เกาทัณฑ์แยกไม่ออกว่าภาพเสียงพร่าเลือนที่เกิดขึ้นเป็นห้วงๆ และดับไปเป็นวูบๆเหล่านั้น คือเรื่องจริงหรือฝันไป ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างเห็นด้วยตาเปล่า กับจินตนาการมั่วๆไปเองอยู่ในหัว
คล้ายมีเขาอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าเดิม แยกออกมาคุมหลัง มองตนเองกัดฟันประคองเรือนแก้วไม่ให้ล้มจากภาวะช็อก ลากเธอถูลู่ถูกังจากแนวตึกที่กำลังจะพังลงทั้งหมด
คงเป็นการประสานความร่วมมือกัน ระหว่างสมาธิจิตกับพละกำลังจากสารเคมีแห่งการเอาชีวิตรอดเช่นอดรีนาลีน ที่ขยายขีดความสามารถเกินเพดานจำกัดเดิม และเกิดภาวะแยกร่างออกจากระบบประสาทรับความเจ็บปวด เหมือนธรรมชาติให้ยืมร่างปลอมมาเอาตัวรอดชั่วคราว
วูบของการรับรู้หนึ่ง เขาเห็นตัวเองหมดแรง ทรุดลงนอนแนบกับพื้นข้างหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนตาย คล้ายคิดว่าถ้าทุกอย่างต้องจบลงแค่นี้ก็ไม่เป็นไร ขอนอนตายด้วยกันที่นี่ก็พอ
วูบของการรับรู้ต่อมา เขาเห็นเจ้าหน้าที่ศานติธานวิ่งมาถึง และหามเขากับเธอขึ้นรถพยาบาลฉุกเฉินคันเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสามคันที่ศานติธานมีอยู่
อีกวูบหนึ่งของการรับรู้ เขาได้ยินเสียงประเมินอาการเบื้องต้นจากเตียงฝั่งของเรือนแก้วว่า ‘หยุดหายใจ’ ซึ่งเขาอุตส่าห์หมุนคอไปมองเห็นเจ้าหน้าที่ใช้สายรัดห้ามเลือดที่ต้นแขนซ้ายของเธอได้ กับทั้งแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า กระดูกซี่โครงของเขาหักด้วย
จากนั้นเกาทัณฑ์ก็รู้สึกเบาหวิวคล้ายวิญญาณจะหลุดจากร่าง รับทราบว่ารถพยาบาลที่ตนนอนอยู่ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าจุดหมายปลายทางคือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อช่วยกู้ชีพของเรือนแก้วให้ทันการณ์
รู้สึกตัวกระท่อนกระแท่นอีกที เปลือกตาหนักจนเปิดขึ้นมาไม่ไหว ได้ยินแต่เสียงคุยไม่ได้ศัพท์ มีการเอกซเรย์ มีการฉีดยา มีการพันผ้าตรึงทรวงอก จากนั้นก็สะลึมสะลือเลอะเลือน กระทั่งหมดสติไปอีก
เกาทัณฑ์เริ่มรู้สึกตัวเต็มที่ช่วงเกือบสี่ทุ่มของวันเดียวกัน ยังขยับตัวลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก ทว่ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จดจำทุกเหตุการณ์ก่อนหมดแรงได้ครบถ้วน
พยาบาลสาวที่ถูกจ้างมาเฝ้าไข้เป็นกรณีพิเศษ เงยหน้าจากมือถือของเธอ เมื่อเห็นเกาทัณฑ์กะพริบตาช้าๆและหันมาสบกับเธออย่างมีสติก็รีบเอ่ยถาม
“คนไข้ชื่ออะไรคะ… ตอบได้ไหม?”
“ผม…” เขาทราบว่านั่นเป็นการทดสอบ แล้วก็ไม่รู้สึกลำบากที่จะตอบ “เกาทัณฑ์”
“คุณอยู่ที่ไหน มาที่นี่ได้ยังไงทราบไหมคะ?”
“ผมหนีออกมาจากตึก… ที่นี่คงเป็นโรงพยาบาลในเมือง ไม่ใช่แถวลำลูกกาใช่ไหมครับ?”
เขาดูสภาพห้องแล้วตอบยาวได้เป็นปกติ แสดงถึงความสามารถจำแนกแยกแยะได้ดีเยี่ยม แม้เจ็บซี่โครงขึ้นมาบ้าง ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการพูดนัก
“ขอวัดชีพจรและความดันหน่อยนะคะ”
เธอจัดการทุกขั้นตอนตามหน้าที่ จากนั้นจึงออกจากห้องเพื่อตามหมอ ไม่ถึงห้านาทีต่อมา แพทย์ชายวัยประมาณห้าสิบในชุดกาวน์สะอาดก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณเกาทัณฑ์ ผมหมอวิศาล เป็นแพทย์เจ้าของไข้นะครับ คุณฟื้นได้เร็วมากเลย”
เกาทัณฑ์ขยับตัวเล็กน้อย เจ็บหน้าอกจนต้องนิ่งอยู่ท่าเดิม แต่ยังพยักหน้าเล็กๆ เป็นการรับคำ
“ขอบคุณครับหมอ”
“โดยรวมถือว่าไม่น่าเป็นห่วงนะครับ ดีที่ตอนอยู่ในรถฉุกเฉินคุณยังบอกได้เองว่าซี่โครงด้านขวาหัก การพยุงร่างกายจึงทำได้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ถ้าไม่รู้ไว้ก่อนแล้วขยับแรงๆ อาจเกิดอันตราย กระดูกทิ่มปอดได้”
“ตอนนั้นผมสภาพเหมือนผีดิบพูดได้ครับ แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูด”
“จากผลเอกซเรย์และอาการโดยรวม เราเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องผ่าตัดดามเหล็กครับ แค่ระวังการเคลื่อนไหว พักให้เพียงพอ รอให้กระดูกประสานเองตามธรรมชาติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๔ ถึง ๖ สัปดาห์ เดี๋ยวเราจะเริ่มกายภาพเบาๆให้ในอีกไม่กี่วันครับ”
เสียงของหมอนุ่มนวล เกาทัณฑ์รับฟังนิ่งๆ ทว่าคำแรกที่ถามคือ
“ผู้หญิงที่ขึ้นรถมาด้วยกันกับผม ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับหมอ?”
“โชคดีที่ได้รับการช่วยชีวิตไว้ทันท่วงทีในชั่วโมงแรก จากโรงพยาบาลท้องถิ่นใกล้จุดเกิดเหตุนะครับ ที่นั่นไม่มีอุปกรณ์และทีมเฉพาะทางสำหรับการดูแลระยะยาว พรรคพวกของคุณเลยประสานขอส่งตัวต่อมาที่นี่ ทันทีที่อาการเริ่มคงที่ครับ ตอนนี้พูดง่ายๆว่าเธอปลอดภัยแล้ว”
เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกที่สุดในชีวิต เขาปิดตาลงขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสากลจักรวาลเป็นครั้งแรก ดีใจยิ่งกว่าตัวเองรอดตาย
“ถ้าเธอตาย ผมคงทนไม่ไหว ผมรอดมาได้เพราะเธอแท้ๆ”
“อย่าห่วงครับ เธอปลอดภัยแน่นอน ตอนมาถึงอยู่ในภาวะช็อกจากการเสียเลือด ต้องตัดปลายแขนซ้ายทิ้งเพื่อรักษาชีวิต ตอนนี้ยังไม่ฟื้น แต่สัญญาณชีพคงที่ และเรากำลังดูแลอย่างใกล้ชิด”
คำว่า ‘ต้องตัดปลายแขนซ้ายทิ้ง’ ของหมอ เปลี่ยนความยินดีปรีดาของเกาทัณฑ์ให้กลายเป็นเศร้าโศกสุดใจ เขาปิดตาลงช้าๆ หายใจลึกเพื่อกลั้นพายุอารมณ์ที่ซัดกลับมาพร้อมภาพจำสะเทือนอก
เธอเสียแขนเพราะต้องการรักษาชีวิตเขาไว้ เขาจะหาทางทดแทน!
“หมอจะดูอาการผมประมาณไหน ก่อนอนุญาตให้ทำอะไรได้ตามปกติ?”
“เราจะดูการฟื้นตัวของปอด ต้องควบคุมความเจ็บจากกระดูกซี่โครงหักอีกสักระยะ และถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม ก็อาจพิจารณาย้ายไปห้องพักฟื้นธรรมดาใน ๔๘ ถึง ๗๒ ชั่วโมงได้”
“ถ้าพรุ่งนี้ผมไปงานศพเพื่อน จะมีปัญหาไหม?”
“ได้ครับ!” หมอวิศาลเข้าใจและเห็นใจ “แต่ต้องมีรถเข็น และมีทีมจากโรงพยาบาลไปด้วย เดินเองไม่ได้เด็ดขาด เพราะแรงกระเทือนตอนเดิน กับการทรงตัวที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแกนกลาง อาจทำให้เจ็บแผลและหายช้าลง”
“ผมจะปฏิบัติตามที่หมอบอกทุกอย่าง… พ่อแม่ผมคงมาที่นี่แล้วใช่ไหม?”
“อยู่ในห้องพักญาติที่บริษัทคุณเปิดไว้ให้เป็นพิเศษครับ เหมือนจะมีคนห่วงใยคุณมากมาย ทางบริษัทคุณได้ส่งบอดี้การ์ดมายืนที่หน้าประตูห้องและคุมทั้งชั้นไว้เกือบสิบคนด้วย”
“ต้องขนาดนั้นเลยหรือ?”
“บริษัทของคุณอธิบายว่า เนื่องจากเป็นกรณีอ่อนไหวที่ยังไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงจำเป็นต้องมีหน่วยอารักขามาทำหน้าที่ อันนี้เป็นคำสั่งตรงจากเจ้านายใหญ่ของคุณ”
“อ้อ! โอเค! ผมเข้าใจแก”
“จะให้ญาติๆเข้ามาเยี่ยมเลยไหมครับ? คุณพ่อคุณแม่ขอไว้ว่าเมื่อคุณฟื้น ก็ขอพบทันที และอยากให้มีญาติเฝ้าไข้ด้วย”
“เดี๋ยวผมต้องโทร.รายงานตัวด่วนกับเจ้านายก่อนเป็นอันดับแรก เสร็จแล้วจะโทร.เรียกพ่อแม่เองนะครับหมอ”
“ถ้าเจ็บปอด ไม่มีเสียง หรือรู้สึกจุกเสียดมาก อย่าฝืนนะครับ ผมขอว่าการพูดคุยทั้งหมดอย่าเกิน ๑๐ นาที เพราะระยะนี้เราควรห่วงเรื่องลมรั่วในปอดหรือปอดแฟบเหนือสิ่งอื่นใด”
“ครับหมอ!”
จากนั้นนายแพทย์วิศาลก็ขอตัวเดินออกจากห้องไป เกาทัณฑ์ถอนใจเบาๆ ยกมือถือขึ้นดูหน้าจอ แต่แทนที่จะโทร.หาเจ้านายของบริษัท เขากลับให้ความสำคัญกับเจ้านายของหัวใจก่อน
“พี่เต้!”
เสียงใสด้วยอารมณ์ดีใจ ดังมาจากปลายสายแทบทันที แสดงถึงความมีใจจดใจจ่อยิ่ง
“พี่แค่โทร.มารายงานตัว เผื่อว่าแพจะห่วง” เขาขึ้นต้นด้วยสุ้มเสียงรื่นรมย์ “อาการพี่นับว่าดีมาก แต่บอกเลยว่าตอนนี้ยิ่งดีขึ้นอีก เมื่อได้ยินแพเรียกพี่ด้วยความดีใจ”
อีกฝ่ายเงียบอย่างเขินๆที่จะโต้ตอบ แม้จะยอมรับสถานะคนรักทางวาจา แต่ความคุ้นเคยระหว่างใจจริงๆนั้น คงต้องกินเวลาตามธรรมชาติของการคบหากันในชาติใหม่อีกระยะ
“ปู่ว่าไงมั่ง?”
“ก็เป็นห่วงสิคะ”
“ห่วงแล้วท่านจะส่งตัวแทนถือดอกไม้มาเยี่ยมบ้างไหม?”
หญิงสาวเงียบเสียงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยสั้นๆ
“พรุ่งนี้จะไปเป็นตัวแทนให้ปู่แล้วกันค่ะ”
“คืนนี้มานอนเฝ้าไข้แทนพยาบาลได้ไหม?”
“โอ้โห่!”
แพตรีร้องเบาๆ เกาทัณฑ์หัวเราะครึ้มแบบไม่กลัวเจ็บแผล น้ำเสียงของเธอช่างน่ารักน่าพิศวาส
“แพนี่เหมาะจะเป็นนางในฝันจริงๆนะ”
จู่ๆเขาก็นึกอยากชมเช่นนั้น
“พี่บาดเจ็บยังไงบ้างคะ?” นางในฝันถามมาอีกทาง “ข่าวบอกแค่ว่า ผู้บริหารใหญ่ของศานติธานรอดจากตึกถล่ม แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“ซี่โครงหัก แต่ไม่ทิ่มปอด โชคดีที่ไม่มีการกระทบกระแทกซ้ำ ถือว่าปาฏิหาริย์มากๆ ตอนอยู่ในที่เกิดเหตุ พี่เจ็บจนเคลื่อนแทบไม่ไหว จุกเสียดแน่นไปหมด นึกว่ากำลังจะตายเสียอีก”
เขาเล่ารวบรัดที่สุด ซึ่งเมื่อเธอทราบเข้าก็อึ้งไปครู่
“ซี่โครงหัก ยังไงก็ไม่ควรคุยนานนะคะ”
“คุยกับคนบางคน ยิ่งนานยิ่งหายเร็ว”
“พักฟื้นเถอะค่ะ อย่าทำเป็นเก่ง ไว้พรุ่งนี้แพไปเยี่ยมแล้วกัน โรงพยาบาลไหนห้องอะไร?”
เกาทัณฑ์บอกชื่อโรงพยาบาลไป โดยอาศัยความจำจากที่เห็นโลโก้บนอกเสื้อกาวน์ของหมอวิศาล ส่วนเลขห้องก็ชะโงกดูสติ๊กเกอร์เบอร์ภายในที่แปะอยู่บนเครื่องโทรศัพท์โต๊ะข้างเตียงเอา
“พรุ่งนี้มากี่โมง?”
“สอนเสร็จแล้วไปค่ะ”
ชายหนุ่มคิดนิดหนึ่ง นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเป็นช่วงนั้น เขาน่าจะกำลังอยู่ในงานศพของเชิงไท จึงเอ่ยว่า
“ลืมไปว่าพรุ่งนี้แพทำงาน แล้วถ้าเป็นช่วงเย็นพี่คงต้องไปงานศพเพื่อน เขาหนีมาด้วยกันกับพี่ แต่ไม่รอด”
“ค่ะ… เสียใจด้วยนะคะ งั้นแพไปเยี่ยมพี่มะรืนนี้ ช่วงเช้าวันเสาร์ก็แล้วกัน”
“ขอบใจมากนะแพ” บอกเธอจากความรู้สึกอบอุ่น “คืนนี้ขอจุ๊บหน้าผากราตรีสวัสดิ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่วันมะรืนจะขออนุญาตจุ๊บของจริงทีนึงนะ”
เขาขอดื้อๆ และสัมผัสได้ว่าเธอเกร็งหน่อยๆ
“แล้วเจอกันค่ะ”
นั่นคือคำตอบเบาๆ จากนั้นก็ตัดสายไป ทิ้งให้เขายิ้มรอวันมะรืนอย่างหมายมั่นปั้นมือไปคนเดียว
จากนั้น ชายหนุ่มก็สลับอารมณ์อย่างรวดเร็ว รอยยิ้มบางๆกับแววตาหวานๆหายไป กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังเมื่อกดปุ่มลัดเพื่อต่อสายหานายใหญ่ ทราบดีว่าต่อให้ฝ่ายนั้นกำลังประชุมธุระสำคัญอยู่กับใครที่ไหน อย่างไรก็ต้องรีบรับแน่ เมื่อเห็นสายเรียกจากเขาในนาทีนี้
“ไฮ! ไอ้ลูกชาย!”
เสียงทักห้าวๆนั้นเผยความตื่นเต้นยินดีชัดเจน
“สวัสดีครับดอกเตอร์แมกซ์”
เกาทัณฑ์ทักตอบอย่างสุภาพ จริงๆแล้วที่เฮดควอเตอร์ไม่มีใครเรียกกันด้วยคำนำหน้าว่า ‘ดอกเตอร์’ เลย แม้จะมีดอกเตอร์กับศาสตราจารย์ดังๆเดินกระทบไหล่กันเต็มไปหมด เพราะตามวัฒนธรรมของบิ๊กเทคทั้งหลายในปัจจุบัน คำนี้สงวนไว้สำหรับบุคคลระดับตำนานเท่านั้น ซึ่งก็หมายรวมถึงดอกเตอร์แม็กซิมิเลี่ยน ควอนเทนบาคเข้าไปด้วยคนหนึ่ง
“อาการเป็นไงมั่ง?”
น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยส่วนตัว ไม่ใช่เพียงแค่เห็นเขาเป็นสมบัติสำคัญของบริษัทสถานเดียว
“โดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยครับ” แล้วเขาก็ตัดบทเข้าประเด็น “ได้ยินว่าข่าวกำลังดัง?”
“ตีข่าวกันทั่วโลกเลยแหละ เพราะเป็นข่าวแปลก ไม่เคยมีวินาศกรรมถล่มทั้งตึกซึ่งเป็นอาคารผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างนี้มาก่อน”
“เขาเสนอข่าวกันอย่างไรหรือครับ?”
“หลายสื่อพาดหัวว่า ‘Terror in the Tranquil Place’ แล้วก็เอาคลิปที่มีคนถ่ายด้วยมือถือขณะตึกกำลังถล่มมาเปิดวน”
“สำนักข่าวได้สัมภาษณ์คุณไปบ้างหรือยัง?”
“ฉันพูดไปนิดเดียวว่า พวกเรายังงงกันอยู่มาก ขอมีข้อมูลมากกว่านี้สักหน่อย หายงงแล้วจะแถลงข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน”
“ใช่! ผมงงจริงๆ” เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอย่างจนท่า “มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเป็นคนทำ แล้วจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร”
แม็กซิมิเลียนเงียบ เป็นปฏิกิริยาเงียบอั้น ซึ่งจัดว่าผิดสังเกตมาก ถ้าหากเอาตามวิสัยเจ้านายที่พบความเสียหายของโปรเจกต์สำคัญ ฝ่ายนั้นน่าจะถามแหลก ไล่เบี้ยเขาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในท้องถิ่น แต่นี่เหมือนคนเร้นความคิดซับซ้อน เยี่ยงผู้กำคำตอบ หรือกุมความลับสำคัญไว้ในมือเสียเอง
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้อมูลวิจัยนะครับ มีการอัพเดตแบบเรียลไทม์ขึ้นเซิร์ฟเวอร์ที่เฮดควอเตอร์ตลอด พร้อมที่จะทำงานต่อทันทีที่ผมหายดี”
นั่นเป็นมาตรการที่ทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว เกาทัณฑ์แค่อยากลองโยนหินก้อนใหม่เพื่อฟังเสียงสะท้อนจากก้นเหวว่าลึกแค่ไหน
“ไม่ต้องไปพูดถึงหรอก โปรเจกต์นั้น” ชายชราปัด “เธอน่าจะรู้ว่าเรายังทำอะไรต่อในช่วงนี้ไม่ได้ ผู้ป่วยพร้อมญาติๆตายไปกันเกือบยกตึก ต้องมีประเด็นสืบสวนสอบสวนกันอีกยาว ยังไงก็ต้องโยงเข้ากับโปรเจกต์ของเธอแน่”
“ครับ! ดอกเตอร์แม็กซ์ งั้นเราคงต้องรอกันอีกหลายปี กว่าจะรื้อฟื้นโปรเจกต์ได้”
“ไม่ต้องแล้ว!” ฝ่ายนั้นพูดเสียงเข้มขึ้น “จะไม่มีการรื้อฟื้นโปรเจกต์นี้ขึ้นมาอีก!”
คราวนี้เกาทัณฑ์อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง สัมผัสได้ถึงความโกลาหลในหัวของผู้เป็นนาย ทราบได้ทันทีว่ามีเบื้องหลังที่ใหญ่ทะมึนดุจปีศาจร้าย และแม็กซิมิเลียนก็รู้จักปีศาจตนนั้นดี!
“ผมมีสิทธิ์รู้ไหมครับว่า เบื้องหลังของเรื่องนี้คืออะไร?”
ชายหนุ่มถามตรงๆ
“อือ…” น้ำเสียงแผ่วของดอกเตอร์แม็กซ์บอกภาวะจำยอม “เธอเกือบตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ฉันไม่สมควรปิดบังให้คาใจ แต่ขอให้รู้ว่าถ้าเบื้องหลังของเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชีวิตเราสองคน ตลอดจนผู้คนแวดล้อม จะไม่ปลอดภัยอีกเลย!”
“ครับ! ดอกเตอร์แม็กซ์” เกาทัณฑ์ย่นคิ้ว “ผมสัญญาว่ารู้แล้วจะไม่ปริปากบอกใคร แม้แต่พ่อแม่ตัวเอง”
“เธอรู้จักศาสนาเวอเรี่ยนไหม?”
“รู้จักสิครับ”
“รู้จักดีแค่ไหน?”
“ตั้งแต่ก่อนมาทำงานที่จีเนติกโอ๊ธ ผมเคยเห็นคลิปที่คุณกล่าวชื่นชม แล้วก็ทราบว่ามีนักวิทยาศาสตร์ดังๆอีกหลายคน ตบเท้าร่วมพาเหรดมากับคุณด้วย แต่… ผมเคยแปลกใจเหมือนกันที่ไม่เห็นคุณเอามาเชิญชวนในห้องประชุมระหว่างพวกเรากันเองเลย”
“ก็อย่างนั้นแหละ กับกลุ่มนี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งผู้หนุนหลัง ผู้สร้างความเชื่อ ไม่ใช่สาวกที่เห็นดีเห็นงามตามผู้บริหารรุ่นใหม่ เอาจริงๆ หลังสิ้นพระแม่เจ้าเวอเรี่ยน ฉันมองว่าพวกนี้ก็แค่องค์กรแสวงหากำไรจากการสร้างศรัทธาใหม่เท่านั้น”
“เอ่อ… แล้วทำไมคุณถึง…”
“ทุนวิจัย เส้นสาย และการโปรโมตหนังสือที่ช่วยให้ฉันได้รางวัลโนเบล ส่วนใหญ่มาจากศาสนานี้แหละ”
เกาทัณฑ์เลิกคิ้วสูง
“เท่าที่ผมทราบ คุณมีแหล่งทุนไฮเทคหลายรายมาแต่ไหนแต่ไร…”
“นั่นแหละ! ถ้าสืบสาวไปก็จะรู้ว่าแต่ละคนเป็นกลุ่มสมาพันธ์ของเวอเรี่ยนเกือบทั้งสิ้น ทุกคนเล็งเป้าหมายเดียวกันคือจะสร้างศาสนาใหม่ที่มีวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อให้ทันกับยุคสมัย แล้วก็… ใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐานศรัทธา เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายใหญ่”
“เป้าหมายใหญ่ของเวอเรี่ยนคืออะไรหรือครับ?”
“ทำให้คนทั้งโลกเชื่อแบบเดียวกัน!”
ทีแรกเกาทัณฑ์หรี่ตาลง คิดในใจว่า ‘ช่างกล้า!’ แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีก็นึกขึ้นมาได้ว่า ศาสนาส่วนใหญ่ก็ ‘อยาก’ แบบนี้กันทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าใครมีวิธีการอย่างไร บรรลุเป้าแค่ไหน
“คิดแบบนี้ เท่ากับตั้งใจเป็นเจ้าของโลกทั้งใบนั่นเอง”
“จุดเริ่มต้นของทุกศาสนา เกิดจากเจตนาขององค์ศาสดา ซึ่งส่วนใหญ่เป้าหมายดั้งเดิมของพวกท่าน คือการมอบชีวิตใหม่ที่ดีเหนือธรรมดาให้กับคนทั้งโลก”
“ด้วยความบริสุทธิ์ใจ!”
ชายหนุ่มเติมต่อให้ครบ
“อือ! นั่นแหละ… แต่หลังสิ้นศาสดา ทุกศาสนาก็ต้องเผชิญกับอะไรเหมือนๆกันหมด นั่นคือ ต้องมีทีมบริหารเลือดใหม่ มียศศักดิ์ มีอำนาจสืบทอดแทนองค์ศาสดา เสร็จแล้วอยากครองโลกทั้งใบ!”
เกาทัณฑ์ถอนใจ
“ครับ… ได้ครองอำนาจแบบศาสดา โดยไม่มีจิตวิญญาณแบบศาสดาอยู่เลย”
“เวอเรี่ยนยุคใหม่ ถูกปกครองโดยกลุ่มทุน ที่มีทั้งมือสะอาดและมือสกปรก พวกมือสกปรกสามานย์จะเข้าใจคนแบบเดียวกัน ที่ต้องการความเชื่อแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยยืนยันให้สบายใจว่า อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพราะเกิดหนเดียวตายหนเดียว สมองหยุดทำงานเมื่อใด ทุกอย่างก็จบเมื่อนั้น ไม่มีชาติหน้าให้ไปรับผลกรรม ไม่มีพระเจ้า ไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีนิพพานอะไรรออยู่ทั้งสิ้น”
“แล้วเวอเรี่ยนทำแบบนี้กับเราทำไมครับดอกเตอร์แม็กซ์? คุณเป็นพันธมิตรกับเขาแท้ๆ”
“ความเชื่ออันเป็นรากแก่นคำสอนของเวอเรี่ยน คือ มนุษย์เกิดมาจากโลก และจะตายกลับไปสู่โลก พูดง่ายๆคือเกิดหนเดียวตายหนเดียวเพื่อโลกใบนี้ คำสอน ตลอดจน ‘คำสั่งการ’ ทั้งหมดเริ่มต้นจากตรงนี้”
ชายหนุ่มฟังแล้วปิดตาลงอย่างได้ข้อสรุปชัด
“แปลว่าถ้าโปรเจกต์ ‘ขอเลือกเกิด’ ของเราประสบความสำเร็จจริง จุดจบของศาสนาเวอเรี่ยนก็มาถึงสินะครับ…”
“ถ้าเธอเป็นผู้บริหารและกลุ่มทุนของพวกนั้น จะยอมงอมืองอเท้าปล่อยให้อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นไหมล่ะ?”
“ต้องไม่เหลือความเป็นมนุษย์จริงๆ ถึงทำลง”
“ผู้ปกครองศาสนารุ่นใหม่ ก็เหมือนศาสดาใหม่ พวกเขามีอำนาจพอจะดัดแปลงคำสอน หรือกระทั่งแทนที่ศาสดา สามารถบัญญัติข้อความศักดิ์สิทธิ์ใดๆขึ้นมาเป็นข้ออ้างให้สร้างเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ได้ อย่างเช่นสำหรับเวอเรี่ยน ภายใต้ความเชื่อที่ว่า โลกเป็นผู้ให้กำเนิด พวกเราจึงควรมีจิตสำนึกเหมือนลูกที่ระลึกได้ถึงพระคุณแม่ และทำทุกอย่างเพื่อแม่ได้ แม้แต่ถล่มตึกของมารร้ายที่จะมาดึงผู้คนออกห่างจากความภักดีแม่!”
“คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือพวกเขา?”
“หลังเกิดเหตุ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันของเวอเรี่ยน”
“โอ้…”
“ทีแรกเจ้าหมอนั่นทำเป็นแสดงความเสียใจ หวังว่าจะไม่มีเหตุให้ต้องเกิดโศกนาฏกรรมอย่างนี้อีก ซึ่งฉันก็ขอบอกขอบใจไปในฐานะคนกันเอง แต่หลังจากคุยไถลไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไอ้เวรนี่ก็สรุปตบท้ายว่า การค้นคว้าวิจัยเพื่อเปิดโปงความลับเกี่ยวกับเรื่องภพชาติ นับว่าท้าทายเกินไป มันเป็นอันตรายกับชีวิตของทุกคนในจีเนติกโอ๊ธ!”
เกาทัณฑ์มือเย็นเฉียบ เกิดไฟโทสะโหมท่วม เกิดวูบแห่งความอยากหาวิธีตายให้ ‘ไอ้เวรนี่’ เพื่อชำระแค้นแทนเพื่อน แต่วินาทีต่อมาก็คิดได้ว่าถ้าทำอย่างนั้น เขาจะไม่ใช่แค่มีเรื่องผูกเวรกับคนคนหนึ่ง แต่เท่ากับคิดรบกับทั้งศาสนาที่มีคนใจดำปกครองอยู่
พูดง่ายๆ ต้องรบกับกองทัพปีศาจร้ายที่ครอบงำโลกได้แล้วส่วนหนึ่ง!
นึกถึงวันแรกที่เอาไอเดียไปขยายให้ปู่ชนะฟัง แล้วท่านเตือนทันทีให้ระวังสงครามศาสนา อันเกิดจากการยอมไม่ได้ที่จะให้ศรัทธาของฝ่ายตนถูกโค่นล้ม
ตอนนั้นเขาไม่เห็นภาพชัดนัก เพราะคิดแค่ว่าดีเอ็นเอพิสูจน์ภพชาติเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มีหลักฐานให้พิสูจน์ทุกอย่าง แล้วมนุษย์ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้เหตุใช้ผล พอจำนนกับหลักฐาน เดี๋ยวทุกคนก็เงียบและยอมให้ไปเอง ไม่ต่างจากที่ศาลทั่วโลกอนุญาตให้ใช้ดีเอ็นเอเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ลูก
แต่ตอนนี้กระจ่างยิ่ง มนุษย์ไม่ได้ต้องการความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงที่จะมาล้มล้างอำนาจล้นฟ้าล้นดินของตน!
“ศาสนาเวอเรี่ยนน่ากลัวยิ่งกว่าลัทธิซาตานเสียอีกนะครับ เอาความศักดิ์สิทธิ์แบบศาสนา ไปบวกเข้ากับความน่าเชื่อถือแบบวิทยาศาสตร์ โดยให้กลุ่มมนุษย์ขี้เหม็นเป็นคนกุมอำนาจสูงสุด”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความรู้สึกคับแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
“ฉันก็เคยเป็นหนึ่งในผู้เห็นดีเห็นงามตาม เพราะเชื่อว่าเมื่อทำวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นศาสนา อย่างน้อยก็เปิดฟ้าให้ศาสนิกชนเลิกเชื่อแบบงมงายอยู่แต่ในกะลา แต่หลังจากใกล้ชิดผู้ปกครองศาสนาเวอเรี่ยนนานพอ ฉันพบว่าพวกเขาแค่หาทางสร้างกะลาใบใหม่ขึ้นมาครอบตัวเอง ครอบคนอื่นเท่านั้น”
“แค่ทีมการตลาดของเวอเรี่ยนหาทางระดมหัวกะทิในแวดวงไฮเทคมาเป็นภาพลักษณ์ได้ ทุกคำสอนของเวอเรี่ยนก็ดูฉลาดและถูกต้องเสมอ ใครเถียงคือโง่มหันต์สินะครับ”
“ถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่ ‘เถียงคือโง่’ แต่ยกระดับขึ้นมาเป็น ‘ใครขวางทางคือตาย’ ไปแล้ว!”
“อย่างน้อยน่าจะเตือนกันก่อนดีๆ”
“นี่แหละคือวิธีเตือนกันดีๆ ก่อนจะต้องฆ่าล้างโคตรแบบโจ่งแจ้ง!”
“ผมยังติดใจสงสัยนะครับ เวอเรี่ยนเอาข่าวมาจากไหน? ตอนนี้ยังมีคนรู้เรื่องโปรเจกต์เราในวงแคบมาก ก็แค่พวกเราในเฮดควอเตอร์ไม่กี่คน กับผู้ป่วยระยะสุดท้ายและญาติๆ ซึ่งก็ทราบเพียงว่าเราจะค้นคว้าวิจัย แต่ยังไม่มีสิ่งยืนยันใดๆว่าเราจะสำเร็จ ทำไมเวอเรี่ยนถึงต้องเดือดเนื้อร้อนใจล่วงหน้าขนาดขนระเบิดมาถล่มตึกเราอย่างนี้?”
“ที่เป็นไปได้ คือ เขารู้ว่าโปรเจกต์ของเธอ อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของฉัน ฉันทำให้พวกเขาแจ้งเกิดได้ ก็ทำให้พวกเขาดับได้”
“อ้อ!”
“ระหว่างยังทรงพระชนม์ พระแม่เจ้าเวอเรี่ยนท่านขลังพอจะทำให้คนหลายแสนศรัทธาในองค์ท่าน แล้วหลังท่านจากไป ฉันก็มีพลังพอจะขยายความน่าเชื่อถือ เพิ่มสาวกจากหลักแสนให้เป็นหลักร้อยล้านในเวลาแค่สิบกว่าปี เธอคิดดูว่า เมื่อทางนั้นเห็นฉันกลับลำ ทำท่าจะเขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า สร้างหลักฐานใหม่ที่ล้มเสาหลักของศาสนาเวอเรี่ยนได้ เธอว่าเป็นเหตุผลพอให้กลุ่มผู้ปกครองเดือดเนื้อร้อนใจไหมล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ คุณไม่คิดว่าโปรเจกต์ของเราจะเป็นที่ขัดเคืองของพวกเขาหรือ?”
“ตอนอยากพิสูจน์ความจริงแบบนักวิทยาศาสตร์ ฉันไม่มามัวคิดหน้าคิดหลังหรอก… เอาเป็นสรุปนะ ฉันคิดไม่ถึงว่า โปรเจกต์ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่าง พวกนั้นจะจัดหนัก โต้ตอบจริงจังขนาดนี้”
“ครับ! โคตรจริงจัง!”
เกาทัณฑ์แค่นเสียงหนักๆอย่างรู้ซึ้ง เยี่ยงคนเจอเรื่องเข้าตัว
พวกนั้นคิดตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อนสาย และ ‘ไฟ’ ในที่นี้ก็คือชีวิตเขากับชีวิตคนในศูนย์วิจัย!
“ฉันส่งคนติดตาม รู้จากวงในตำรวจไทยว่า ระเบิดถูกดัดแปลงมาจากวัสดุผสมที่ใช้เจาะชั้นหินลึกในโครงการพลังงาน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบหาเบาะแสหรือจับมือใครดม แล้วต้องวางระเบิดอย่างรู้ดีแบบมืออาชีพด้วย ลักลอบเข้ามาทำตอนกลางคืนช่วงปลอดคน เลือกจุดที่แบกน้ำหนักทั้งตึกไว้เพียงจุดเดียว จึงใช้เวลาจัดการไม่นานนัก”
“ต้องเจาะเสาเพื่อฝังระเบิดไม่ใช่หรือครับ ไม่มีใครได้ยินหรือสังเกตเห็นวัตถุผิดปกติเลย?”
“มันใช้เทคนิคแบบ ‘silent embed’ อัดตัวจุดระเบิดเข้าแนวฐานโครงสร้าง ผ่านรูเล็กๆที่เจาะแนบขอบพื้น แล้วอำพรางไว้ให้เหมือนงานซ่อมประปา”
“ถึงตอนนี้ ผมเข้าใจคำว่า ‘ศาสนา’ ทะลุทรวงไปเลย ต่อให้เราคิดดีกับโลกแค่ไหน ก็อาจถูกตราหน้าเป็นปีศาจร้าย และมีความสมเหตุสมผลให้กำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ ขอเพียงขัดแย้งหรือเป็นภัยต่อความเชื่อของใครได้แรงพอ”
“วิทยาศาสตร์คือศาสดาของฉัน” แม็กซิมิเลียนเอ่ยเศร้าๆ “น่าเสียใจที่ฉันนำศาสดาของฉันไปเป็นกระบอกเสียงให้ขบวนการก่อการร้าย”
“ผมยังเห็นความเคารพในศาสดาของคุณอยู่ครับ ธาตุแท้ของคุณเผยออกมา จากการใช้อำนาจเท่าที่มีในการพยายามเปิดเผยความจริงที่ถูกต้อง”
“อือ…”
“ตอนผมเอาโปรเจกต์ ‘ขอเลือกเกิด’ ไปนำเสนอ ผมเห็นแววสับสน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นแววสำนึกผิดในดวงตาของคุณ ซึ่งวันนั้นผมไม่เข้าใจ แต่วันนี้เข้าใจชัดแล้วว่ามีความหมายอย่างไร คุณอนุมัติงบไม่อั้นแทบจะทันที นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีพอว่า คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ผู้ไม่กลัวการเผชิญหน้ากับความจริง แม้ความจริงนั้นจะหักหน้าคุณเอง”
เกาทัณฑ์พูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น และแม็กซิมิเลี่ยนก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ
“ขอบใจนะ…”
“โปรดสั่งมาแล้วกันครับว่า จะให้ผมดำเนินการอย่างไรต่อ?”
“เธออยู่ในพื้นที่ แล้วก็เป็นหัวหอกสำคัญของโปรเจกต์ เพราะฉะนั้น เมื่อร่างกายพร้อม ฉันก็อยากให้แถลงข่าวใหญ่ด้วยตนเอง…” ดอกเตอร์แม็กซ์ลงเสียงหนักๆในตอนท้าย “คำพูดจากปากของเธอเอง จะเป็นสัญญาณขอสงบศึก เพื่อปิดเส้นทางหายนะกับทุกฝ่าย!”