกไม่ได้ ก็จะตามไปเป็นสุขทางธรรมกับแพแล้วกัน”

“ตกลงค่ะ!” เธอพูดเสียงเรื่อยๆ “ชาตินี้แพจะเป็นของพี่อีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขทั้งหมดที่พี่ว่ามา!”