วีไอพีเลานจ์หรูแห่งนั้น อยู่บนชั้น ๑๒ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของอาคาร เมื่อใดผู้บริหารของศานติธานหิวหรืออยากพักผ่อน ก็เดินออกจากห้องทำงานไม่กี่ก้าวมาใช้บริการได้ตลอดเวลา
ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยง เรือนแก้วเพิ่งกลับจากการตระเวนคุยกับคนไข้ระยะสุดท้าย เพื่อประชาสัมพันธ์ชักชวนเข้าร่วมโครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ เมื่อออกจากลิฟต์ เธอก็ตรงดิ่งมาเข้าเลานจ์ทันที เนื่องจากรู้สึกหนักหัวจากการถูกคนไข้พูดไม่ดีใส่
เรือนแก้วสืบไว้ดิบดีให้แน่ใจทุกครั้งว่า คนไข้จะต้องเป็นชาวพุทธ แต่คราวนี้ดันเจอพุทธเปลี่ยนใจ — คุณตาแสงโทน — ที่ลูกหลานกรอกข้อมูลให้ว่าเป็นพุทธ แต่เจ้าตัวหันไปนับถือศาสนาเวอเรี่ยนมาพักหนึ่งแล้ว
เธอเคยได้ยินอยู่ห่างๆว่า คนที่ลุ่มหลงศาสนานี้ ต่างประพฤติตนแบบอันธพาล ในนามของผู้ตื่นจากการหลับใหล และภายใต้ข้ออ้างว่าอยากปลุกผู้อื่นให้ตื่นตาม สาวกของเวอเรี่ยนมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะถากถางทุกศาสนาบนโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคำสอนที่ไม่อาจพิสูจน์ด้วยหูตา เช่น การเวียนว่ายตายเกิด หรือการไปพบกับพระเจ้าหลังสิ้นชีิวิต
เรือนแก้วเคยฟังมาว่า พระแม่เจ้าเวอเรี่ยนไม่ได้สอนให้รุกรานใคร พระนางเน้นสร้างจิตสำนึกบูชาโลก ซาบซึ้งบุญคุณที่โลกให้กำเนิดชีวิต จึงควรมีความกตัญญูกตเวทีเช่นเดียวกับที่ลูกพึงปฏิบัติต่อมารดา
แต่เมื่อองค์ศาสดาผู้มีนามว่า ‘เวอเรี่ยน’ จากไป พลังการตลาด ซึ่งหมายถึงอำนาจการปกครองใหม่ ก็เข้ามาบิดเบือนคำสอนดั้งเดิมไปมาก เพราะผู้บริหารรุ่นหลังเห็นช่องที่จะครองศรัทธาผู้คนทั้งโลก ที่กำลังดื่มด่ำกับวิทยาการล้ำๆ และเห็นนักวิทยาศาสตร์เป็นศาสดาใหม่ บอกอะไรเชื่อหมด
สาวกชั้นหลังๆเยี่ยงตาแสงโทน ยากที่จะล่วงรู้ว่าพระแม่เจ้าเวอเรี่ยนสอนอะไรกันแน่ เนื่องจากสาวกรุ่นแรกๆที่ ‘ตาสว่างจากคำสอน’ จากพระโอษฐ์ขององค์เวอเรี่ยน มีเพียงหลักแสน ขณะที่สาวกรุ่นใหม่ที่ ‘ปิดหูปิดตารับคำบงการ’ จากกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ มีจำนวนมากกว่าเป็นร้อยล้าน
กลุ่มเวอเรี่ยนเลือดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับประเทศหรือระดับโลก รวมหัวพูดตรงกันว่า ภัยร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ คือความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะก่อให้เกิดการแบ่งแยกโดยไม่ต้องมีเหตุผล เข้าขั้นอยากก่อสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สมควรที่จะช่วยๆกันเปลี่ยนความเชื่อคนรอบตัวให้ทันสมัยเสียใหม่ให้ฉลาดตรงกันทั้งโลก
ได้ยินมานาน แต่คราวนี้เรือนแก้วเจอกับตัวเอง แม้เธอจะออกตัวเหมือนทุกครั้งว่า นี่เป็นแค่การมาซาวเสียง เพื่อดูความเป็นไปได้จริงว่า โครงการ ‘ขอเลือกเกิด’ จะมีขึ้นมาได้ไหม แต่ทันทีที่ตาแสงโทนทราบว่า จะถูกชักชวนให้เข้าโครงการ ก็ของขึ้น โวยวายชี้หน้า ราวกับเธอเป็นแม่มดร้าย
ฉันกำลังจะได้พักผ่อนอยู่ในหลุมศพสบายๆ หลังจากเหนื่อยมาทั้งชีวิต นี่อะไร จะแช่งให้ไปเหนื่อยต่อรึ?
เธอยังเชื่ออะไรโง่ๆ ตามคนโบราณความรู้ต่ำๆอยู่สินะ เครื่องมือวิทยาศาสตร์เต็มสถานอภิบาลนี่ เอาไว้บังหน้าตั่งบูชากะโหลกผีในห้องลับใช่ไหม?
ไม่เอาล่ะ! เดี๋ยวขอย้ายไปอยู่ที่อื่นเลยแล้วกัน!
เมื่อความเชื่อแบบหัวรุนแรง มาบวกกับความเปล่าเปลี่ยวไร้ลูกหลาน อารมณ์จึงปะทุลุกลามบานปลาย ยิ่งพูดยิ่งโวยวายร้ายกาจ กระทั่งเหิมเกริมด่ากราดไปถึงพระศาสดา
ยังดีตาแสงโทนอ้างถึงเวอเรี่ยนขึ้นมา บอกให้รู้จักฟังทางนั้นเสียบ้าง หูตาจะได้สว่าง ออกจากถ้ำมืดเสียที เมื่อนั้น เรือนแก้วจึงสบโอกาส ได้ช่องขอความรู้ ขอฟังคำสอน ซึ่งก็ทำให้เขามีโอกาสขยายภูมิ ได้รู้สึกว่ามีตัวตน ได้สั่งสอนเด็กรุ่นใหม่
จากพ่อเฒ่าอารมณ์ร้าย กลายเป็นพ่อครูอารมณ์ดีไปในพริบตา แกว่า เริ่มขึ้นมาง่ายๆ ให้หัดสื่อสารกับโลก อาจด้วยการโอบกอด หรือพูดคุยระบายความในใจออกมากับต้นไม้ใบหญ้า จนกว่าจะรู้สึกถึงวิธีตอบโต้ของธรรมชาติ ที่ให้แต่แบบอย่างความอ่อนโยนและร่มเย็นกลับมาเสมอ
ชายชราสาธยายว่า จากประสบการณ์ขั้นสูงที่ได้ฝึกจิตให้หลอมรวมกับพระแม่ธรณี ในที่สุดจะเกิดสมาธิแบบหนึ่ง กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวไปกับทุกสิ่งรอบตัว อยากทำอะไรดีๆให้โลก คิดดีพูดดีกับผู้คน โดยไม่ต้องไปคาดหวังรางวัลหรือบทลงโทษอะไรที่ชาติหน้า
แกสรุปว่า เมื่อจิตใจดี คลื่นสมองดี พลังควอนตัมรอบตัวจะดีตาม แล้วตัวเราเองจะเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นเดี๋ยวนี้อยู่แล้ว แกเห็นผลอย่างชัดเจนว่า ผู้คนและอะไรๆรอบตัวดีขึ้นตามจิตตามใจของแก ที่มีแต่คลื่นบวกผลิตให้โลกทุกวัน
เรือนแก้วปล่อยให้พูดจนเจ้าตัวง่วงเอง สุดท้ายเลยค่อยๆสงบและหลับไปเสียได้
พอหลุดออกมาจากห้องผู้ป่วยได้ ก็ตรงมาเข้าเลานจ์ด้วยความอยากพักใจจากขยะทางอารมณ์ ช่างเป็นประสบการณ์ทางศาสนาที่แปลกประหลาด เทียบได้กับการพบไม้มีพิษที่ต้นและใบดูคล้ายยา ใจดีมีเมตตาแบบเร้นอารมณ์เห็นแก่ตัวทางความเชื่อที่น่ารังเกียจยิ่ง
เสียงติดหูที่จิกกัดแรงยังคงตามหลอนไปทุกฝีก้าว จนเธอรู้สึกขย้อนท้องคลื่นไส้ เพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้ว่า งานของเธอคือการเข้าไปเล่นกับความเชื่อของมนุษย์อย่างถึงพริกถึงขิงขนาดไหน
เมื่อมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ หญิงสาวถึงขั้นต้องย้อนถามตัวเองว่า นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่?
เธอเองยังจัดเป็นพวกอ่อนแอทางความเชื่ออยู่เลย แค่ระลึกได้ว่าเป็นนางฟ้าแวบเดียว ไม่ช่วยให้อยากแอ่นอกรับหอกรับดาบในฐานะตัวแทนศาสนาใดๆได้หรอกกระมัง
เรือนแก้วไม่แม้แต่จะเหลียวมองเคาน์เตอร์อาหารแบบบุฟเฟต์ที่จัดเรียงอย่างงดงามตามแบบฉบับโรงแรมห้าดาว เธอเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มอัตโนมัติ กดสั่งน้ำแอปเปิลสกัดเย็นแล้วหยิบขึ้นจิบ เหมือนอยากได้อะไรเย็นๆไหลผ่านลำคอ ลดความปั่นป่วนท้องไส้เสียหน่อยเท่านั้น
ดีกรีความวุ่นวายในหัวลดลง และในความผ่อนคลายลงระดับหนึ่ง จึงได้คิดว่า โลกนี้กว้างใหญ่นัก โลกนี้มีเหลี่ยมมีมุมมากนัก เกินกว่าจะให้ทุกคนมองเหลี่ยมเดียวกัน แล้วยอมเชื่อแบบเดียวกันได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใจก็เบาลง
เลานจ์ยังโล่งไร้ผู้คน ราวกับเปิดไว้ให้เธอมายืนฟังเสียงในใจของตนเองตามลำพัง แต่เธอก็ไม่ค่อยชอบเสียงในหัวของตัวเองตอนนี้นัก
แกรนด์เปียโนสีดำมันวาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมมุมหนึ่งของห้อง คล้ายเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับสถานที่มากกว่าอย่างอื่น แต่ในเวลานั้น เรือนแก้วนึกอยากเดินเข้าไปหามัน เพื่อแปรอารมณ์เหนื่อยอ่อนให้กลายเป็นอารมณ์อ่อนโยน ล้างความวุ่นวายในหัวออกให้หมด
หย่อนร่างลงบนม้านั่งเปียโน แสงนวลจากโคมไฟคริสตัลฉายส่องลงมาบางๆ ทำให้ใบหน้าของเธอดูราวกับงานศิลปะ แววตาครุ่นคิดสับสนแปรไป กลายเป็นแสงดาวในค่ำคืนที่เงียบเชียบลึกลับ ปลายนิ้วพรมลงบนแป้นคีย์อย่างนุ่มนวล เป็นท่วงทำนอง Gymnopédie No.1 ของอีริค แซตี้ ที่เธอเล่นได้ขึ้นใจตั้งแต่เด็ก
เสียงอ้อยอิ่งที่เปี่ยมพลังสงบกระจายไปทั่วทุกอณูของห้อง ราวกับน้ำทีละหยดตกสู่บ่อนิ่ง กระเพื่อมเป็นวงกว้างอย่างอ่อนโยน บรรยากาศในเลานจ์กลายเป็นห้วงฝันละมุน ค่อยๆชโลมใจคนเล่นเองให้กลับเข้าสู่สันติอีกครั้ง
ขณะนั้นเอง เกาทัณฑ์กับเชิงไทเดินมาตามทางจากห้องประชุมมาสู่เลานจ์ด้วยกัน เกาทัณฑ์อยู่ในชุดเบลเซอร์สีเทาเข้มไม่ผูกไท แขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อยแบบคนคุ้นเคยกับการลงมือทำมากกว่านั่งบัญชา ส่วนเชิงไทอยู่ในเสื้อเชิ้ตลินินสีครีมแขนยาวพับข้อศอก บอกยี่ห้อพร้อมคิดพร้อมลุยได้ทุกท่า
“งบเก่ามันมั่วมาก รั่วมาก เจ้าของเดิมอย่างตระกูลลางดีไพศาลคงไม่รู้ตัวว่าต้องจ่ายแพงขึ้นเท่าไร กับการจ้างทีมที่ทั้งห่วย ทั้งขี้โกงไว้”
เชิงไทบ่นพึม
“มึงเจอเยอะสิท่า?”
“เอาง่ายๆ ที่เมื่อกี๊ทีมจัดซื้อมีหน้าบอกว่าซื้อยาได้คุ้มสุด แต่กูสืบมาแล้ว มีนอกมีในชัวร์ และมีอย่างน่าเกลียดด้วย ยาบางตัวแพงเป็นสองเท่ามันก็เอา ยาบางชนิดมีตัวเลือกแบบใหม่ล้ำๆ มันก็เลือกแบบให้ต้องจ่ายค่าห้องเย็นเพิ่ม อันนี้กูแค่สุ่มตรวจนะ สำรวจทั้งหมดไม่ไหว แต่ได้ข้อสรุปคือทีมนี้ ถ้าไม่โง่มาแต่แรก ก็โกงมานานแล้ว”
“จีเนติกโอ๊ธถึงต้องมีคนแบบมึงไว้จับผิดไอ้พวกนี้ไง” เกาทัณฑ์ยิ้มชื่นชม “แต่ให้มึงล้างบางคนเดียวไม่ได้ เดี๋ยวถูกยิงตาย เอาแค่ทยอยส่งข้อมูลให้เฮดควอเตอร์พิจารณาแล้วกัน”
พอเกาทัณฑ์ก้าวเหยียบผ่านเซนเซอร์หน้าประตูเลานจ์ บานกระจกใสก็เลื่อนเปิดอ้า เผยเสียงเปียโนจากภายในออกมาทันที ราวแหวกม่านกั้นเข้าถึงอีกโลกที่กำลังกระจายมนต์ขลัง
ท่วงทำนองที่เรียงตัวละเมียด ไม่รีบร้อน แต่กลับสะกดใจคนให้หยุดนิ่งได้อย่างประหลาด อาจเพราะประกอบกับภาพหญิงสาวในชุดสูทสีครีม ผมดำขลับรวบเป็นหางม้า นั่งหันหลังให้ทางเข้า ที่เกาทัณฑ์และเชิงไทจำได้แต่ไกลว่าเป็นเรือนแก้ว
“แม่เจ้า!”
เชิงไทอุทานเบาๆ ราวกับเกรงว่าเสียงจะทำลายบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ สองหนุ่มเหลียวมาสบตากัน ก่อนย่องเงียบไปยืนในระยะใกล้พอจะพินิจรายละเอียดทุกท่วงท่าของนักดนตรีสาวจากเบื้องหลัง โดยไม่รบกวนให้รู้ตัวว่า ณ บัดนี้กำลังมีผู้ชมแล้ว
ถึงช่วงเล่นท่อนแยก เรือนแก้วแทรกเสียงไล่เป็นลูกคลื่นลื่นลิ่วประดับประดาเข้าไป แสดงให้เห็นถึงทักษะความสามารถถ่ายทอดจินตนาการระดับสูง คิดเอง ดัดแปลงเอง ให้ตัวเพลงมาเป็นของเธอครึ่งหนึ่ง
กายที่โยกไกวไหวเอนน้อยๆจากเอวองค์อรชรไปจนถึงลำคอระหง สะท้อนการร่ายรำจากจิตวิญญาณหวานละไม ความพลิ้วแพรวมีผลให้สองหนุ่มยืนฟังตาค้างอย่างนึกไม่ถึงว่าเพื่อนสาวจะเก่งขนาดนั้น
เมื่อถึงช่วงอันเป็นที่สุดทางอารมณ์ มีการหยุดลงชั่วครู่ ก่อนที่ถึงคีย์สุดท้ายด้วยพลังความนุ่มนวลลึกซึ้ง เหมือนกับการเล่าเรื่องราวที่สิ้นสุดความเจ็บปวดแบบงดงาม สยบความวุ่นวายในหัวลงได้ราบคาบ
คล้ายโลกถูกหยุดไว้ชั่วคราว ก่อนที่เกาทัณฑ์กับเชิงไทจะพร้อมใจปรบมือเบาๆแบบไม่บุกรุกอาณาเขตวิเวก เรือนแก้วหันหลังกลับมา แล้วลุกพรวดขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนๆ พลิกอารมณ์ฉับพลัน จากละเมียดเป็นเริงรื่น
“ต๊าย! มายืนเข้าคิวรอจีบกันอยู่เหรอคะ?”
เชิงไทแบสองมือ สวนคำเธอดังๆทันควัน
“มันขึ้นอยู่กับว่าแอ้จะให้จีบรึเปล่าเนี่ยสิ!”
“เออ!” เกาทัณฑ์ประสานเสียงรับลูกตามมาติดๆ “สำคัญที่พร้อมจะอนุญาตให้จีบไหม”
ทั้งหมดหัวเราะเบาๆ แต่เกาทัณฑ์พูดจบก็ก้มหน้านิดหนึ่ง แม้รู้กันว่านั่นคือการพูดเล่นโว้กว้ากแบบไม่คิดอะไรประสาเพื่อนสนิท เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ เพราะการตกลงเป็นคนรักกับแพตรี มีความศักดิ์สิทธิ์ทางใจราวกับหมั้นหมายกันไปแล้ว
เชิงไทชมเปาะแบบเพลงจบ อารมณ์ไม่จบ
“หน้าตาแบบนี้ ใครมันจะไปนึกว่าเล่นเก่ง”
เรือนแก้ววางมือเกาะขอบเปียโน ถอยเท้าครึ่งก้าว เอียงคอยื่นหน้าถามเบาๆด้วยเสียงสงสัย
“อันนี้คือชมแล้วใช่ไหมคะ?”
เชิงไทพยักหน้ายืนยันอย่างแรง
“นี่คือคำสดุดีจากใจ! ปกติคนสวยจะทำได้แค่แต่งหน้าทาปาก แต่นี่ถึงขั้นเอาปลายนิ้วที่แต่งหน้ามากรีดหัวใจคนฟังจนเลือดซิบด้วย ต้องซื้อธูปเทียนแพมากราบไหว้สถานเดียว”
เรือนแก้วหัวเราะหึหึเสียงใสในลำคอด้วยอารมณ์รื่น
“ดีๆ! เป็นคนชอบลูกยอประหลาดๆแบบนี้ค่ะ ยอบ่อยๆนะคะ แก้เครียดดี”
เกาทัณฑ์ชวนว่า
“กินข้าวกันเถอะ ไม่ได้ว่างพร้อมกัน ๓ คนมาพักนึงเลย”
สามหนุ่มสาวเดินพร้อมกันไปที่โซนบุฟเฟต์ ซึ่งจัดเป็นไลน์ยาวมีทั้งอาหารตะวันตกและเอเชียเรียงกันอย่างหรูหรา เลือกที่ชอบที่ชอบใส่จานแล้วพากันมานั่งลงที่โต๊ะมุมหนึ่งติดกระจก เห็นทิวทัศน์ทุ่งสีทองเบื้องล่างกว้างไกลเต็มตา จากมุมมองชั้น ๑๒
“วันนี้แอ้น่าจะเจอมาหนัก”
เกาทัณฑ์ถามด้วยน้ำเสียงปลอบโยน เพราะรู้สึกถึงความเพลียใจจากเรือนแก้ว
“เอาเรื่องอยู่ค่ะ”
เธอตอบสั้นๆรวบรัด ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สัก ๑๐ นาทีอาจอยู่ในอารมณ์ผู้หญิงขี้บ่นขี้วีน แต่ตอนนี้คลื่นความปั่นป่วนในหัวระงับลงแล้ว
“ตอนนี้เหมือนพวกเรากำลังขายฝันในอากาศ” เกาทัณฑ์สรุป “คงต้องเจอปฏิกิริยาต่อต้านจากบางคน จนกว่าจะเอาความจริงมาวางบนดินให้ทุกคนเดินเข้ามาจับต้องได้กับมือกัน”
“ไม่แน่นะคะ…” หญิงสาวยักไหล่ “ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อเรื่องโลกแบน และหาว่าภาพถ่ายจากอวกาศเป็นของปลอมอยู่เลย ต่อไปถึงแม้มีหลักฐานการเกิดใหม่เป็นว่าเล่นจากงานของเต้ ก็อาจมีพวกยืนกรานที่จะไม่เชื่ออยู่มากมาย ในเมื่อมีความสุขที่จะไม่เชื่อเสียอย่าง”
“อันนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นชนกลุ่มน้อยที่เราช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้”
เชิงไทให้ความเห็นพลางจิ้มกุ้งเข้าปาก
“กูว่าเรื่องพวกนี้ ถ้ามีนักวิชาการดังๆที่ระลึกชาติได้เอง แล้วสามารถสื่อสารอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ น่าจะพลิกความเชื่อของคนในโลกยุคเราได้”
เกาทัณฑ์สั่นศีรษะ
“สเปกที่มึงว่า เคยมีมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักนิด”
“ใคร?”
“โดโรธี อีดี้”
“ไม่เคยได้ยิน นางคือยังไงวะ ระลึกชาติได้ เป็นนักวิชาการด้วย?”
“เออ! นางเกิดตั้งแต่ปี ๑๙๐๔ ในกรุงลอนดอนเหมือนเด็กทั่วไป แต่ตอนสามขวบพลัดตกบันไดหน้าผากกระแทกพื้น หมอบอกว่าตายสนิท แต่ชั่วโมงต่อมาดันลืมตาฟื้นคืนชีพ แล้วจากนั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นับจากที่เริ่มร้องขอให้พ่อแม่พาเธอกลับบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านในลอนดอน”
เชิงไททำหน้าเฉยๆ เพราะเคยได้ยินเรื่องพวกนี้เยอะแล้ว
“คงมีเรื่องชวนอึ้งเป็นใบเบิกทางตามมาล่ะสิ”
“ตอน ๔ ขวบ ครอบครัวพานางไปพิพิธภัณฑ์อังกฤษ นางวิ่งเข้าไปในห้องจัดแสดงของอียิปต์โบราณ คุกเข่าจูบเท้ารูปปั้นฟาโรห์ที่จำได้ว่าเป็นแฟนเก่า และร้องตะโกนว่า ‘นี่คือบ้านของฉัน! พวกนี้คือคนของฉัน!’ เล่นเอาผู้คนรอบข้างงงงวย”
“จะงงอะไร ก็นึกว่าเด็กร้องแรกแหกกระเชอมั่วๆมากกว่า หรือว่ามีบทพิสูจน์อะไรว่านางเป็นของจริง?”
“ตอนโตขึ้นมา นางทิ้งลอนดอนไปทำงานให้กรมโบราณคดีอียิปต์ สามารถชี้ตำแหน่งสวนโบราณในวิหารที่ไม่มีใครเคยรู้ และนำนักโบราณคดีไปพบอุโมงค์ที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนทราย ขุดเจอห้องหรือแท่นบูชาที่ไม่มีในแผนที่ได้จริงๆ แถมเฮี้ยน อ่านอักษรฮีโรกลิฟฟิกได้คล่องแคล่วราวกับเป็นภาษาแม่”
ฟังเช่นนั้น เชิงไทชักเริ่มสนใจมากขึ้น
“หมายความว่านางทำให้นักวิชาการยอมรับได้?”
“นางเป็นนักวิชาการด้วยตัวเองเลย นักอียิปต์วิทยาให้ความเคารพในผลงานของเธอในฐานะนักวิชาการ ที่ศึกษาและทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ตื่นตาตื่นใจกับคำคุยว่าข้าเคยเป็นใคร”
“นางตายตอนอายุเท่าไร?”
“๗๗”
“เป็นนักอียิปต์วิทยาตลอดชีวิต?”
“ใช่!”
“บ๊ะ! มีเวลาพาไปขุดคุ้ยวัตถุโบราณพิสูจน์ตัวขนาดนั้น ทำไมกูไม่เคยรู้จัก แล้วทำไมโลกไม่ยกย่องหรือจดจำเป็นหลักฐานสำคัญของการเวียนว่ายตายเกิด? ตำราประวัติศาสตร์และศาสนาทั่วโลกน่าจะต้องกล่าวขานถึงนางไว้ในหน้าหนึ่งเลยนี่หว่า”
“นางเป็นตัวอย่างสาธิตไงว่า การรับฟังเรื่องของคนอื่น อย่างไรก็ไกลตัวเกินไป อย่าว่าแต่โดโรธี อีดี้ที่อยู่ถึงอียิปต์เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ขนาดจ่อปลายจมูกเราเอง ชุมชนคนระลึกชาติในไทยที่หมู่บ้านตะคร้อ ที่มีเด็กเกิน ๕๐ คนสามารถ ‘ระลึกชาติ’ ได้ จนชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องปกติ”
เรือนแก้วเบิกตาโพลง
“หือ! มีอย่างนี้ด้วยหรือ?”
“นั่นไง! เห็นไหม เขาประโคมข่าวกันอื้ออึง ก็ยังได้ยินกันไม่ทั่วถึงเลย”
“เรื่องนี้กูเคยได้ยิน” เชิงไทเอ่ย “แต่ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นบรรทัดฐานในการเชื่อ หรือเชื่อแล้วจะให้เปลี่ยนทัศนคติอย่างไร ปรับพฤติกรรมท่าไหน และที่สำคัญ หลังจากอินอยู่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ เรื่องเทือกนี้ก็จะเลือนไปจากหัว เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับกู กูขอใช้ชีวิตต่อเหมือนเดิมทุกประการ”
“นั่นแหละ! ข่าวจะสำคัญต่อเมื่อเป็นเรื่องเข้าตัว พอวันไหนมีคนบอกมึงว่ามึงมาเลือกเกิดใหม่ได้ที่ศูนย์วิจัยของจีเนติกโอ๊ธ ที่พิสูจน์ความเป็นคุณคนเก่าได้ผ่านดีเอ็นเอ มึงจะใช้เวลาไปกับการตระเตรียม เช่นตั้งคำถามว่า มึงต้องมีดีอย่างไร ถึงจะพอมีสิทธิ์ไปเกิดใหม่ดีๆ”
“นึกไม่ออกว่าถ้างานของมึงสำเร็จ จะเกิดผลกระทบอะไรได้บ้าง เอาง่ายๆนะ อีกหน่อยลูกหลานไม่ได้รับมรดกจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายกันหรอก คงมีกฎหมายคุ้มครองครอบคลุมไปถึงการยกมรดกให้ตัวเองในชาติต่อไปตามมา แล้วคำว่า ‘รวยจนใช้ไปอีก ๑๐๐ ชาติก็ไม่หมด’ คงล้าสมัย เพราะถ้ารวยขาดชาติเดียว ก็เกิดใหม่มาผลาญสมบัติตัวเองได้อีกเป็นร้อยรอบจริงๆ”
“ยุติธรรมแล้วนี่ สร้างไว้กับมือ ก็ส่งต่อให้ตัวเองกับมือ”
“แต่คนก็อาจจะงกกันมากขึ้นนะคะ มีแล้วไม่รู้จักให้ เพราะคิดแต่จะเก็บไว้ใช้เองไปเรื่อยๆ”
จังหวะนั้นเอง ประตูเลานจ์ก็เลื่อนเปิด ต้อนรับผู้เข้าใช้บริการรายใหม่ เป็นแพทย์หญิงวัยสามสิบปลายๆร่างท้วมในเสื้อกาวน์ มากับเด็กหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนยาว สองคนนั้นเห็นโต๊ะของเกาทัณฑ์ก็เดินเข้ามาทักทาย
“ไม่ค่อยได้พบคุณเต้เลยนะคะช่วงนี้”
“ครับพี่หมอหยี เดี๋ยวสัปดาห์หน้าคงได้มีประชุมกันครับ แอ้น่าจะรวบรวมข้อมูลที่คุยกับผู้ป่วยและญาติได้มากพอ มาแสดงให้ทีมแพทย์กับนักจิตวิทยา อะไรๆจะได้โปร่งใส พี่หยีกับทีมจะได้สบายใจกันทุกคนนะครับ”
“ดีเลยค่ะ! ขอบคุณมากนะคะ เป็นเกียรติและเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับจีเนติกโอ๊ธจริงๆเลย” แล้วเธอก็หันมาแนะนำผู้ติดตาม “นี่หลานชายของพี่ค่ะ ชื่อดนู กำลังเรียนหมอปีห้า มาเก็บประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายไปทำพอร์ต พี่ขออนุญาตพาเข้ามากินในเลานจ์ด้วยคนนะคะ”
ดนูยกมือไหว้สามหนุ่มสาว เกาทัณฑ์รับไหว้ฝ่ายนั้นแล้วหันมาบอก
“ด้วยความยินดียิ่งครับพี่หมอ”
แล้วหมอหยีก็ขยับท่าทางแสดงความอยากเล่า
“ขอแชร์อะไรนิดนึงค่ะ เหตุสดๆร้อนๆเมื่อกี๊นี้เลย”
“เดี๋ยวเรานั่งด้วยกันเลยดีไหมครับ”
เกาทัณฑ์ขยับตัวเหมือนจะลุกไปลากเก้าอี้มาให้
“ไม่เป็นไรค่ะคุณเต้ พี่ขอเล่าแป๊บเดียว แล้วปล่อยให้พวกคุณคุยกันสามคนตามสบายดีกว่า โต๊ะมันเล็กเกินไปสำหรับ ๕ คนด้วยค่ะ”
“โอเคครับพี่”
“น้องแอ้จำคุณตาโพธิศักดิ์ได้นะคะ?” เธอหันไปถามเรือนแก้ว “ที่แกปฏิเสธน้องแอ้เมื่อหลายวันก่อน”
“จำได้ค่ะพี่หมอ” เรือนแก้วหันมาอธิบายให้เกาทัณฑ์กับเชิงไทฟัง “แอ้คุยกับคุณตาโพธิศักดิ์แล้วแกโวยวายๆ บอกว่าแกขอเลือกเชื่อว่าตายแล้วสูญดีกว่า จะได้ไม่ต้องเกิดเพื่อมานอนเหงาๆอยู่คนเดียวแบบนี้อีก แอ้คุยกับแกเสร็จแล้วเดินออกจากห้องมาเจอพี่หมอหยี เลยเล่าสู่กันฟัง”
“นั่นแหละค่ะ” หมอหยีเล่าต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เมื่อเช้าคุณตาเกิดอาการแน่นหน้าอกเฉียบพลัน ทีมพยาบาลรีบใส่สายออกซิเจนฉุกเฉิน หัวใจเต้นช้าลงเกือบหลุดขอบปลอดภัย พอเรากำลังจะโทรตามครอบครัว... อยู่ดีๆ คุณตาก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดเสียงดังชัดมากว่า ‘ฉันยังไม่ไป! ฉันขอเลือกเกิดก่อน!’ แล้วก็ให้พยาบาล ‘ทำพิธีเลือกเกิด’ อย่างที่สัญญาไว้กับแกค่ะ”
“เป็นนิมิตหมายที่ดีนะครับ” แล้วเกาทัณฑ์ก็หันมาพูดกับเรือนแก้ว “เห็นไหมล่ะ ปากปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่าใจจะต่อต้าน”
เรือนแก้วยิ้ม ใจชื้น รู้สึกดีขึ้นทันใด
“งั้นเดี๋ยวต้องไปขออนุญาตบันทึกคลิปความรู้สึกอยากเข้าร่วมโครงการของคุณตา เพื่อใช้เป็นหลักฐานใหม่อีกครั้งค่ะ ขอบพระคุณพี่หมอหยีมากๆนะคะ ไม่งั้นพลาดไปอีกรายเปล่าๆเลย”
เรือนแก้วพนมมือไหว้ขอบคุณ
“ยินดีค่ะน้องแอ้” หมอหยีรับไหว้ แล้วหันมาทางเกาทัณฑ์ “เอ่อ… คุณเต้คะ คือพี่อยากรู้ด้วยค่ะว่า ถ้ากรณีคนไข้เรียกร้องอะไรทำนองนี้ เราจะมีมาตรการหรือบรรทัดฐานอะไรไว้ตอบไหม น้องพยาบาลแกบอกว่ากลัวพูดผิดจากที่คุณเต้ต้องการ”
เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วหันมามองหน้ากันอึ้งๆ เพราะไม่เคยมีการคุยกันไว้เผื่อกรณีประมาณนี้ แต่อึดใจเดียวชายหนุ่มก็กลับมาเอ่ยอย่างรอบคอบ
“เดี๋ยวเราประชุมปรึกษานักจิตวิทยาแล้วจะให้คำตอบภายในบ่ายนี้นะครับพี่”
“โอเคค่ะ ขอบคุณค่ะ ไม่รบกวนแล้วค่ะ”
หมอหยีพยักหน้าชวนหลานชายให้เดินไปตักอาหาร สามหนุ่มสาวหันมายิ้มให้กันเงียบๆครู่หนึ่ง
“พวกเรากำลังให้สิ่งที่สำคัญที่สุดกับคนใกล้ตาย”
เกาทัณฑ์เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน
“ความหวัง!”
เชิงไทต่อคำให้จบ เรือนแก้วผงกศีรษะช้าๆ
“คงมีเรื่องใหม่ๆให้ต้องตัดสินใจเร็วและชัดเจนกันเรื่อยๆ เดี๋ยวปรึกษานักจิตวิทยาด้วย พวกหมอๆจะได้สบายใจว่าเราไม่เห็นความหวังสุดท้ายของคนใกล้ตายเป็นเรื่องล้อเล่นนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ” เกาทัณฑ์รับรอง “แต่ละคนไม่มีสิทธิ์รู้ว่า ความตายจะมาหาในนาทีไหน แค่มีสิทธิ์ใช้เวลาที่เหลือในการเลือกว่า จะตายไปกับความเชื่อแบบใด…”
ไม่ทันขาดคำ ก็เกิดเสียง ‘ตึ้ม!’ ดังกระแทกเข้ามาผ่านกระจกบานใหญ่ เป็นเสียงต่ำ หนัก อั้นลึก เหมือนมาจากใต้ดินหรือชั้นล่างสุดของอาคาร
เสียงนั้นไม่ได้ดังลั่นแก้วหูแตก แต่ทรงพลังพอจะส่งแรงสั่นสะเทือนผ่านพื้นพรมใต้เท้าเบาๆ ราวกับมีมือเปรตลึกลับกำลังเขย่าแกนกลางของตึกอยู่ด้วยความประสงค์ร้าย
วินาทีแรกๆ ทุกคนเหลียวหน้าไปมองหน้าต่างพร้อมกัน อย่างเดาไม่ถูกว่าเสียงอะไร ต้นแหล่งความสะเทือนใต้พื้นคืออะไร
แต่พอแรงอัดของคลื่นอากาศในอาคารปิดสนิทเคลื่อนตามหลังเสียงตึ้มมา คล้ายเกิดก้อนหนักทึบไร้ตัวตนอัดอก หายใจยาก และหูอื้อผิดปกติ ทุกคนจึงเริ่มขยับตัวด้วยสัญชาตญาณระแวงภัย
เสียง แกร็ก! แกร็ก! แล้วที่สุดก็ลั่น แกร๊ก!! ขึ้นจากผนังมุมหนึ่ง มันคือเสียงแหลมของโครงเหล็กที่เลื่อนตัว เสียดสีกันภายใต้แรงดึง บ่งบอกว่าโครงสร้างชั้นล่างกำลังรับน้ำหนักอย่างไม่เสถียร
“ฮึ่ย! เกิดอะไรขึ้นวะ?”
เชิงไทร้องถามดังๆด้วยสมองชาทึบหาใครสักคนตอบ และคนตอบก็คือเกาทัณฑ์
“มีคนวางระเบิด ตึกกำลังจะถล่ม!”
เท่านั้นเอง ความตื่นตระหนกก็กระจายเต็มพื้นที่ เสียงวี้ดว้ายและฮ้ายเฮ้ยจากหมอหยีกับหลานชายลั่นนำมาก่อน แล้วตามด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่งแบบเดียวกันจากเชิงไทและเรือนแก้ว ชั่วเสี้ยววินาทีแรก ทุกคนช็อกนิ่งจังงัง ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่กันไปหมด
เสียงเปรี๊ยะ! ของโครงเหล็กใต้พื้นดังตามมาในวินาทีนั้น พร้อมแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ใช่แค่รู้สึกผ่านฝ่าเท้าอีกต่อไป หากแต่เปลี่ยนมุมมองของแผ่นพื้นให้เอียงกะเท่เร่ราว ๒๐ องศา ทุกคนเซเล็กน้อยแบบต้องออกแรงขืนร่างไว้ให้ทรงอยู่ในแนวตั้ง
เก้าอี้บางตัวเริ่มไหลช้าๆราวกับถูกดูดจากผนังฝั่งประตูทางเข้าที่ต่ำเตี้ยลงไป แกรนด์เปียโนดำทะมึนที่เคยตั้งอย่างสง่างามสั่นกึกๆ แล้วเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าเหมือนสัตว์ใหญ่ตื่นจากหลับ ก่อนไถลเร็วตามแรงโน้มถ่วงที่พื้นเปลี่ยนระดับการลาดอีกครั้ง จาก ๒๐ องศาเป็น ๓๐ องศาเพราะคานคอนกรีตเสริมเหล็กที่ยึดพื้นเริ่มร้าว ดุจว่าพื้นห้องกลายเป็นกระดานลื่นเทของยกกระบิไปแล้ว
ดนูยืนขวางทางไหลของแกรนด์เปียโนพอดี จึงถูกดันร่างไปกระแทกผนังในพรวดเดียว น้ำหนักกว่า ๓๐๐ กิโลกรัมของแกรนด์เปียโนขนาดเล็กที่ไถลจากพื้นลาดเอียง สะสมแรงอัดมหาศาลจากระยะร่วม ๑๐ เมตรกว่าแสนนิวตัน อัดร่างเขาเข้ากับผนังปูนเต็มรัก กระดูกซี่โครงหักยุบพร้อมกันหลายซี่ทิ่มทะลุปอดและหัวใจในคราวเดียว ระบบไหลเวียนล้มเหลว ตายคาที่ทันที
ร่างของอีก ๔ ชีวิตที่เหลือไหลตีลังกาไปพร้อมกับโต๊ะ เก้าอี้ และสิ่งของทั้งหลาย ทุกคนถูกเทไปกระแทกผนังเอียงเจ็บเนื้อเจ็บตัว และกองรวมไม่ห่างจากกันนัก เสียงวัตถุกระแทกกันโครมครามตามมาระลอกใหญ่ฟังหลอนหูยิ่ง
หมอหยีขยับร่างท้วมของเธอเล็กน้อย มือหนึ่งยันผนังเอียง อีกมือหนึ่งพยายามดันตัวขึ้น แต่แล้วขณะนั้นเอง แผ่นไม้หนาหนักที่เป็นชั้นวางจากตู้ก็ร่วงลงมาหาจากแนวสูง กระแทกปั้กเต็มแรงลงบนต้นคอตรงจุดที่หักง่ายที่สุดอย่างพอดิบพอดีราวเป็นความจงใจจากมัจจุราช แล้วร่างหมอหยีก็แน่นิ่งเป็นก้อนเนื้อไร้วิญญาณทันที
เชิงไทพยายามตะกายหามุมจับยึด ส่วนเรือนแก้วหมุนตัวหลบโต๊ะกินข้าวทันอย่างหวุดหวิด เสียงกรอบรูปแตกอีกนับสิบใบบนทางผนังกลายเป็นเสียงฝนกระจก ทั้งหมดตามมาด้วยเสียงโครมจากฝ้าเพดาน ไม้โครงเหล็กฟาดแฉลบเฉียดศีรษะของเกาทัณฑ์ไปไม่ถึงคืบ
จากนั้น เสียงครืนโครมในเลานจ์ก็ระงับลงชั่วคราว เกาทัณฑ์กระโจนพรวดผ่านพื้นเอียงไปยังหมอหยี เห็นคอที่บิดผิดรูป ก็ทราบสัญญาณมรณะชัด รู้ว่าไม่อาจทำอะไรนอกจากไว้อาลัยให้วินาทีหนึ่ง
จริงๆเขาก็ตระหนกเยี่ยงคนธรรมดา แต่ภาวะผู้นำทำให้ตั้งสติได้เร็ว ลุกขึ้นยืนหยัดเท้าข้างหนึ่งไว้บนผนัง และอีกข้างวางบนพื้นเดิม ซึ่งบัดนี้อยู่ในองศาที่กลายเป็นพื้นเอียงไปแล้ว
หันไปทางเพื่อนทั้งสอง เห็นเชิงไทนั่งตาเหลือก ส่วนเรือนแก้วร่างงอก่องอขิงกองอยู่กับผนัง หน้าซีดเผือดเหมือนศพ แต่ดูไม่บุบสลายทั้งคู่ก็โล่งอก
สมองของเกาทัณฑ์ทำงานเป็นอัตโนมัติราวกับเครื่องจักรกลไร้อารมณ์ ไร้ความตระหนกอกสั่น สมาธิที่ฝึกมากับปู่ชนะ ช่วยให้เขารู้สึกว่าจิตของตนใหญ่ขึ้น แทนที่ประสาทจะรับรู้ช้าลงในเหตุฉุกเฉิน กลับกลายเป็นไวสัมผัสรับสถานการณ์ หัวแล่นปรูดปราดกว่าเดิมเป็นสองเท่า
ดวงตาคมกริบของเกาทัณฑ์กวาดมองทั่วเลานจ์อย่างรวดเร็ว ตำแหน่งการหลุดของฝ้า แนวเอียงของพื้น ตลอดจนร่องรอยการแตกร้าวที่ขยายจากจุดศูนย์กลางเพดาน บอกเขาว่าแรงถล่มไม่ได้กระจายเท่ากันทั้งอาคาร โครงหลักยังทรงตัวไว้บางส่วน แต่ไม่รู้จะนานแค่ไหน
“อีกเดี๋ยวตึกมีสิทธิ์ถล่มใหญ่ลงมาทั้งหมด” เขาพูดแข่งกับเวลาเพื่อดึงสติเพื่อนทั้งสอง “เราจะช้าไม่ได้ วินาทีเดียวก็มีความหมาย โอกาสรอดเดียวคือทางหนีไฟที่โครงสร้างแข็งแรงมากๆ… ทั้งสองคนลุกเองไหวไหม?”
เชิงไทกับเรือนแก้วลุกขึ้นยืนแบบแข้งขาสั่น ยืนคร่อมพื้นกับผนังที่บัดนี้อยู่ในรูปวีเอียง ใจไม่พร้อมจะคิดอะไรเอง นอกจากรอคำสั่งจากผู้มีสติเหนือกว่า
เกาทัณฑ์พุ่งไปถึงขอบวงกบประตู เห็นเซนเซอร์อินฟราเรดยังติดไฟเขียว แสดงว่าห้องควบคุมระบบไฟฟ้าหลักส่วนบนของอาคารยังไม่ถูกกระทบ ก็กระชากเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้มือมากระแทกกดในแนวทแยงลงตรงพื้นที่หน้าเซนเซอร์ มีผลให้บานประตูเลื่อนออกตามปกติ
“มาเร็ว!”
เรือนแก้วและเชิงไทรีบเดินมาตามคำสั่ง โดยต้องใช้มือซ้ายยันผนังข้างต่ำเพื่อช่วยประคองการเดินอย่างยากลำบาก ทั้งสามเรียงกันทะลุผ่านประตูเลานจ์ออกมา หย่อนร่างลงนั่งไถลตัวไปตามพื้นสไลเดอร์จนถึงผนังฝั่งตรงข้าม แล้วยืนหันขวาขึ้นคร่อมร่องวีของพื้นเอียง มองตรงไป สิ่งที่พบคือโถงทางเดินยาวที่เอียงไปจนสุดทางระยะประมาณ ๑๕ เมตร ที่นั่นปรากฏกรอบประตูลิฟต์ที่ยังตั้งมุมฉากกับพื้นโลก แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างของมันยึดอยู่กับแกนตึกคนละส่วนกับแผ่นพื้นใต้ฝ่าเท้า
แต่ไฟสถานะสีแดงเหนือกรอบลิฟต์ฉายอักษร ERR ค้างนิ่ง บ่งชัดว่าระบบลิฟต์ตัดการทำงานแล้ว เป็นอันหมดหวังจะลงสู่พื้นดินผ่านทางด่วนแนวดิ่ง
ยังไม่ทันก้าวต่อให้ถึงไหนไหน พื้นใต้เท้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเลานจ์ใกล้หน้าต่างก็พลิกมุมอย่างรุนแรง เสียงกร๊อบดังสนั่นจากเสาคอนกรีตที่แตกร้าวใต้พื้น ทำให้พื้นที่จำกัดส่วนนั้นเอียงชันจากเดิม ๓๐ องศาเป็น ๔๕ องศาในพริบตา แถมยังเทดิ่งไปในทิศตรงข้ามกับแกนลิฟต์ ส่งผลให้สามหนุ่มสาวล้มระเนระนาด ไถลกระแทกผนังฝั่งต่ำตุ้บตั้บ ร้องโอ๊กและวี้ดด้วยความตื่นตระหนกโดยไม่ต้องนัดหมายอีกระลอก
ฝุ่นปูนฟุ้งกระจายเป็นหมอกหนา ขณะที่กลิ่นควันเคมีฉุนกึกจากชั้นล่างลอยคละคลุ้ง ก่อนที่จะพักสงบ ราวกับทั้งตึกกำลังกลั้นหายใจชั่วคราว สามหนุ่มสาวยังนอนนิ่งหอบหายใจอยู่กับพื้น หน้าตาเหยเกกันด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระทบกระทั่งแบบไม่ทันตั้งตัว
เสียง อืด! อึด! อึด! แบบอั้นต่ำเริ่มดังขึ้นจากเบื้องล่างใต้พื้นขึ้นมาอีก กังวานและความสั่นสะเทือนของมันคล้ายการขบฟันของอสุรกายที่กำลังหงุดหงิดอยู่ในเงามืด แรงกดใต้ร่างกายของทั้งสามเปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัว เป็นแรงโป่งตัวใต้แผ่นปูนที่สัมผัสได้จากระบบประสาทของมนุษย์ นั่นเป็นสัญญาณบอกแรงสะสมที่ใกล้พลิกตัวในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า มันบีบหัวใจทุกคนให้เต้นรัวระทึกแทบหลุดจากอก
เศษฝ้าร่วงกราวลงมากรุบกรับ ตะแกรงท่ออากาศโยกเบาๆ แล้วจู่ๆพื้นตรงมุมหนึ่งห่างจากเชิงไทเพียงเมตรเดียวก็ยุบฮวบลง เปิดช่องโล่งกว้างพอจะกลืนกินมนุษย์ได้ไม่ต่ำกว่า ๕ คนพร้อมกัน
ช่องมฤตยูที่เหมือนหุบเหวนั้น เผยให้เห็นความลึกจากชั้น ๑๒ ลงไปถึงพื้นดินเบื้องล่างที่อยู่ห่างลงไปราว ๖๐ เมตร ดูเวิ้งว้างสุดสะพรึง แต่ขณะที่เชิงไทจะขยับหนีช่องแห่งความโหวงเหวงออกมา พื้นผนังเดิมที่รองรับร่างเขาอยู่ก็หายวับไปในเสี้ยววินาที
“เฮ้ย!”
ชายหนุ่มร้องสุดเสียง ร่างไถลสู่หลุมมรณะใหม่ที่เหมือนออกแบบมาดูดตัวเขาโดยเฉพาะ เดชะบุญแขนซ้ายไขว้เกี่ยวเข้ากับชายคานที่โผล่พ้นแนวพื้นโดยบังเอิญ ร่างจึงเหวี่ยงลอยไปห้อยร่องแร่งอยู่กลางอากาศ ไม่ร่วงหล่นลงไป ทว่าชีวิตก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆในบัดดล
เชิงไทกัดฟันกรอด รั้งกล้ามเนื้อไหล่ซ้ายสุดแรงเกิดเพื่อไม่ให้ร่างหลุดจากขอบ แขนข้างเดียวรองรับน้ำหนักทั้งตัวจนเส้นเอ็นเหมือนจะขาด เขาพยายามเอื้อมแขนขวาขึ้นช่วย แต่ติดขัด เพราะมุมแขนซ้ายที่บิดรับน้ำหนักอยู่ทำให้ขยับอีกข้างไม่ได้เต็มระยะ
เกาทัณฑ์พุ่งพรวดเหมือนเสือกระโจน มือซ้ายคว้าขอบด้านล่างของกระบิพื้นที่ยื่นล้ำออกมาจากจุดถล่มไว้มั่นๆ ก่อนหย่อนตัวลงยื่นมือขวาไปให้เชิงไท
“จับมือกูไว้!”
เสียงเกาทัณฑ์ดุดัน และเต็มไปด้วยพลังทรหดพารอด เรือนแก้วตามมาถึง เธอคุกเข่าลงข้างๆอย่างปรารถนาจะช่วย แต่พอเห็นการห้อยร่องแร่งเหนือเวิ้งลึกเบื้องล่างของเชิงไทแล้วต้องปิดหน้า เพราะทนเสียวท้องน้อยไม่ไหว ใจอยากร้องกรี๊ดๆท่าเดียว แค่กลั้นไว้ได้ก็บุญโขแล้ว
สายตาของเกาทัณฑ์จับจ้องเชิงไท ยื่นมือลงไปใกล้กว่าเดิม กระทั่งเชิงไทสามารถตวัดมือขวาคว้าไว้ได้ในที่สุด มือขวาของทั้งคู่ประสานกันแน่นด้วยอุ้งมือท่ายกตั้ง
“มึงใช้แรงขาเหวี่ยงตัวสามจังหวะ แล้วกูจะดึง”
เชิงไทปฏิบัติตามคำสั่งทันที หนีบขาทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วแกว่งหน้าแกว่งหลังตรงๆ เพื่อสะสมโมเมนตัมหนีแรงโน้มถ่วง และพอจับจังหวะน้ำหนักได้มั่น ๓ รอบ เห็นแรงสวิงถึงจุดพอดีในรอบสุดท้าย ก็เหวี่ยงสองเท้าไปข้างหลังสุดตัว จนลำตัวแทบขนานพื้นในท่าเหินเหมือนซูเปอร์แมน พร้อมกันก็เกร็งแขนซ้ายดันขอบคานเต็มแรง ซึ่งนั่นเปิดโอกาส เอื้อให้เกาทัณฑ์กระชากร่างเพื่อนขึ้นจากปากเหวพิฆาตโดยไม่ลำบากนัก
ร่างของเชิงไทพุ่งมาตามแรงดึงของเกาทัณฑ์ ปลิวพ้นจากขอบคานมาหล่นบนพื้น หน้าอกกระแทกพื้นป้าบเต็มรัก เขาสะบัดหน้าเงยขึ้น สำลักหอบหายใจเหมือนคนเพิ่งกลับจากนรก รู้สึกคล้ายปอดจะระเบิด
เกาทัณฑ์ลุกพรวดขึ้นอย่างไม่ยอมเสียเวลา มือชี้ไปยังมุมโถงอีกฝั่งทันที
“อย่าช้า! บันไดหนีไฟอยู่ข้างลิฟต์นั่น ไปเร็ว!”
แม้เชิงไทจุกเสียดแทบหายใจไม่ออก ก็ไม่สำออยนอนรอความตายเปล่า เขาและเรือนแก้วลุกขึ้น รีบพาร่างโขยกเขยกไปตามแนวร่องวีของพื้นตะแคงเข้าหากัน
พื้นที่หลักยังอยู่ที่ความลาดเอียง ๓๐ องศา แต่ทุกย่างก้าวก็ลำบากลำบนยิ่ง โดยเฉพาะในห้วงเวลาคับขันเคล้นหัวใจ เท้าซ้ายและขวาเหยียบลงบนพื้นเอียงคนละฝั่งแบบฝืนธรรมชาติ แรงกดของร่างกายถ่ายลงเฉียงผิดมุม ต้องเกร็งกล้ามเนื้อต้นขา ต้องงัดกล้ามเนื้อสะโพกกับเอวมาใช้จนกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่งุ่มง่ามอืดอาด
ทุลักทุเลทุกก้าวกระทั่งมาถึงโซนลิฟต์และบันไดหนีไฟ ที่ยังคงเป็นพื้นราบ แยกส่วนเป็นต่างหากจากกระบิลาดเอียงที่ผ่านมา ตรงจุดรอยต่อคือแนวปูนแตกร้าวขรุขระที่มีเศษเหล็กงอแง้อยู่ใต้ขอบ
เกาทัณฑ์ปีนป่ายพาตัวขึ้นไปยืนบนพื้นราบ ซึ่งสูงขึ้นไปจากร่องวีราว ๑.๒ เมตร ก่อนกลับหลังหันยื่นทั้งสองมือให้เรือนแก้วซึ่งอยู่ในชุดสูทกระโปรงรัดรูป ขยับตัวปีนป่ายและยกขาก้าวยาวลำบาก พอเธอยื่นมือทั้งสองประสานด้วย ชายหนุ่มก็บีบแล้วยกดึงร่างเธอลอยขึ้นไปยืนเคียงข้างเขา
เชิงไทหยุดหอบหายใจ วางมือทั้งสองบนขอบปูน แล้วเกร็งกล้ามแขนดันตัวขึ้นจากระดับต่ำ พอเอาขาพาดพื้นได้ก็กลิ้งพ้นขอบตามมาในที่สุด ก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย แผ่หมดแรงอยู่ตรงนั้น
“คานหลักน่าจะยังยืนอยู่ ๓ ใน ๕ ตึกจึงยังไม่เสียสมดุลทั้งหลัง แต่แรงสั่นสะเทือนกำลังสะสมอยู่แน่ๆ ไม่รู้ว่าเราเหลือเวลากี่นาที ก่อนโครงสร้างจะล้าไปทั้งแกน”
เกาทัณฑ์ส่งเสียงบอกหอบๆ
“แล้วจะวิ่งลงไปทันไหม?”
เชิงไทถามอย่างสังหรณ์ไม่ดี และนั่นก็ทำให้เกาทัณฑ์รู้สึกว่าสมควรยอมให้เวลาอธิบายกับเพื่อนๆ
“ถ้าเรารีบวิ่งเต็มที่ในเวลาปกติ หนึ่งชั้นจะใช้เวลาประมาณ ๑๐ วินาที แต่กรณีนี้บันไดอาจมีสั่นแรงขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แถมพวกเรากำลังเหนื่อยหอบอีก ฉะนั้น อย่ารีบมาก อย่าวิ่งแบบก้าวกระโดดหรือข้ามเกิน ๒ ขั้น เพราะถ้าล้มขึ้นมาอาจเท้าพลิก แข้งขาหัก หรือบาดเจ็บแบบเคลื่อนไหวต่อยาก ให้ใช้วิธีซอยเท้าถี่เร็วๆจะเซฟที่สุด หากเราใช้เวลาแต่ละชั้นไม่เกิน ๑๕ วินาทีอย่างสม่ำเสมอ ก็น่าจะไปถึงชั้นล่างในไม่ถึง ๓ นาที มีสิทธิ์ทันก่อนตึกถล่มทั้งหมด”
“เข้าใจแล้ว งั้นรีบเถอะ!”
เชิงไทร้องดังๆ ทั้งที่น่าจะจุกสุดในหมู่พวก
คณะหนีพญายมพากันปรี่ไปยังประตูบันไดหนีไฟ ซึ่งห่างจากลิฟต์ประมาณ ๕ เมตร เกาทัณฑ์กระชากประตูเหล็กออก ซึ่งก็มีแรงลมอับและกลิ่นฝุ่นจากชั้นล่างดันมาต้อนรับทันที ทั้งหมดวิ่งพรวดซอยเท้าลงบันไดเวียน ท่ามกลางเสียงกึกกักของโลหะเสียดสีกันแว่วขึ้นมาบางเบาในแต่ละก้าว แสงจากโคมไฟติดเพดานกะพริบเป็นจังหวะ เหมือนหัวใจตึกที่ชักกระตุกใกล้หยุดเต้นเต็มแก่
ลงถึงชั้น ๑๑
เสียงปึ้ง! ดังมาจากเบื้องล่าง พร้อมแรงสะเทือนแผ่วๆ ที่ไต่ขึ้นมาทางราวบันได สั่นประสาท กดดันให้สังวรณ์ว่าไม่มีการล้อเล่น แล้วก็ไม่มีคำรับประกันใดๆว่าอะไรกำลังรออยู่เบื้องล่าง
ลงถึงชั้น ๑๐
แม้เพิ่งซอยเท้าลงมาได้สองชั้น เรือนแก้วก็เริ่มหายใจถี่แบบคนหายใจไม่ทัน เหงื่อซึมทั่วกรอบหน้า แต่เมื่อเห็นเชิงไทยังวิ่งนำโดยไม่ปริปากแม้จะยังจุกอยู่ เธอก็สลัดเสื้อสูทที่อุ้มน้ำหนักเหงื่อทิ้งไว้กับขั้นบันได เหลือเพียงเสื้อแขนกุดสีเบจอ่อนที่เปียกชุ่มแนบตัว เผยรอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำที่กระจายบนผิวสีน้ำผึ้งบอบบาง จากนั้นก็กัดฟันเร่งฝีเท้าขึ้นให้ทันเพื่อน
ลงถึงชั้น ๙
เสียง ครืน! จากด้านบนดังลงมาตามปล่องบันไดเหมือนการสำรากร้องของสัตว์นรกบินได้เบื้องบน บันไดทั้งโถงสั่นสะเทือนในแบบที่ยวบตามเท้า ชวนให้จินตนาการถึงการยุบตัว น่าให้กลัวจะตกฮวบลงไปตาย สั่นประสาทเกินจะกล่าว
ลงถึงชั้น ๘
เกาทัณฑ์จำเป็นต้องดึงร่างเรือนแก้วเข้ามาสวมกอดชั่วครู่หนึ่ง เพราะเธอยืนปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทา เหมือนจะขาสั่นก้าวไม่ออกอีกต่อไป และนั่นก็พลอยเบรกเชิงไทให้หันมามองด้วยความพะวักพะวน ห่วงหน้าพะวงหลัง แต่เพียงไม่กี่อึดใจเรือนแก้วก็ตบหลังเกาทัณฑ์เบาๆ เป็นสัญญาณว่าเธอพร้อมก้าวต่อแล้ว
ลงถึงชั้น ๗
จู่ๆก็มีเสียง ครืด... ตึ้ง! ดังลั่นจากผนังข้างทางลง แล้วช่องเพดานบันไดบางส่วนก็ถล่มโครมลงมา โครงเหล็กเส้นหนึ่งที่ใช้ยึดฝ้าเพดานร่วงตวัดลงมาเหมือนแขนกล ฟาดเข้าเป้าตรงสีข้างด้านซ้ายของเกาทัณฑ์แม่นยำราวจับวาง เขารู้สึกถึงแรงกระแทกมหาศาลราวโดนค้อนทุบ
หนุ่มนักวางแผนหมุนกลิ้งกระแทกขอบบันได ร้องโอ้กลั่น ก่อนทรุดลงไปกองในท่านอนตะแคงทันที ทั้งเรือนแก้วและเชิงไทตะโกนพร้อมกันสุดเสียง
“เต้!”
“เฮ้ย! เต้!”
เกาทัณฑ์กัดฟันแน่น หน้าขาวเหมือนผีเพราะหลอดเลือดส่วนปลายหดตัว ขณะยกมือซ้ายกุมชายโครงที่ปวดลึกเหมือนเสี้ยนทิ่ม เขารู้ตัวทันทีว่าซี่โครงหัก เพราะกดแล้วเจ็บแปลบเฉพาะจุด สูดลมหายใจลึกไม่ได้ แม้สมองสั่งการบังคับ ร่างกายก็ทำท่าจะไม่ขยับ
เชิงไทถึงตัวเกาทัณฑ์ก่อน เขาใช้มือหนึ่งยันหัวไหล่ของฝ่ายนั้นให้ลุกขึ้น อีกมือดึงโครงเหล็กที่พาดขวางออกไปทางด้านข้าง
“เป็นไงวะ?”
“ซี่โครงน่าจะหัก อาจจะหลายซี่”
เมื่อเห็นเพื่อนตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เรือนแก้วก็โผตามมาอย่างมีสติและเรี่ยวแรงแห่งความห่วงใย ทรุดเข่าลงข้างร่างที่ใหญ่กว่าตน พยายามสอดแขนเข้าใต้รักแร้ด้านซ้ายของเขา ในขณะที่ด้านขวาได้เชิงไทก้มตัวช่วยประคอง
ทั้งสองขยับพร้อมกัน ดันไหล่ขึ้นโดยไม่ต้องนัดหมาย แม้ทุลักทุเล ก็ประคองกันแบบครึ่งลากครึ่งยก ลงมาตามบันไดที่เปรอะเปื้อนด้วยเศษฝุ่นและผงปูนหนาเตอะ
“อย่าเพิ่งเป็นลมนะมึง!”
เชิงไทพึมพำลอดไรฟันเสียงแข็ง เกาทัณฑ์กัดฟันสูดลมหายใจลึกเพื่อฝืนเดิน แม้สีหน้าจะบ่งบอกว่าชาไปทั้งซีกตัวแล้วก็ตาม
ลงถึงชั้น ๖
ขณะนั้น พื้นตึกฝั่งเลานจ์ที่เอียงอยู่ ทำให้โครงสร้างรับน้ำหนักของฝั่งนั้น ถึงจุดเสียศูนย์อย่างสมบูรณ์ เกิดแรงเคลื่อนถ่ายจากซีกหนึ่งของอาคารไปยังอีกซีกแบบฉับพลัน เสียงดังชวนสะดุ้งราวฟ้าผ่าเปรี้ยงใกล้ตัว
ทั้งสามคนหันขวับตามเสียง แล้วก็เห็นมัน ผนังบันไดที่ชิดฝั่งเลานจ์แหกตัวออกเหมือนกระดาษชุบน้ำ เสียงเสาเหล็กหักแปร๊ดราวการกรีดร้องของเปรตในเตาไฟ และแล้วแถบอาคารฝั่งนั้นก็ถล่มลงไปเป็นแท่งขนาดยักษ์แตกทลายใส่พื้นราบ
จากผนังกั้นทึบเมื่อครู่ บัดนี้กลายเป็นอากาศและท้องฟ้าเวิ้งว้างทันตา ฝุ่นหนาพวยพุ่งขึ้นจากช่องลึก ทั้งหมดปิดจมูก ปิดปาก ปิดตาแน่น
เมื่อผนังหาย ก็เผยเสียงกรีดร้องระงม เสียงครืนโครมนรกแตกของตึกถล่มปะทะแก้วหูแบบไร้เครื่องกั้น มองไปบนถนนเห็นฝุ่นหนาหนักปกคลุมทุกทั่วอาณาบริเวณ นอกเขตฝุ่นมีพนักงานในยูนิฟอร์มศานติธาน ๕-๖ คน วิ่งกระเจิดกระเจิงไม่รู้ทิศรู้ทาง ผู้ที่อยู่ในรัศมีปลอดภัยไกลออกไป กำลังจ้องนิ่งราวกับถูกสาปให้จดจำชั่วชีวิต ถึงการหายไปของอาคารที่ทำงานตรงหน้า
แลเบื้องล่างเห็นลานคอนกรีตหน้าอาคาร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรเคยเป็นจุดปลอดภัย บัดนี้กลายเป็นมหันตภัยกดทับสรรพชีวิตไว้ทั้งเป็น ภายใต้กองพะเนินของเศษซากก้อนปูนมโหฬาร รวมๆกันขนาดหลายพันลูกบาศก์เมตร
สามหนุ่มสาวยืนตะลึงด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะได้เห็นโลกาวินาศปรากฏอยู่ต่อหน้าจริงๆ
“วิ่งเลย! ทั้งสองคน ไม่ต้องห่วง พยุงแบบนี้เดี๋ยวตายกันหมด”
เกาทัณฑ์จุกเสียดแน่นเกินทน สั่งเสียงแหบ และหมายความตามนั้น เพราะรู้สึกว่าถ้าเพื่อนทั้งสองวิ่งเต็มที่ ระยะทางเหลืออีก ๕ ชั้น โอกาสรอดยังพอมี แต่หากต้องรอเขากะโผลกกะเผลก โอกาสตายด้วยกันทั้งหมดมีสูงกว่า เนื่องจากตึกสูงที่เสียสมดุลซีกหนึ่งแล้ว จะเกิดอาการล้าของโครงสร้าง แล้วพังเองจากน้ำหนักที่กระจุกตัว
“ให้กูยกขึ้นพาดบ่าดีไหม?”
“ไม่ได้…” เกาทัณฑ์ปฏิเสธ “ถ้าโดนแรงกดจากการพาดบ่าแล้วซี่โครงทิ่มปอด กูจะขยับไม่ได้แล้วอาจตายในไม่กี่นาที มึงไปเถอะ กูจะหาทางคลานลงไปเอง เวลาอาจยังเหลือพอ ถือว่ากระจายความเสี่ยงตายออกไป ไม่งั้นพยุงแบบนี้คือเสี่ยงตายเท่ากันหมด”
“ตายก็ตายด้วยกันสิวะ!”
เชิงไทสวนแบบเลือดเข้าตา
“ขอเถอะเชิง! ไหว้ล่ะ! ฝากพาแอ้ไปให้ถึงพื้นด้วย กูซาบซึ้ง แต่อย่ามาตายโง่ๆด้วยกัน”
“ไม่!” เรือนแก้วกรีดเสียงแหลมใส่เขา น้ำตาไหลเป็นสาย “ไปเกิดใหม่ด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ!”
เกาทัณฑ์ไม่ได้แข็งแรงพอจะปฏิเสธผลักไสเพื่อน เมื่อทั้งสองยังดันทุรังพาโขยกเขยกต่อ เขาจึงจำต้องทนให้ลากไป
ลงถึงชั้น ๕
เรือนแก้วสะดุ้งโหยง เมื่อเศษปูนเล็กกว่าฝ่ามือที่มีมุมแหลมด้านหนึ่ง ร่วงปักลงตรงข้างกระหม่อม ปวดแสบวาบเหมือนถูกมีดสะกิด ใช้มือข้างที่ว่างแตะตรงที่เจ็บ พบเลือดสดเปื้อนปลายนิ้ว โลกเอียงชั่ววูบ แต่เธอยังรู้สติดี ไม่มีเวลามึน ได้แต่ขบริมฝีปากก้าวต่อไป
ลงถึงชั้น ๔
เกาทัณฑ์เจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้งที่หายใจ จึงหายใจด้วยความฝืนจนสมองเริ่มขาดออกซิเจน แววตาเหมือนคนที่พยายามฝืนอยู่กับโลกต่อได้อีกแค่ไม่กี่นาที จากการต้องเกร็งลำตัวเพื่อให้เคลื่อนไหวไปได้กับเพื่อนๆ และยิ่งทรมานใจเมื่อรู้ว่าตนเป็นตัวถ่วงความปลอดภัยของเพื่อนแท้ทั้งสอง
ลงถึงชั้น ๓
ทั้งเชิงไทและเรือนแก้วเนื้อตัวอ่อนล้าเกินทน ต้องวางร่างคนเจ็บลงพิงผนังชั่วคราว ด้วยความตั้งใจว่าเดี๋ยวจะได้ตั้งหลักใหม่อีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันได้สูดลมหายใจครบเฮือก เสียงแกร๊กก็ดังลั่นจากเพดานเหนือหัว เศษปูนก้อนใหญ่ยาวราวหนึ่งศอก ร่วงลงมาราวกับข้าศึกศัตรูเล็งยิง มันดิ่งลงหาตำแหน่งศีรษะของเชิงไทพอดิบพอดี เกิดเสียงกระแทกคล้ายทุบมะพร้าวตุ้บ สั้น หนัก และพอสิ้นเสียง ร่างของเชิงไทก็ทรุดลงข้างเกาทัณฑ์ กลายเป็นศพหัวแบะทันที ไร้สุ้มเสียงล่ำลาใดๆ
เรือนแก้วหวีดร้องไม่เป็นภาษา แต่มันถูกกลืนหายไปในเสียงอัดลมจากชั้นบนที่ตามซ้อนมาอีกระลอก ฝ่ายเกาทัณฑ์เห็นภาพทั้งหมด แต่เจ็บอกไร้เสียงร้อง สมองชาจนมืองอเท้างอ เฉยนิ่งราวไร้ชีวิตจิตใจ ทั้งที่เพื่อนรักสิ้นชีวิตไปต่อหน้าต่อตา
ยามนี้เขาได้แต่คิดว่า เดี๋ยวก็คงถึงตาตัวเองโดนบ้าง ถ้ามัจจุราชจะทอดลูกเต๋าเอาชีวิตกัน มนุษย์ตาดำๆจะไปเลี่ยงหลบอย่างไรได้
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เพดานเหนือศีรษะ เกิดการแตกลั่นขึ้นมาอีกระลอก เสียงเหล็กดังเสียดสีกันก่อนจะสะบัดหลุดลงมา เส้นหนึ่งร่วงฟาดขอบราวบันได ปึ้ง! สะเทือนถึงตับไต อีกเส้นกระแทกพื้นขั้นล่างสุด ร่วงเฉียดตัวเรือนแก้วไปไม่ถึงสองคืบ
นั่นเอง หญิงสาวจึงเกิดสติขึ้นมา กลั้นใจแบบยอมทุ่มถวายทุกอย่างในชีวิต ใช้ร่างสูง ๑๗๒ เซนติเมตรของตนช้อนร่าง ๑๘๔ เซนติเมตรของเกาทัณฑ์อย่างไร้ผู้ช่วย
ฝ่ายชายหนุ่มเห็นแล้วว่าเพื่อนสาวไม่ยอมทิ้งตนเพื่อเอาตัวรอดตามลำพังแน่ หากเขาอยู่เฉย เธอจะพลอยเป็นศพติดอยู่ในซากตึกถล่มไปด้วย จึงรวบรวมพลังกายพลังใจหยัดร่างลุกขึ้นเดิน แบบไม่ไหวก็ต้องไหว
ลงถึงชั้น ๒
จิตของเรือนแก้วประหวัดถึงเชิงไท จึงหลุดสะอื้นฮัก แล้วจากนั้นก็ร้องไห้โฮ แทบไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวไหนแน่ เศษปูนร่วงลงมาถี่ขึ้น แต่โดยมากยังเป็นก้อนเล็ก และนับว่าดวงดีที่โดนแต่ละครั้งแค่ไหล่หรือถากศีรษะ
ฝ่ายเกาทัณฑ์เจ็บจนหน้ามืด โงนเงนอยากล้มตกบันไดให้ตายๆไป แต่ก็รู้ว่าถ้าล้มตอนนี้ จะมีผลทางจิตใจให้เรือนแก้วทอดอาลัย ไร้กำลังไปให้ถึง ทั้งที่เหลืออีกแค่ชั้นเดียว
ตรงนั้นไม่มีบันไดเวียนต่อ แต่เป็นบันไดตรงช่วงสุดท้าย ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้น เกาทัณฑ์ก็รู้สึกเหมือนร่างตนเรียกแรงเฮือกสุดท้ายขึ้นมาได้ จึงฉวยจังหวะนั้นเร่งซอยเท้าเพื่อลงถึงชั้นล่างให้เร็วที่สุด คิดเผื่อไว้ว่า ถ้าเร่งแล้วพลาดกลิ้งหลุนๆลงไป จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้เรือนแก้วต้องออกแรงพยุงอีก กลิ้งในระยะแค่นี้คงไม่ถึงขั้นคอหักตาย
แต่เมื่อใกล้ถึงพื้น เขากลับรู้สึกเสียดแทงแปลบหนักกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด ราวกับหนามยักษ์ทิ่มตำจุดอ่อนในอกซ้าย กระดูกที่หักเหมือนขยับซ้ำ ชายหนุ่มถึงกับร้องอ๊าก เข่าทรุดฮวบขณะย่ำเท้า ซึ่งหญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็หยุดร้องไห้กึก รีบกลับตัว คว้าราวบันได พุ่งเข้าต้านด้วยแรงจากทั้งร่าง กึ่งแบกกึ่งดันไม่ให้ร่วง
“อีกสามขั้น… เต้! อีกแค่นี้จริงๆ…” บอกเขา ทั้งที่ตัวเองก็เหนื่อยแทบขาดใจอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว “ค่อยๆก้าวลงมา แอ้จะดันไว้ไม่ให้ล้ม”
เกาทัณฑ์ก้าวลงมาขาสั่นระริก เรือนแก้วหมดแรงและรู้สึกเหมือนร่างใกล้แหลก แต่อึดใจต่อมา เท้าทั้งสองก็แตะพื้นจนได้ เหมือนทุกอย่างเลื่อนลงมาให้เองมากกว่าจะมีสติสั่งการแบบรู้เนื้อรู้ตัว
พอยืนที่พื้น ก็เหมือนมีฐานให้หยัดเรียกกำลังคืน หญิงสาวหันหลังกลับมา โล่งอก ยิ้มออกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ พยุงเขาเดินต่อไปยังประตูที่เห็นๆอยู่แค่ไม่กี่ก้าวนี้
เรือนแก้วหอบหายใจแรงจนอกสะท้าน เอียงตัวเข้าประตู แล้วพุ่งแขนซ้ายออกไปผลักสุดแรงด้วยความหวังทั้งชีวิต
บานประตูยอมเปิดออกพร้อมเสียง เอี๊ยด! เหมือนกำลังเปิดทางให้พวกเขารอดพ้นจากแดนอบาย แต่แล้วจังหวะนรกก็บังเกิด เสียงคำรนครืน ดังสะเทือนเหนือศีรษะราวกับคำพิพากษาครั้งสำคัญ ตามด้วยแรงสะท้อนกลับจากโครงสร้างที่เคลื่อนตัว โครงเหล็กที่ยึดวงกบเอียงยวบลง บิดตัวเหมือนแผ่นเนื้อมีชีวิต
แล้วก็... ปึ้ง!
บานประตูเหล็กที่เพิ่งถูกผลักเปิด เหวี่ยงกลับเข้ามาด้วยความโหดเหี้ยม ราวกับเป็นการกลั่นแกล้งเอาสนุกของปีศาจอำมหิต ที่เล่นงานเหยื่อด้วยใบมีดสวิงในโรงฆ่าสัตว์
คมขอบประตูฟาดเข้าใส่ปลายแขนที่ยื่นค้างของเรือนแก้วอย่างแม่นยำ มันมาพร้อมแรงหนีบที่รุนแรงเทียบเท่าเครื่องตัดเหล็ก ดังสนั่นดุจเสียงหัวเราะเยาะของพรานร้ายผู้กำชัย ในนาทีที่หลอนหลอกผู้เป็นเบี้ยล่างให้ตายใจได้แล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนสมองของเรือนแก้วไม่ยอมให้เชื่อว่านั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตนเอง จึงอ้าปากค้าง ไม่ร้องสักแอะ กระทั่งรู้สึกเหมือนแขนซ้ายโดนขวานฟันรอบข้อกระดูก เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส เลือดทะลักออกมาเป็นลิ่มๆ แล้วแปรเป็นชาไร้ความรู้สึก
ทุกสิ่งดับวูบลง ราวกับชีวิตไม่เหลืออะไรให้ต้องคิดอีกแล้ว!