แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันเสาร์ลอดผ่านม่านโปร่งในห้องพักพิเศษ ที่ข้างเตียงผู้ป่วย อารามกับธารี พ่อแม่ของเกาทัณฑ์นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว
อารามอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนยาว มีร่างสูงเป็นต้นแบบของลูกชาย ในวัยกลางคน เขายังมีท่วงทีกระตือรือร้นเยี่ยงแพทย์ผู้ต้องดูแลคนป่วยไม่เลิก ส่วนข้างๆกัน ธารีในชุดผ้าฝ้ายพับแขนสามส่วน สวมแว่นสายตากรอบใส ก็ดูคล่องแคล่วเยี่ยงนักบริหารจัดการ
สามพ่อแม่ลูกกำลังจับตามองข่าวจากจอโทรทัศน์ขนาด ๗๕ นิ้วบนผนังปลายเตียงคนไข้ด้วยกัน
“เหตุระเบิดถล่มอาคารอภิบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งกลายมาเป็นสำนักงานของบริษัทจีเนติกโอ๊ธ สาขาประเทศไทย ในช่วงบ่ายวันพฤหัสที่ผ่านมา ยังคงสร้างความช็อกและงุนงงสับสนให้กับสังคม ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยนะคะว่า ไม่ได้ตัดประเด็นก่อการร้ายออกไป แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันแรงจูงใจได้ในขณะนี้”
จากนั้นมีการนำคลิปที่ถ่ายจากมือถือขณะเกิดวินาศกรรมมาให้ชม เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์หลังเสียงระเบิดเพิ่งผ่านไปไม่กี่อึดใจ ภาพตึกกลับหัวกลับหางสลับกับพื้นดินดูไม่รู้เรื่อง มีเพียงเสียงตะโกนโหวกเหวกจากเจ้าของกล้องดังให้ได้ยิน ซึ่งหลายคำที่หยาบคายถูกเซ็นเซอร์ออกเป็นระยะ
แต่พอกล้องเริ่มนิ่ง ภาพก็เผยให้เห็นอาคารด้านหน้า ขณะที่กลุ่มควันระเบิดสีเทาเข้มพวยพุ่งออกมาจากช่องหน้าต่างและประตูชั้นล่างอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วตามมาด้วยภาพการทรุดตัวของตึก โดยเริ่มจากขอบอาคารฝั่งขวาไถลแยกจากแกนกลางช้าๆ
จากนั้น ชั้นบนก็เอียงลาดลงเล็กน้อย ส่วนยอดตึกบริเวณชั้น ๑๑ และ ๑๒ เทต่ำลงมาทางขวาประมาณ ๒๐ องศา แล้วในเวลาต่อมาก็กดลึกลงอีกเป็น ๓๐ องศาอย่างน่าหวาดเสียว คานเหล็กบางจุดบิดพับหงิกงอ ราวกับตึกเป็นสิ่งมีชีวิตที่หมดแรงยืน ค่อยๆโค้งตัวลงสู่พื้นดิน มีเพียงโครงฝั่งตะวันตกที่ยังตั้งตรง หยัดยืนเป็นแนวยัน
มีช็อตน่าตื่นเต้นเหมือนในภาพยนตร์แนวภัยพิบัติ เมื่อพื้นอาคารฝั่งตะวันตกแยกตัวออกจากแกนที่ยังตรง ราวกับมีใครงัดแผ่นผนังออกมา ตรงนั้นเผยให้เห็นเงามัวๆของสามหนุ่มสาวจากช่องที่แยกเป็นรูปใบมีดเฉียง ชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ตรงกลาง ถูกประคองจากเพื่อนหญิงด้านหนึ่ง กับเพื่อนชายอีกด้านหนึ่ง
ภาพตัดไปอีกฉาก ที่ทุกชั้นเริ่มยุบตัวในแนวดิ่ง โครงฝั่งตะวันตกอันเป็นแนวสุดท้ายที่ยืนหยัด พังครืนลงมาประหนึ่งนักมวยที่ยืนซดหมัดอยู่กลางเวทีจนวินาทีสุดท้าย ก่อนจะทรุดฮวบลงด้วยหมัดปิดฉาก ฝุ่นสีเทาพุ่งจากภายในกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ทั้งตึกศานติธานกลายเป็นภูเขาซากอิฐซากปูนสูงร่วม ๖ เมตรในที่สุด
“ที่น่าสะเทือนใจสุดจะสรรคำใดมากล่าวนะคะ คือภาพถล่มของตึกที่ท่านเห็นไปทั้งหมดนั้น ไม่ใช่การระเบิดตึกร้างเพื่อสร้างใหม่ แต่นี่คือการถล่มตึกที่มีคนเป็นๆนับร้อยอยู่ข้างใน จากรายงานเช้านี้ ใต้ซากอาคาร พบจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น และนี่คือเสียงจากญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตค่ะ”
ลำดับนั้น การเสนอข่าวเปลี่ยนภาพไปที่หญิงวัยกลางคน ซึ่งมีนักข่าวนำไมค์ไปยื่นจ่อปากให้ระบายความอัดอั้น
“เราอยากรู้ว่าเจ้าของสถานที่ไปทำอะไรให้ใครอาฆาตแค้นไว้ หรือไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องลึกลับอะไร ถ้าไม่ไปเกี่ยวพันกับอะไรที่น่ากลัว มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง!”
แล้วก็ตัดกลับมาที่ผู้ประกาศข่าวหญิงอีกครั้ง
“อันนี้ก็น่าคิดนะคะ และทุกคนกำลังตั้งข้อสงสัยกันทั้งประเทศ หรืออาจจะทั้งโลกเลยก็ว่าได้”
ภาพข่าวตัดไปทางสำนักข่าวต่างประเทศ ที่มีชายวัยดึกผมขาวทั้งศีรษะ ท่าทางถูกยกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญประเด็นก่อการร้าย กำลังแสดงความเห็นอย่างเผ็ดร้อนในภาษาอังกฤษที่มีซับไตเติ้ลกำกับ
“ผมไม่เข้าใจ! เกิดมาไม่เคยเจอเรื่องระยำตำบอนขนาดนี้มาก่อน มันทำได้ลงคอกับคนป่วยติดเตียง แต่ว่าก็ว่าเถอะ แรงจูงใจมันต้องมี ผมว่าจีเนติกโอ๊ธต้องออกมาอธิบายว่ามีเงื่อนงำอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าเป็นความเข้าใจผิด ไอ้พวกเห้ระดับนี้แม่งไม่เคยเข้าใจอะไรผิด พวกมันเข้าใจถูกเสมอว่าใครคือศัตรูที่ต้องแอบเข้าไปวางระเบิดใส่!”
จากนั้น ก็ตัดสลับกลับมาผู้ประกาศข่าวไทย
“แน่นอนค่ะ ญาติของผู้เสียชีวิตที่เหลือได้พากันรวมตัวเรียกร้องให้บริษัทจีเนติกโอ๊ธแสดงความรับผิดชอบและเปิดเผยความจริงทั้งหมด ญาติส่วนใหญ่ไม่รู้เห็นว่ามีการเปลี่ยนมือผู้บริหาร ไม่ทราบเลยว่าสถานอภิบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของจีเนติกโอ๊ธไปตั้งแต่เมื่อใด”
ภาพข่าวตัดไปที่ตัวแทนตระกูลลางดีไพศาล ซึ่งเป็นเจ้าของศานติธานดั้งเดิม
“ใช่ครับ! ตอนนี้ศานติธานไม่ได้อยู่ในความดูแลของตระกูลลางดีไพศาล พวกเราขายขาดให้กับจีเนติกโอ๊ธมาหลายเดือนแล้ว พวกเขายืนยันว่าจะปรับปรุงคุณภาพและการบริการให้ดีขึ้น และยืนยันว่าจะให้เรากลับไปตรวจสอบได้ตลอดเวลา เราถึงขาย เพราะเชื่อเครดิตความเป็นจีเนติกโอ๊ธ”
แล้วผู้ประกาศข่าวสาวก็กลับมาสรุปปิด ด้วยน้ำเสียงชวนจดจ่อให้ติดตามตอนต่อไป
“ทั้งหมดนี้ คือภาพสะท้อนคำถามที่ยังไร้คำตอบนะคะ ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าในช่วงบ่ายนี้ ตัวแทนระดับสูงจากบริษัทจีเนติกโอ๊ธจะแถลงอย่างไร เราจะรายงานสดจากสถานที่ให้ทุกท่านได้ทราบก่อนใครค่ะ!”
ธารีกดรีโมตปิดทีวี ทั้งห้องเงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่ผู้เป็นมารดาจะเงยหน้ามองลูกชายบนเตียง ถอนใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ! เต้เอ๊ย ไปขัดแข้งขัดขาใครเขาก็ไม่รู้? แล้วนี่จะเป็นยังไงต่อล่ะ ต้องระวังตัวไปอีกนานไหม?”
เกาทัณฑ์ไม่อยากโกหกพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันก็เผยความจริงไม่ได้ จึงพูดเท่าที่สามารถพูด
“ก็โครงการที่เคยเล่าให้พ่อแม่ฟังนั่นแหละครับ ส่วนจะทำให้ใครไม่พอใจในระดับไหน พวกเราเพิ่งรู้พร้อมระเบิดนี่แหละ เราประมาทและไร้เดียงสาเกินไปหน่อยกับความเห็นแก่ตัวทางความเชื่อของศาสนาและลัทธิต่างๆ”
“แล้วแกรู้หรือเปล่าว่าใครทำ?”
อารามพยายามขอเป็นวงใน แต่ก็ได้รับท่าทีปฏิเสธจากลูก
“ผมอยากให้พ่อแม่ตอบทุกคนได้เต็มปากว่า ‘ไม่รู้’ ตลอดไป เอาแบบนี้เถอะนะครับ เรื่องมันร้ายแรงและอาจเป็นอันตรายกับพวกเราทุกคนจริงๆ”
คนเป็นพ่อเป็นแม่ยิ้มเจื่อนให้กัน
“เออวะ! ไม่รู้ก็ได้” อารามเค้นเสียงดังๆกลบอารมณ์เจื่อน “แต่แกจะปลอดภัยใช่ไหม?”
“แถลงข่าวบ่ายนี้ พูดดีๆก็หย่าศึกได้ถาวรครับ เขากำลังเงี่ยหูฟังอยู่ว่าเราจะมีท่าทีอย่างไร”
“ว่าแต่ทำไมต้องจัดที่โรงพยาบาล ไม่เลือกโรงแรมหรืออะไรดีๆหน่อย?”
“บรรยากาศมันได้ครับพ่อ ผมยังไม่ฟื้นตัวดี ต้องมีแพทย์ประกบใกล้ชิด แล้วสภาพผู้ป่วยในโรงพยาบาลของผม ภาพที่ออกมาจะได้ตอกย้ำชัดว่า เราเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนกัน เกือบตายเหมือนกัน”
เก้าโมงเศษ ประตูเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นร่างระหงของหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวครีมเรียบตา เธอก้าวเข้ามาด้วยท่วงทีสง่างาม
ธารีเป็นฝ่ายอุทานขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแฝงความอบอุ่น
“อ้าว! หนูแพ!”
แพตรีย่อขาไหว้อย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะคุณอา สวัสดีค่ะคุณน้า ขอบพระคุณที่จำหนูได้”
“สวยขนาดนี้ใครจะไปลืมได้จ๊ะ”
ธารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กๆกับออร่าเด่นตาจับใจของฝ่ายนั้น
“ไหว้ย่อใหม่ได้ไหม” เกาทัณฑ์ส่งเสียงขอ “สวยอ้ะ! เมื่อกี๊ไม่ทันได้เก็บภาพไว้ดูซ้ำๆ”
ทั้งอารามและธารีหันมามองลูกชายงงๆ สุ้มเสียงนั้นแสดงความสนิทสนมเกินคนรู้จักธรรมดา
“แพนั่งสิลูก”
อารามเอ่ยพลางผายมือไปยังเก้าอี้ติดผนังตัวหนึ่ง ซึ่งแพตรีก็เดินไปลงนั่งอย่างว่าง่าย
“ลุงชนะสบายดีหรือ?”
“ปู่สบายดีค่ะ ฝากความระลึกถึงคุณอากับคุณน้า และปู่อินทรด้วยนะคะ”
บรรยากาศแบบครอบครัวเกิดขึ้นทันที อารามเหลือบมองลูกชาย แววตาเหมือนถามว่าจีบติดตั้งแต่เมื่อไร ทำเป็นเล่นไม่ได้นะเว้ย! ซึ่งเกาทัณฑ์ก็ตอบด้วยแววตาภาคภูมิ เปิดเผย และมุ่งมั่นยิ่ง ประมาณว่าคนนี้ชัวร์แล้ว ไม่ต้องห่วง!
“ผมกับน้องสนิทกันมานาน” เกาทัณฑ์เปิดปากเอ่ยอย่างรู้ว่า พ่อแม่กำลังอยากได้ยินอะไร “พวกเราคบกันอย่างเปิดเผย แค่ยังไม่มีใครรู้”
“เปิดเผยยังไงของแก ไม่มีใครรู้”
“พ่อแม่เป็นคนแรกไงครับ ผมห่างเพื่อนฝูงในเมืองไทยตั้งแต่จบตรี ไม่รู้จะจูงมือพาไปอวดใคร”
“ลงข่าวเลย!” อารามเชียร์ลั่น “เดี๋ยวบ่ายนี้แหละ แค่ควงไปเข้าห้องแถลงข่าวด้วยกัน โอบเอวตอนเข้าประตูนิดนึง สวยขนาดนี้ได้ถามกันเซ็งแซ่แน่ว่าชื่ออะไร”
แพตรีบีบมือบนตัก ก้มหน้ามองพื้นตัวลีบหน่อยๆ ชักนึกอยากเดินหนีไปจากที่นั่น เพราะไม่แน่ใจว่าอารามพูดเล่นหรือจะเอาจริง สัมผัสได้แค่ว่าอารมณ์อยากอวดว่าที่ลูกสะใภ้ของฝ่ายนั้นมาเต็มมาก
ธารีเห็นแพตรีก้มหน้าหลบตาอายๆก็พูดช่วย
“อย่าไปถือสาพวกนี้เลยนะ อารมณ์ดิบๆเถื่อนๆ เพิ่งเปิดตัววันแรก ก็พูดจาโผงผางไม่เกรงใจว่าฝ่ายหญิงฟังแล้วจะรู้สึกยังไง” เสร็จแล้วเธอก็หักมุมดังพล็อก “ไม่ชอบให้เรียกน้ามานานแล้ว ต่อไปเรียกแม่เลยนะจ๊ะ”
แพตรีหัวเราะคิกหนึ่ง ก่อนบีบมือแน่นขึ้น โน้มศีรษะต่ำลงไปอีกเพื่อซ่อนใบหน้าจากการถูกรุมรับน้อง ส่วนทุกคนที่เหลือพากันหัวเราะรื่นเริง
บรรยากาศสรวลเสเฮฮายามเช้า ทำให้ห้องไม่ได้ดูเหมือนสถานที่พักฟื้นระหว่างเจ็บป่วยอีกต่อไป ไม่มีใครเห็นเป็นฤกษ์ไม่ดีที่มาเปิดตัวคนรักกันกลางห้องพักคนไข้อย่างนี้
ขณะนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วพยาบาลคนหนึ่งก็ก้าวผ่านประตูตามมา
“ที่คุณเกาทัณฑ์ให้แจ้งค่ะ เพื่อนของคุณฟื้นแล้วนะคะ”
ผู้ป่วยตาโต
“ครับ!” แล้วก็หันมาหาผู้เป็นบุพการี สีหน้าสีตาดูจริงจังขึ้น “พ่อแม่ช่วยคุยกับแพไปก่อนนะครับ เพื่อนผมที่เพิ่งฟื้นนี้ รอดออกมาจากตึกด้วยกัน”
“เออ! เห็นในข่าวคร่าวๆอยู่ บอกว่าแกหนีตายมากับใคร อาการสาหัสทั้งคู่ แต่หาอ่านไม่เจอที่ไหนลงรายละเอียด”
เกาทัณฑ์หันไปหาแพตรี
“เดี๋ยวพี่มานะแพ”
บานเลื่อนอัตโนมัติของห้องไอซียูพิเศษเปิดรับรถเข็นไฟฟ้าของเกาทัณฑ์ ชายหนุ่มโยกคันเร่งให้มันพาเขาแล่นปราดเข้าไปทันที ในห้องมีทั้งหมอและพยาบาลชุมนุมกันอยู่หลายคน ราวกับกองแห่ต้อนรับการฟื้นกลับมาของเรือนแก้ว
“แอ้!”
ชายหนุ่มเรียกดังๆ และเมื่อผู้ป่วยสาวบนเตียงหันมาเห็นเขา นัยน์ตาก็สั่นระริก น้ำตาพรั่งพรู ขยับริมฝีปากเหมือนอยากตะโกนเรียกชื่อเขา แต่กลับทำไม่ได้ เพราะลำคอตีบตันด้วยก้อนสะอื้นฮัก เหมือนเด็กหลงทางที่ดีใจสุดชีวิต เมื่อผู้ใหญ่คนเดียวในโลกกลับมาหา
เธอทำท่าจะโผเข้ากอดเขา แต่มือขวาข้างเดียวกลับถูกยกได้เพียงครึ่งทาง เพราะมือซ้ายเงียบหายไปจากการเติมท่าขอกอดให้เต็มวง
เรือนแก้วร้องไห้เต็มเสียง อยากให้เขาบอกเธอทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงที่จะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต
เกาทัณฑ์พยายามสะกดอารมณ์สะเทือน และขอความช่วยเหลือจากพยาบาล
“ช่วยกันประคองเธอขึ้นนั่งหน่อยนะครับ”
ทุกคนเข้าใจความจำเป็น พยาบาลสองคนจึงเข้าหิ้วปีกเรือนแก้วขึ้นนั่ง ส่วนชายหนุ่มในรถเข็นก็ลุกขึ้นยักแย่ยักยันไปนั่งขอบเตียงคนไข้ เพื่อสวมกอดเธอให้เต็มอ้อมด้วยตนเอง
หญิงสาวพยายามกอดตอบเขาด้วยแขนข้างเดียว ดุจนกปีกหักที่รู้ตัวว่าไม่มีวันโผบินขึ้นโอบฟ้าได้อีก เอาแต่ร่ำไห้หอบสะอื้นจนตัวโยน ส่วนชายหนุ่มต้องฝืนเกร็ง และไม่สนความเจ็บปวดซี่โครงของตนเอง
“ไม่เป็นไรแล้วแอ้ เราปลอดภัยกันแล้ว”
เขาปลอบเบาๆ ฝ่ายเธอยังอยู่ในอารมณ์เตลิด คำแรกที่ละล่ำละลักพูดได้ก็สะเปะสะปะ ฟังแทบไม่เป็นภาษา
“แขนแอ้… เต้! แขนแอ้…”
“ไม่เป็นไรนะแอ้ ไม่เป็นไร…”
“เต้ชอบ… ชอบที่แอ้เล่นเปียโนให้ฟังไหม?”
“ชอบสิ...”
ชายหนุ่มพยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคง ฟังอบอุ่น
“เมื่อกี๊แอ้ฝัน… เอาแต่ฝันว่าเล่นเปียโนให้เต้ฟัง คงไม่เป็นไรใช่ไหม… ถ้าต่อไปแอ้เล่นให้เต้ฟังไม่ได้แล้ว?”
เหล่าพยาบาลเริ่มมีปฏิกิริยา บางคนหันไปซ่อนตาแดงๆ แต่บางคนก็จ้องมองเรือนแก้วด้วยอาการสะอื้นตาม
“ใครบอกว่าไม่ได้” ถ้อยคำของเขานุ่มนวล ทว่าหนักแน่นอย่างคนรู้ตัวว่ากำลังพูดอะไร “โลกเรามาถึงจุดที่แขนกลไม่ใช่แค่ของเล่น สมัยนี้สั่งงานด้วยสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อจริงๆได้แม่นยำ แถมมีระบบสัมผัสเทียมที่ส่งสัญญาณกลับเข้าสมองได้ ทำให้รู้สึกถึงแรงกด ความร้อน หรือแม้กระทั่งพื้นผิวด้วยนะ”
ได้ผล ถ้อยคำยาวๆที่เปี่ยมสติมีอิทธิพลลดความสะเทือนจากร่างบางลง ซึ่งเกาทัณฑ์สามารถสัมผัสรู้สึกได้ผ่านอ้อมกอด
“และอีกไม่นาน จะมีการปลูกถ่ายแขนเทียมแบบไบโอไฮบริดจ์ ที่เลียนแบบการงอกใหม่ของเนื้อเยื่อธรรมชาติด้วยนะแอ้ อย่าห่วงเลย”
“เหรอ?”
“เพื่อให้แน่ใจว่าจะช่วยให้แอ้มีแขนที่กลับมารู้สึกเหมือนเดิมได้เต็มร้อย…” เกาทัณฑ์หยุดเน้นเสียง “ผมจะเข้าไปมีส่วนเร่งการพัฒนาให้ระบบเสร็จเร็วขึ้นด้วยตัวเอง!”
“จริงเหรอ?”
“สัญญาว่าแอ้จะได้ชีวิตเก่ากลับคืนมา และเล่นเปียโนให้ผมฟังได้อีก”
คำพูดจากปากของคนเป็นอัจฉริยะระดับโลก มีผลให้เสียงสะอื้นหยุดลง อย่างน้อยที่สุดเรือนแก้วก็สัมผัสถึงพลังใหญ่ราวภูเขาที่เข้าโอบอุ้มชีวิตตนไว้ ไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยวเดียวดายดังที่ควรระแวง!
ห้องสัมมนาชั้น ๑๑ ถูกแปลงเป็นห้องแถลงข่าว แน่นขนัดไปด้วยนักข่าวทั้งในและต่างประเทศ จนพื้นที่ขนาด ๔๐๐ ตารางเมตรเอาไม่อยู่ ผู้เข้าร่วมล้นทะลักออกมานอกห้อง ต้องมีการถ่ายทอดสดไปยังห้องประชุมย่อยอื่นอีก
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรของจีเนติกโอ๊ธ เดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตด่วนถึงไทย และให้เฮลิคอปเตอร์รับตัวจากสนามบินสุวรรณภูมิมาลงที่ลานจอดบนดาดฟ้าอาคารโรงพยาบาล
โต๊ะแถลงข่าวเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวประมาณ ๒ เมตร คลุมผ้ากำมะหยี่สีดำเรียบอย่างดี ด้านหน้าชิดขอบโต๊ะฝั่งคนดูมีอักษร Genetic Oath สลักบนแผ่นอะคริลิกโปร่งแสง พร้อมโลโก้เป็นเส้นดีเอ็นเอคู่ที่บิดเกลียวเป็นรูปสัญลักษณ์อินฟินิตี้ โดยมีจุดพลังงานกลางเส้นไขว้ ทำหน้าที่แทนสัจจะความจริงที่มีอยู่หนึ่งเดียว
สองฝั่งของโต๊ะขึ้นป้ายทั้งไทยและอังกฤษ ดอกเตอร์เกาทัณฑ์ เทียนไชยะ / Dr. Kaothan Thianchaiya กับเฟลิกซ์ เอลเซน / Felix Elsen ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ทั้งสองนั่งห่างกันเล็กน้อย มีไมโครโฟนและจอพับเล็กส่วนตัวคนละชุด
บริเวณด้านหน้าโต๊ะ จัดโซนนักข่าวระดับแนวหน้า ๓ แถวตามลำดับ ถัดไปด้านหลังคือกล้องถ่ายทอดสดจากทุกสำนัก
“สวัสดีครับทุกท่าน” เฟลิกซ์เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนิ่งแต่เปี่ยมด้วยน้ำหนัก “ในนามของบริษัทจีเนติกโอ๊ธ ผมขอต้อนรับ และขอขอบคุณที่ทุกท่านให้ความสนใจเข้าร่วมแถลงข่าวของเราในวันนี้”
ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตารวมไปที่เฟลิกซ์ ผู้มีผมสีเทาเงิน หนวดเครายาวเชื่อมต่อกับจอนดูดีมีสไตล์ ท่าทางประสบการณ์มากพอจะพูดให้เด็ก ป.๑ เข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ได้ง่ายๆ
“ก่อนอื่น ประเด็นแรก ผมขอความเห็นใจว่า เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จีเนติกโอ๊ธเป็นฝ่ายถูกกระทำ เราเป็นผู้สูญเสีย โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งในแง่กฎหมายและศีลธรรม แต่เราจะชดใช้ให้กับทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม”
เฟลิกซ์นิ่งไปครู่ ก่อนเอ่ยสืบต่อ
“ประเด็นที่สอง เรายินดีให้ข้อมูลกับทุกท่านอย่างโปร่งใส ตลอดจนให้ความร่วมมือกับทางการไทย โดยมอบข้อมูลเท่าที่ยังไม่ถูกทำลายไปกับตึก เพื่อจะได้ช่วยกันไขข้อสงสัยว่า เหตุใดการก่อวินาศกรรมจึงเกิดขึ้นกับสถานที่ที่ไม่ควรเกิดเยี่ยงนี้”
ผู้อำนวยการสื่อสารหันมาทางเพื่อนร่วมแถลงพร้อมผายมือให้
“สิ่งที่พวกท่านต้องการทราบที่สุด ดอกเตอร์เกาทัณฑ์ เทียนไชยะ ในฐานะผู้อำนวยการในไทย จะเป็นผู้กล่าวสรุปในบัดนี้ครับ”
“ขอบคุณครับ คุณเฟลิกซ์… ที่เราซื้อศูนย์ศานติธานมา ก็เพราะผมและผู้ก่อตั้งจีเนติกโอ๊ธ มีความปรารถนาตรงกัน คือ ทำโปรเจกต์พิสูจน์ความเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่!”
หลายคนที่ยังไม่รู้เรื่อง หรือรู้บ้างแล้วแต่ยังคลางแคลงว่าจีเนติกโอ๊ธทำเรื่องนี้จริงหรือไม่ ถึงกับฮือฮา ครางหึ่งในลำคอ หรือไม่ก็หันหน้าคุยกันเซ็งแซ่แบบลืมมารยาทนักข่าวกันเลยทีเดียว เมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากคนรับผิดชอบโดยตรง
“โครงการของเรายังอยู่ในขั้นตอนเพื่อพิสูจน์ทราบ” เขาพูดดังขึ้น เพื่อสยบเสียงอื่นให้เงียบลง “ยังไม่ได้มีสิ่งใดเป็นรูปธรรมดีพอที่จะเรียกว่า ‘หลักฐานทางวิทยาศาสตร์’ เพราะถ้ามีอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องมาลงทุนทำวิจัยกันอย่างที่เห็น… แต่น่าจะมีใครเอาไปพูด หรือเอาไปสรุปว่าเรากำลังเป็น ‘หายนะทางความเชื่อ’ เห็นเราเป็นภัยใหญ่เกินจริง จึงวู่วามก่อเรื่องน่าเศร้าสลดขึ้นมา ทั้งที่เรายังเผื่อใจอยู่เลยว่า สมมุติฐานของเราอาจเป็นเพียงความเพ้อฝัน”
เฟลิกซ์ผงกศีรษะ ช่วยยืนยันเพื่อนร่วมบริษัทอีกแรง
“ใช่!”
“เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมท้อใจ และไม่คิดไปต่อ โดยผมจะขอผันตัวไปวิจัยเกี่ยวกับแขนเทียมแทน เหตุผลเพราะเพื่อนร่วมงานที่รอดตายจากตึกถล่มมาด้วยกัน เธอแขนขาดเพื่อรักษาชีวิตผมไว้!”
นั่นเป็นการสื่อสารที่รู้กันเฉพาะระหว่างจีเนติกโอ๊ธกับเวอเรี่ยนว่า ‘ฉันขอสงบศึกนับแต่นี้’
จากนั้น เฟลิกซ์ก็กล่าวถึงแนวทางการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของศานติธาน ซึ่งนักข่าวฟังแล้วก็อดฮือฮากันอีกรอบไม่ได้ เนื่องจากจีเนติกโอ๊ธเปลี่ยนความตายให้กลายเป็นมรดกก้อนโต และยอมจ่ายแต่เพียงผู้เดียว เพราะประกันจะไม่ชดใช้ให้กับกรณีการเสียชีวิตที่เกิดจากการก่อวินาศกรรม
นั่นนับเป็นภาพความรับผิดชอบเหนือมาตรฐานที่ ‘คนข้างหลัง’ ของผู้ตายน่าจะรับได้กันหมด เว้นแต่จะเป็นพวกโลภมาก ได้คืบจะเอาศอก
พอแถลงข่าวตามเนื้อหาที่เตรียมสคริปต์ไว้จบลง เฟลิกซ์ก็เปิดโอกาสให้นักข่าวซักถาม โดยเริ่มจากสำนักข่าวอันดับหนึ่งของโลกอย่างเอพีก่อน
“คุณเกาทัณฑ์…” นักข่าวเชื้อชาติอินเดียร่างสันทัดลุกขึ้นพูดใส่ไมค์ “แหล่งข่าวของผมกล่าวว่า คุณค้นพบหลักฐานการเกิดใหม่จากดีเอ็นเอแล้ว เป็นความจริงหรือไม่?”
เกาทัณฑ์เบิกตาโตขึ้นเล็กน้อย
“คุณไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหน?”
“กรุณาตอบแล้วกันครับ”
ดอกเตอร์หนุ่มรักษาท่าทีสงบเฉยไว้ ก่อนใช้น้ำเสียงสบายๆว่า
“ยอมรับครับว่า ผมกับดอกเตอร์แม็กซ์คิดๆอะไรทำนองนี้อยู่ เราถึงได้พยายามหาหลักฐานจำนวนมาก โดยมาลงทุนทำวิจัยกันอย่างที่เห็น”
“แต่แหล่งข่าวของผมระบุว่า คุณมีหลักฐานแล้ว หรือพิสูจน์ทราบได้สำเร็จแล้ว!”
“ผมขอยืนยันเพียงว่า พวกเราพยายามหาหลักฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่ได้อะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ และถึงตอนนี้ พวกเราก็เลิกล้มความพยายามนั้นแล้ว เนื่องจากเห็นชัดว่ามีคนไม่อยากให้เราพยายาม”
แล้วเกาทัณฑ์ก็พยักหน้าส่งสัญญาณกับเฟลิกซ์ ฝ่ายนั้นจึงชี้ไปที่นักข่าวไทยบ้าง ตามนโยบายสลับกัน ระหว่างต่างประเทศกับไทย
“เชิญท่านต่อไปครับ”
“ขอถามคุณเกาทัณฑ์ต่อนะคะ” นักข่าวสาวชาวไทยร่างผอมสูงลุกขึ้นยกไมค์พูด “ที่ล้มเลิกโครงการเพราะมีการขู่เข็ญหรือเปล่า?”
เนื่องจากทำการบ้านมาดี เก็งคำถาม เตรียมคำตอบ และซักซ้อมอากัปกิริยาไว้แล้วล่วงหน้า ดอกเตอร์หนุ่มจึงพูดเรื่อยๆเหมือนกล่าวถึงนกกา
“ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการมาตั้งแต่ต้น ขอตอบว่า ผมไม่เคยได้รับการติดต่อจากใครเลย พวกเขาติดต่อดังๆมาครั้งแรกด้วยการถล่มตึกนี่แหละ!”
“ขออนุญาตนะคะ ดูคุณสงบมาก ไม่สั่น ไม่หวาดกลัวกับภัยที่เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆบ้างเลยหรือ?”
“ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น” เขาเลือกตอบตามข้อเท็จจริงแง่นั้น “ครอบครัวของผมเป็นฐานให้กับความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย คนเราเมื่อกลับมายืนอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง ก็ลืมประตูยมโลกได้ไม่ยากครับ”
“ทราบมาว่าเพื่อนสนิทของคุณเสียชีวิตอยู่ในซากปรักหักพังของตึก คุณไม่แค้นใจบ้างหรือ?”
“ผมเพิ่งไปงานศพเขามา และเพิ่งจ้องศพเขาด้วยความคับแค้นเหมือนมีไฟนรกสุมอยู่ในอก ไฟที่ไม่รู้จะเอาไปล้างผลาญใครดี เห็นได้ชัดว่าวินาศกรรมครั้งนี้ เกิดจากกลุ่มความเชื่อขนาดใหญ่ ไม่ใช่การลงมือโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง”
เฟลิกซ์ช่วยเสริม
“พวกเราไม่รู้เลยจริงๆว่า เราสมควรอาฆาตแค้นใครดี”
เกาทัณฑ์เม้มปากซ่อนความรู้สึกไว้ เฟลิกซ์ไม่รู้ แต่เขารู้
“ที่คุณเห็นผมพูดๆอยู่นี่ คือร่องรอยของการถูกไฟนรกเผาหัวใจและสมองบางส่วนทิ้งไปแล้ว มันชาครับ! ชาจนเกือบจะไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่าที่ต้องขยับปากพูดไปเรื่อยๆตามหน้าที่ ทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จๆ”
สีหน้าของเขาเฉยเมยไร้อารมณ์ แต่ถ้อยคำที่ออกมาจากใจ กลับก่อให้เกิดวาระเงียบอึ้งจากกลุ่มนักข่าวได้ทั้งห้อง
“ขอบคุณนะคะ”
นักข่าวสาวนั่งลง ด้วยความรู้สึกว่าได้สิ่งที่ต้องการ นั่นคือปฏิกิริยาจากผู้ประสบภัยรายสำคัญ
“เชิญครับ ท่านนี้”
เฟลิกซ์ชี้นักข่าวจากรอยเตอร์ เป็นชายหัวล้านร่างใหญ่ ท่าทางไม่ใช่พวกหาข่าวธรรมดาๆ แต่เหมือนเคยบุกน้ำลุยไฟไปขุดสิ่งที่ต้องการจากสุดหล้าฟ้าเขียวมาแล้ว
“ดอกเตอร์แม็กซิมิเลี่ยนเคยเดินสายช่วยโปรโมตให้ศาสนาเวอเรี่ยนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เขามีมิตรหรือศัตรูทางศาสนาที่อาจเกี่ยวข้องกับกรณีวินาศกรรมนี้ไหม?”
เฟลิกซ์ตอบทันทีแบบไม่เสียเวลาคิด
“ดอกเตอร์แม็กซิมิเลี่ยนประกาศมาตลอดว่า ท่านเชิดชูวิทยาศาสตร์เป็นศาสดา ที่ท่านข้องเกี่ยวกับศาสนา ก็ไม่ใช่แค่ศาสนาเดียว ท่านยกย่องศาสนาบาไฮ ค่าที่เอาวิทยาศาสตร์มาล้างความงมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา ท่านยกย่องศาสนาพุทธที่สอนให้เชื่อด้วยการพิจารณาว่าอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ ไม่ใช่เชื่อเพราะสืบๆกันมาท่าเดียว”
“แต่กรณีเวอเรี่ยน ดอกเตอร์แม็กซ์เหมือนเคยถึงขั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้เลยทีเดียวนะ”
เฟลิกซ์เอ่ยไปอีกทางแบบไม่เล่นเกมตามของนักข่าว
“ดอกเตอร์แม็กซิมิเลี่ยนชื่นชอบร่องรอยหลักฐานใหม่ๆที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับจิตวิญญาณได้ ท่านรับเชิญไปพูดให้การสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวความเชื่อแบบไหน หลักฐานมีให้คุณเสิร์ชได้เดี๋ยวนี้”
“กรุณาเข้าเรื่องหน่อยเถอะ มีหนังสือบางเล่มของดอกเตอร์แม็กซ์ที่แทบจะเหมือนเป็นคัมภีร์หนึ่งของศาสนาเวอเรี่ยนเลยนะ กลุ่มเวอเรี่ยนอ้างอิงและแนะนำให้สาวกอ่านเป็นประจำ”
“ผมทราบดีครับว่า เมื่อเกิดเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ที่ให้ความสนใจกันทั่วโลก มักมีทฤษฎีสมคบคิดที่น่าฟัง เพราะมีมูลความจริงบางอย่างอยู่ตรงนั้น กรณีนี้ผมไม่อาจห้ามใครให้เชื่อมโยงดอกเตอร์แม็กซ์เข้ากับเรื่องทางศาสนา แต่โดยส่วนตัวที่ผมรู้จักดอกเตอร์แม็กซ์ใกล้ชิดมานาน ขอบอกเลยว่าไม่เคยเห็นท่านเข้าโบสถ์ของศาสนาไหนเป็นประจำในฐานะศาสนิกชนนะครับ ใครมีคลิปหลักฐานช่วยเอามาคัดค้านผมได้… ฉะนั้น อย่าเพิ่งไปโยงกับศาสนาเลย จนกว่าตำรวจจะให้ข้อสรุปออกมาตรงกับที่คุณคิด”
“คือผมจำเป็นต้องโยงครับ เพราะเรื่องพรรค์นี้ ถ้าไม่มีผู้ก่อการร้ายมาอ้างว่าเป็นผลงานของตน โดยมากก็มาจากศาสนาหรือลัทธิความเชื่อบางอย่างนั่นแหละ”
“ครับ! ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขอให้รอผู้มีหน้าที่สืบสวนสรุปให้เราฟังนะครับ หน้าที่ของเราคือให้หลักฐาน หน้าที่ของตำรวจคือสืบสาวตามจริง ส่วนหน้าที่ของคุณคือนำเสนอข่าว ตลอดจนรับผิดชอบกับวิธีโยงเรื่องต่างๆนานา… ท่านต่อไป”
นักข่าวหนุ่มไทยเป็นรายต่อไป เขาเป็นคนหน้าเหลี่ยม ท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง
“ที่กล่าวว่าพวกคุณไม่ได้ทำผิดอะไร แน่ใจหรือครับ?”
ทั้งห้องหูผึ่ง เกาทัณฑ์สบตากับฝ่ายนั้น
“เป็นเรื่องน่าคลางแคลงจริงๆครับว่า ถ้าเราไม่ได้ผิดอะไร ทำไมจึงโดนลงโทษขนาดนี้… ความเชื่อของเรา คือเรากำลังทำเรื่องดีๆให้กับคนทั้งโลก แต่ความเชื่อของใครบางกลุ่มในเงามืด อาจเห็นเรากำลังสร้างภัยร้ายให้กับโลกทั้งใบ มันแล้วแต่จะคิดจริงๆ”
“คุณไม่ได้จับมนุษย์ไปทดลองอะไรผิดๆหรอกหรือ?”
“งานที่เราทำ มีการบันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆมากมาย และได้อัพโหลดแบบเรียลไทม์ไปที่เซิร์ฟเวอร์ของสำนักงานใหญ่ เราพร้อมให้ทางการตรวจสอบโดยไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังครับ”
“สิ่งที่ทุกคนกำลังรู้สึกและพูดตรงกัน คือ นี่เป็นเรื่องของการแบ่งข้างทางความเชื่อที่ใหญ่มากๆอย่างแน่นอน ทุกคนสงสัยจริงๆว่า นอกจากแล็บบนดิน พวกคุณมีเรื่องใต้ดินอะไรที่ไม่ได้บันทึกไว้ไหม”
“ประเด็นห้องแล็บอันตรายใต้ดิน ขอตอบสั้นๆว่า ไม่มีครับ! เราไม่ได้ทำ” เกาทัณฑ์ตอบเยือกเย็นเหมือนน้ำ “ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งข้างความเชื่อ น่าจะใช่ครับ! ถ้าไม่เชื่อว่ากลุ่มของตัวเองดี ก็มีศาสนาขึ้นมาไม่ได้ และเมื่อโลกนี้มีหลายศาสนา หลายลัทธิ ก็แปลว่าโลกนี้อาจมี ‘คนดี’ กับ ‘คนดีที่เห็นต่าง’ แล้วก็มีคนดีชนิดหนึ่ง ที่ลงมือกระทำไม่ดีกับคนอื่นได้ทุกอย่าง ภายใต้ความเชื่อว่า นั่นเป็นเรื่องดีที่สมควรทำ!”