บทที่ ๑๙ ฟ้าหลังฝน


เช้าวันอาทิตย์ หลังฝนพรำแล้วหยุด แสงแดดอ่อนจากท้องฟ้าฉาบไล้พื้นทางเดินในสวนหย่อม กลิ่นดินเปียกผสมหญ้าอ่อนหอมๆลอยขึ้นมาแตะฆานประสาท ชโลมความรู้สึกให้แนบชิดติดพัน เสมือนร่างกายกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติในพื้นที่แห่งนั้น

เมื่อเรือนแก้วขอออกมานั่งรถเข็นชมสวน สกุณาจึงพาลูกสาวออกจากห้องเป็นครั้งแรก แพทย์เจ้าของไข้ก็ไม่ได้ห้าม เพราะแผลผ่าตัดที่ต้นแขนซ้ายเริ่มแห้งตั้งแต่วันที่สอง และนับจากนั้นก็ไม่มีอาการบวมแดงหรือซึมเลือดซ้ำให้ต้องกังวล บริเวณตอแขนถูกพันรัดด้วยผ้ายืดชนิดแรงต้านต่ำ ซับด้านในด้วยแผ่นโฟมทางการแพทย์ชนิดบางเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแรงกดและแรงสะเทือนจากการเคลื่อนไหวได้อย่างดี

ผ้าคลุมสีเทาอ่อนพาดทับแนวไหล่ด้านซ้าย ลู่ลงเกยต้นขา ปกปิดภาพความว่างเปล่าที่บอกความไม่เท่าเทียมกับคนปกติอีกต่อไป

ลมเย็นวูบหนึ่งพัดมา วันนี้เธอสมใจที่ได้ออกมามองฟ้าหลังฝน มองต้นไม้ที่โบกกิ่งรับแสง มองชีวิตต่างๆนานาที่ยังเคลื่อนไปข้างหน้า พาใจเธอให้อยากเคลื่อนตาม

“มีรุ้งด้วยค่ะแม่”

เรือนแก้วชี้ สกุณาหยุดเข็นแล้วแหงนมองตามปลายนิ้วลูกสาว เหนือพุ่มไม้ใบเขียวที่ยังเปียกฝนอยู่บางส่วน เสี้ยวโค้งของรุ้งหลากสีทอดผ่านท้องฟ้า ราวกับมีใครหยิบพู่กันเปียกน้ำมาแต้มไว้ลอยๆ โดยไม่ต้องมีเหตุผลมากไปกว่าอยากให้ใครสักคนชม

“สวยนะ”

เสียงตอบของมารดาแผ่วเบา เธอเป็นหญิงวัยหกสิบต้นๆ แต่ใบหน้ายังตึงเรียบ รวบผมหงอกแซมดำไว้เรียบร้อยด้านหลัง ดวงตามีประกายครุ่นคิดแต่ไม่เคร่งเครียด ไม่ซ้ำเติมเรื่องร้ายให้แย่ลง มือของเธอที่จับด้ามเข็นนั้นมั่นคง เต็มไปด้วยพละกำลัง พร้อมพาลูกตัวเองไปไหนก็ได้ ไม่ต่างจากที่เคยทำในช่วงลูกยังแบเบาะ

“แม่จำได้ไหมคะ?” เรือนแก้วเอ่ยเสียงใส “ตอนนั้นหนูกี่ขวบก็ไม่รู้ แม่พาหนูนอนในรถเข็นออกมาข้างบ้านตอนเย็นๆ อยู่ดีๆก็มีฝูงกระดาษสีขาวปลิวมาเต็มท้องฟ้า ไม่ใช่กระดาษธรรมดา แต่เป็นกระดาษที่มีรูปคน รูปสัตว์ รูปบ้าน วาดด้วยดินสอสี”

“จำได้…” สกุณาตอบด้วยความแปลกใจ “แต่หนูนั่นแหละ จำได้ยังไง ตอนนั้นตัวกะเปี๊ยกเดียว”

“เพิ่งมีคนฝึกให้หนูระลึกถึงช่วงแรกๆที่จำความได้น่ะค่ะแม่ หนูได้เห็นถนัดว่าชีวิตถูกลืมเลือนไปมากมายแค่ไหน... ระหว่างฝึก หนูจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันกระดาษปลิวเต็มฟ้าได้ชัดมาก มันเป็นวันแปลกที่สุดวันนึงของชีวิตเลย”

“กระดาษพวกนั้นเป็นงานศิลปะของเด็กอนุบาลที่ร่วงลงมาจากหน้าต่างอาคาร ตอนนั้นแม่พาไปชี้ให้ดูโรงเรียนในหมู่บ้าน เพื่อบอกหนูว่าโตขึ้นอีกนิด หนูจะได้มาอยู่ที่นี่”

“แม่เอามาให้หนูดูทีละรูป” เรือนแก้วจาระไนต่อ “ฝังใจมากๆค่ะ เพราะเหมือนฟ้าโปรยอนาคตลงมาให้ดูเป็นภาพๆว่า ชีวิตต้องเจออะไรบ้าง เจอพ่อ เจอแม่ เจอครู เจอเพื่อน เจอปาร์ตี้สนุก และหนูจำติดตาอยู่รูปหนึ่ง… คือรูปคนทำร้ายกัน...”

เสียงรื่นรมย์ของลูกสาวเล่าเรื่อยๆ แต่คนเป็นแม่ฟังถึงตรงนั้นแล้วเหมือนถูกบีบหัวใจด้วยคีมเหล็ก ต้องก้มหน้าเม้มปาก กลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดรอดออกมาขัดจังหวะลูก

“ตอนนี้หวนนึกดู หนูว่าน่าแปลกเหมือนกันที่เด็กอนุบาลวาดรูปรบราฆ่าฟัน มีทหารแยกเป็นสองฝั่ง หันปืนยาวเข้าใส่กัน มีประกายไฟออกมาจากปืนทุกกระบอก”

สกุณาข่มสะอื้นได้ ก็เปล่งเสียงให้ความเห็นเสริมมาเป็นปกติ

“ตอนนั้นแม่ไม่รู้ ไม่งั้นจะไม่หยิบขึ้นมาให้หนูเห็น”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูว่าดีแล้ว เหมือนใบเซียมซีจากฟ้าเลย ทำนายไว้ว่าวันนึงหนูต้องเจอ”

“หลังจากนี้ แอ้ยังอยากอยู่กับจีเนติกโอ๊ธอีกไหม?”

เธอถามพลางเข็นรถต่อช้าๆ

“อยากสิคะแม่” เรือนแก้วตอบแบบไม่ลังเล “แม่ไม่ต้องห่วงนะ เจ้านายใหญ่บริษัทนี้ใจป้ำมาก ค่าทำขวัญนี่ ใครรู้เข้าจะอยากตัดแขนแลกเลย”

“เฮ้อ! ดูพูด!”

“สมัยนี้แขนเทียมก็เขยิบเข้าใกล้ของจริงเข้าไปทุกที มีคนบอกว่าจะช่วยเร่งการพัฒนาให้เร็วขึ้นด้วย คนที่บอกนี่จีเนียสสุดๆเลยนะคะ”

“เป็นไปได้จริงหรือนี่?”

“ไม่เพ้อค่ะแม่ แค่อาจจะต้องทนกับแขนกลที่ดูเหมือนหุ่นยนต์หลายปีหน่อย ก่อนจะไปถึงจุดนั้น”

“แม่น่ะ…” เธอลากเสียงอ่อนใจ “ไม่อยากให้หนูอยู่กับบริษัทนี้ต่อเลย  บริษัทระดับโลก เวลามีศัตรูก็มักเป็นศัตรูระดับโลกนะ”

“เท่าที่ฟังแบบวงในนะคะ จะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้วล่ะ เขาตกลงกันได้แล้ว”

“มันคือใครที่ไหนหรือลูก? ทำไมถึงใจไม้ไส้ระกำขนาดนี้?”

“หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าใคร แต่หนูแน่ใจว่าจะไม่เกิดเรื่องอีก เพราะโปรเจกต์เดิมจะถูกยุบถาวรจริงๆ และถ้าเขาจะไปต่อหนูต้องรู้”

สกุณาส่ายหน้าอย่างตันใจ

“แอ้ไม่น่าต้องไปเกี่ยวข้องกับอะไรอย่างนี้เลย อยู่ที่เดิมก็ก้าวหน้าดีอยู่แล้วแท้ๆ”

“แต่มาที่นี่ หนูได้เจอกับ… ใครคนหนึ่งนะแม่”

ผู้เป็นแม่ทำหน้าเมื่อย เพราะสิ่งนี้ไม่ถูกใจ แลกไม่ได้กับความปลอดภัยในชีวิตลูก

“ลูกเคยแย้มๆแล้วครั้งสองครั้ง แม่เห็นสีหน้าหนูแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วยนะ แต่คนที่คิดว่าใช่ ทำไมถึงมาพร้อมกับอันตรายถึงเลือดถึงเนื้ออย่างนี้?”

“แต่การตกอยู่ท่ามกลางภัยร้าย ใกล้เป็นใกล้ตายพร้อมกับเขา ทำให้หนูรู้จักกับความอบอุ่นที่ไม่เคยพบเจอจากผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยนะคะแม่”

สกุณาอึ้งและแอบเป็นห่วง ใจคอไม่ดี เพราะวันก่อนเพิ่งได้ยินเรือนแก้วพร่ำพูดไปหยกๆว่า ‘ไม่เคยอยู่กับใครแล้วรู้สึกว่าเข้ากันได้ขนาดนี้มาก่อน’ วันนี้พูดทำนองเดียวกันอีก คล้ายปักใจและวนเวียนคิดถึงเขาคนนั้นซ้ำๆไม่เลิก

รถเข็นเคลื่อนผ่านแปลงดอกไม้กลางสวน กุหลาบพันปีสีชมพูอ่อนบานสะพรั่ง ชูก้านไหวเบาๆ คล้ายจะทักทายคนเจ็บ ผีเสื้อลายจุดบินวนล่อตาล่อใจอยู่เหนือดอกชบาด่างข้างทางครู่หนึ่ง ก่อนจะผละไปอย่างไร้เสียง ไร้ร่องรอย

“ชีวิตนี่มันดีจริงๆเลยนะคะแม่”

เรือนแก้วพึมพำยิ้มๆ สกุณามองศีรษะได้รูปสวยของผู้ที่เธอให้กำเนิดจากเบื้องหลัง จากนั้นมองตามผีเสื้อน้อยแล้วใจอ่อนลง ถ้าลูกสาวของเธอจะเจอใครสักคน ที่มีอิทธิพลอันอ่อนหวาน อยู่เหนือความกลัวตายและความเสียดายแขนทั้งข้าง เธอผู้เป็นแม่สมควรขัดคอในยามฟื้นฟูจิตใจในบัดนี้หรือ?

สวนหย่อมแห่งนั้นมีพื้นที่ราว ๕๐๐ ตารางเมตร ถูกจัดแต่งไว้ด้วยมือที่ทรงพลังศิลป์ แปลงไม้ดอกสลับกันเป็นจังหวะ ขนานกับทางเดินปูหินสีเทาอ่อนที่เลี้ยวโค้งไปใต้เงาไม้ใหญ่ ถัดไปมีบ่อปลารูปวงรีลึกพอประมาณ เห็นฝูงปลาทองและปลาคาร์พว่ายวนอยู่ด้านล่างใต้ใบบัว

ข้างบ่อมีศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมตั้งอยู่ เปิดรับแดดอ่อนด้วยหลังคายกสูง ดูท่าน่าเข้าไปนั่งคุยเล่นเย็นๆใจ สกุณาจึงเข็นรถตรงไปสู่ศาลานั้น ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ กับกลิ่นดอกปีบอ่อนจางรอบตัว

ขณะนั้นเอง มีเสียงล้อรถเข็นอีกคันดังตามหลังมา...

รถเข็นของเรือนแก้วกำลังจะเข้าศาลา อยู่ในมุมที่เหลือบนิดๆตามเสียง ก็เห็นเต็มตาได้จากระยะไม่ถึง ๑๕ เมตรนั้น

เกาทัณฑ์!

เขานั่งอยู่ในรถเข็น แต่เสี้ยววินาทีที่หัวใจเรือนแก้วเกือบฟูขึ้นถึงจุดลิงโลด สายตาพลันสะดุดเข้ากับร่างระหงในชุดเดรสสีเขียวเรื่อฟ้า ที่อยู่เบื้องหลังรถเข็นของเกาทัณฑ์เสียก่อน

รอยยิ้มแห่งความชื่นมื่นยังค้างบนใบหน้า แต่หัวใจที่อ่อนหวานหล่นหายไปไหนแล้วไม่รู้...

“แอ้!” ชายหนุ่มร้องทัก ฉีกยิ้มดีใจ โบกมือให้หยอยๆ ก่อนหันมาบอกแพตรีว่า “คนนี้แหละเพื่อนพี่ที่รอดมาด้วยกัน ขอเข้าไปทักทายหน่อยนะ”

“ค่ะ!”

หญิงสาวตอบรับ เธอช่วยเข็นรถไฟฟ้าที่ปรับเข้าสู่สภาพเข็นมือ ตามอารมณ์ของเขาที่อยากได้บรรยากาศคนรักช่วยดันหลัง ตัดตรงไปหาสองแม่ลูกอย่างที่เกาทัณฑ์ขอ

ใบหน้าของเรือนแก้วซีดลง แต่รอยยิ้มยังแต้มอยู่มิรู้หาย จักรวาลเท่านั้นที่รู้ว่ายังมีพลังชนิดใดรักษาริมฝีปากรูปยิ้มไว้ให้ค้างอยู่ ทั้งที่รู้สึกโหวงว่างบนทางสู่จุดจบของโลกทั้งใบ

แววตาของเรือนแก้วสั่นไหวเล็กน้อย เงาของความเสียใจวูบผ่านขอบตาดำขลับ แต่เธอแค่หรี่ตาลงซ่อนเงานั้นอย่างรวดเร็ว แถมเมื่อเขากับเธอคนนั้นมาถึง ก็ร้องทักเป็นปกติด้วยน้ำเสียงทรงชีวิตชีวาประจำตน

“ใจตรงกันเลยนะคะพ่อรูปหล่อ เลือกเวลาและสถานที่ได้เป๊ะมาก” แล้วเธอก็หันไปทางสาวน้อยเบื้องหลังรถเข็นของเขา “สวัสดีค่ะคุณน้อง!”

“สวัสดีค่ะพี่แอ้!”

แพตรีโน้มศีรษะพนมมือไหว้ทั้งเรือนแก้วและสกุณาอย่างอ่อนน้อมตามนิสัย

“ต๊าย!” เรือนแก้วรับไหว้แล้วสะบัดขวับไปจ้องเพื่อนหนุ่ม “น้องเขารู้จักชื่อฉันด้วย แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้จักเขาล่ะ? แฟร์ๆหน่อยสิคะคุณ”

“ฮื้อ!” เกาทัณฑ์ส่งเสียงรำคาญความขี้หลงขี้ลืมของเพื่อนสาว “ก็เมื่อกี๊ผมเพิ่งเรียกชื่อแอ้อยู่หยกๆ แพก็ได้ยินสิ”

“อ้อ! เอ้อ! ใช่! อิอิ”

“นี่แพนะแอ้”

เขาแนะนำอย่างเป็นทางการ เรือนแก้วโบกมือให้และชมจากหัวใจ

“สวยที่สุด!”

“สวัสดีครับคุณแม่”

เกาทัณฑ์หันไปยกมือไหว้ผู้อาวุโส

“ค่ะ! สวัสดี”

สกุณาทราบทันทีว่า ชายที่หยุดหัวใจลูกได้ คือเขาคนนี้เอง แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้น มากับสาวน้อยแสนสะสวยผู้กุมหัวใจของเขาไว้ ผู้เป็นแม่ก็ทำหน้าไม่ถูกกับความรู้สึกเหน็บหนาว แสนสงสารลูกสาวตน

เกาทัณฑ์เสนอกับทุกคนว่า

“เข้าไปนั่งในศาลากันเถอะพวกเรา”

สกุณาเกือบรั้งรถเข็นของเรือนแก้วกลับขึ้นห้องเดี๋ยวนั้น แต่ผู้เป็นลูกชิงตอบรับเขาด้วยเสียงสดใสเสียก่อน

“โอเคเลย! แม่กำลังจะพาแอ้เข้าไปพอดี”

ศาลาทรงหกเหลี่ยมขนาดย่อมหลังนั้น ตั้งอยู่ภายใต้ร่มไม้ มีที่นั่งสามารถรองรับทั้งสี่ได้แบบเหลือๆ

รถเข็นทั้งสองคันค่อยๆเคลื่อนขึ้นศาลาผ่านแผ่นพื้นลาดเอียง สกุณากับแพตรีล็อกรถเข็นที่ต่างคนต่างรับผิดชอบอยู่ ก่อนแยกไปหย่อนร่างบนม้านั่งของศาลา

เรือนแก้วนั่งนิ่งอยู่ในรถเข็น เบนสายตาลงจับจ้องผืนน้ำที่เรียบนิ่งราวแผ่นกระจกตรงหน้า มีประกายระยิบระยับจากแสงแดดเป็นหย่อมๆ ฝูงปลาคาร์พสีแดงสลับขาว ว่ายร่วมกับปลาทองหางพริ้วช้าๆ แหวกใบบัวที่ลอยซ้อนชั้นอย่างสงบ

“มนุษย์เรามองปลาแล้วใจนิ่งลงได้ แต่พวกมันเอง อาจไม่ได้สงบอย่างที่ทำให้เรารู้สึกกันหรอกเนอะ”

“ลองหย่อนอาหารลงไปดูสิ” เกาทัณฑ์พูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าปลาตัวไหนพุ่งปรู๊ดมากิน ท่าทางกระสับกระส่ายกลัวจะแย่งไม่ทัน ก็ตัวนั้นแหละ ที่กำลังว้าวุ่นสุดขีดอยู่กับความหิวโหย”

แพตรีเห็นกระป๋องอาหารปลาแขวนไว้บนเสาด้านหนึ่ง ก็นึกอยากทำอะไรให้ผู้สูญเสียอวัยวะสำคัญขึ้นมา ประสาผู้มีน้ำจิตคิดช่วยผู้อื่นก่อน จึงลุกไปคว้ากระป๋องสังกะสีจากขอแขวนและชูเสนอ

“พี่แอ้อยากให้อาหารปลาไหมคะ?”

“อยาก...”

แพตรีพยักหน้าให้ เธอเห็นตำแหน่งรถเข็นของเรือนแก้วอยู่ห่างจากขอบบ่อพอสมควร จึงอ้อมหลังมาก้มปลดล็อกเบรก แล้วเข็นเรือนแก้วช้าๆไปชิดแนวม้านั่ง ก่อนบิดฝาเหล็กเปิดกระป๋อง และหยิบช้อนพลาสติกในนั้นออกมายื่นส่งให้หญิงพิการอย่างสุภาพ

เรือนแก้วเงยหน้ายิ้ม สานตาตรงด้วยแววขอบคุณ ก่อนรับช้อนมาควักเม็ดอาหารในภาชนะทรงเหลี่ยม ที่แพตรียังคงช่วยถือให้ แล้วค่อยๆยื่นมือออกไปพ้นขอบพนักม้านั่ง พลิกโปรยลงสู่แผ่นน้ำด้วยจังหวะใจที่เชื่องช้า

ฝูงปลาเกือบทั้งหมดใต้ใบบัวตื่นตัวพร้อมกัน ว่ายพรูเข้ามาใต้เงาศาลาอย่างรู้ว่าของน่ากินเพิ่งถูกหว่านจากมือมนุษย์ใจดีอีกครั้ง

“สรุปคือพวกมันเป็นทุกข์กันหมดทุกตัวเลย” เธอเปรยปลงๆ “เพื่อมีชีวิตเคลื่อนไหวสวยๆให้เราชม พวกมันต้องเหนื่อยและหิวกันมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“ตอนหิวๆ คงไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนรู้สึกว่าตัวเองสวยหรอกมั้ง”

เรือนแก้วฟังแล้วชะงัก ใช่สิ... เช่นเดียวกับที่เธอว้าเหว่ โหยหาความรัก ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนเหลือแต่ตอแขนส่วนต้นที่น่าเกลียดน่ากลัว จะเทียบอะไรได้กับคนสวยสมบูรณ์แบบตรงหน้า ผู้ล้นกระแสสุขไว้เผื่อแผ่ผู้คน

แพตรีดูอิ่มในรัก อิ่มไปกับความจริงที่ยิ่งกว่าฝัน แบบที่ทั้งชีวิตเธอคงไม่มีวันได้ลิ้มรสเช่นนั้น

ตัวสั่นเทาเหมือนลูกนกถูกเด็ดปีก เรือนแก้วพยายามฝืนสะอื้น แต่ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายเป็นไปเอง เกิดระลอกแรงดันของการสะอึกร่ำไห้ฮักๆ น้ำตาไหลไม่หยุด เธอวางช้อนลงกระป๋องแล้วใช้อุ้งมือเช็ดน้ำตาป้อย เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ที่ส่งเสียงร้องให้ตายก็ไม่มีใครได้ยิน

สกุณารีบลุกจากที่นั่งมาโน้มร่างลงโอบกอดลูกสาวอย่างแสนรักแสนถนอม ความสะเทือนแรงจากลูก ส่งคลื่นกระแทกหัวใจแม่ให้ร้องตาม

เกาทัณฑ์รู้ตัวว่าพลาดหลุดปากก็สายไป เขาลุกขึ้นยืนหันหลังให้อย่างทนดูต่อไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่แค่ภาพผู้หญิงร้องไห้ธรรมดา แต่เป็นภาพเดียวกับนิมิตเตือนใจตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขามีหนี้อันโหดร้ายที่ยังไม่อาจชดใช้ให้เธอได้!

ครู่หนึ่งของศาลาร่ำไห้ สกุณาเป็นฝ่ายสะกดกลั้นตัวเอง ถามด้วยเสียงเป็นปกติว่า

“กลับขึ้นห้องดีไหมลูก?”

เรือนแก้วก้มหน้า เบะปากครางหงิง พยักหน้าสองครั้งติดๆกัน เพราะไม่อยากทนอายอีกต่อไป

สกุณาได้รับคำตอบเช่นนั้นก็ยืดตัวตรง หันมายิ้มให้แพตรี

“ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”

เรือนแก้วขบริมฝีปากแน่น ทั้งร่างสงบนิ่งลงโดยพลัน ก่อนส่งเสียงเฉียบยั้งมารดาไว้

“เดี๋ยวค่ะแม่!”

ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวว่าเธอต้องการสิ่งใด แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อหญิงสาวเงยหน้าจ้องแพตรีและขอว่า

“ให้พี่กอดเธอได้ไหม?”

สายตาตรงและกระแสจริงจังนั้นอยู่ในระดับวิงวอน ซึ่งเมื่อแพตรีเห็นก็รีบรับทันที ไม่อิดเอื้อน และไม่มีคำถาม

“ได้ค่ะพี่แอ้”

แพตรีทำท่าจะโน้มร่างลงมา แต่เรือนแก้วยกมือห้าม

“ขอพี่ลุกขึ้นเองเถอะ”

ประกายตาฉายแววใสขึ้นในขณะพูด แพตรีจึงนิ่งรอ มองเรือนแก้วค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ และเมื่อฝ่ายนั้นหยัดตรงเต็มร่าง แพตรีก็เป็นฝ่ายก้าวเข้าไปสวมกอดด้วยสัมผัสชิดแนบ ละมุนละม่อม

เรือนแก้วใช้แขนข้างเดียวกอดตอบและเอียงหน้าซบไหล่อีกฝ่ายนิ่งๆครู่หนึ่ง ก่อนกระซิบข้างหูว่า

“มีความสุขมากๆนะ ชีวิตเธอดีจริงๆ”

จากนั้นก็หย่อนร่างลงนั่งคืนที่ ยิ้มลาแพตรี แต่ไม่หันไปทางเกาทัณฑ์

สองแม่ลูกจากไป ชายหนุ่มและหญิงสาวยืนเคียงกันมองจนลับตา เกาทัณฑ์พยายามปรับอารมณ์เป็นปกติ ไม่อยากทิ้งเขม่าควันอารมณ์หมองไว้ในใจระหว่างอยู่กับแพตรี จึงกลับลงนั่งบนรถเข็นแล้วเอ่ยขำๆ

“เสน่ห์แรงนะตัวเอง เจอกันแป๊บเดียวเขาขอกอดแล้ว”

“เขาไม่ได้กอดแพ…” หญิงสาวเอ่ยพลางส่ายหน้าช้าๆ “เขาแค่กอดพี่เต้ ผ่านคนที่พี่เต้จะกอด เพราะรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นกับพี่เต้อีกแล้ว”

ชายหนุ่มชะงักกึก

“แพ! นี่พี่ไม่ได้มีอะไรกับแอ้เลยนะ”

“แพทราบค่ะ ไม่ต้องร้อนตัว”

เกาทัณฑ์ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง แพตรียังคงมองค้างอยู่กับจุดที่รถเข็นของเรือนแก้วลับตาไป ไม่หันมาสบกับเขา

“แพ…”

“พี่เต้เคยกอดเขามาก่อนใช่ไหม?”

“มันคือการกอดปลอบ ไม่ได้มีความหมายเชิงชู้สาวแม้แต่นิดเดียว”

“ความอาทรบริสุทธิ์ใจในนาทีฝากชีวิตนั่นแหละค่ะ ที่กลายเป็นชั่วขณะความทรงจำอันอ่อนหวานที่สุดของผู้หญิง”

เกาทัณฑ์ตัดบท หาเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนดื้อๆ

“วันนี้พี่อยากไปกินข้าวกลางวันกับแพข้างนอกบ้าง อยากไปไกลๆเลยได้ไหม?”

“หลายชาติที่ผ่านมา พี่อยู่กับเขามาเกือบตลอดใช่ไหมคะ?”

ชายหนุ่มมือเย็นเฉียบ เมื่อได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด เขาเบือนหน้าลงมองปลาในน้ำ แววตาบ่งบอกว่าครุ่นคิดยุ่งเหยิง กระทั่งไม่เต็มใจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา

พอเขาเงียบไม่ว่าอะไร แพตรีก็พูดแทงใจดำขึ้นมาอีก

“แค่เพราะแพสวยจนพี่อยากได้เหนือสิ่งอื่นใดใช่ไหม ถึงไม่สานต่อกับพี่แอ้ตามที่ควรจะเป็น?”

“แพก็เมียพี่นั่นแหละน่า!” เกาทัณฑ์พูดอย่างเริ่มหงุดหงิด “ทำไม… ชาตินี้พี่ไม่มีสิทธิ์เลือกเหรอว่าจะอยู่กับคนไหน?”

“มีสิทธิ์ค่ะ ตราบเท่าที่ยังไม่ให้ความหวัง ให้คำมั่นสัญญาใดๆไว้กับใคร”

“งั้นส่องเลยว่าพี่เคยให้คำสัญญากับใครนอกจากแพไหม”

เขาท้า ชักไม่ชอบที่ต่างฝ่ายต่างรู้มากเกินไป จนอะไรๆไม่เป็นไปตามธรรมเนียมโลกสักอย่าง

แพตรีกอดอก

“แพรู้สึกถึงความผูกพันที่เหนียวแน่นลึกซึ้ง เขาสละอะไรเพื่อพี่มามากนะคะ สถานการณ์สร้างรักแท้ และทุกครั้งที่มีโอกาส พี่กับเขาก็ฉวยโอกาสเพิ่มสายใยผูกพันไว้ได้เสมอ อย่างเช่นที่ชาตินี้ ก็เพิ่งผ่านโลกถล่มดินทลายมาด้วยกัน”

“เชื่ออย่างนึงว่า ถ้าพี่ระลึกสาวย้อนต่อไปอีกเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นชาติ ยังไงก็ต้องเจอความผูกพันระหว่างเรา แบบที่ยอมสละอะไรให้กันมาไม่แพ้แอ้หรอก”

“เอาตามความรู้สึก แพว่าแพแพ้พี่เขานะ ใจเขาใหญ่ และพร้อมบุกน้ำลุยไฟไปกับพี่เต้ ระดับที่แพเทียบไม่ติด”

“นี่พูดไปพูดมาคือคิดอะไรอยู่น่ะ แพจะให้มันเป็นยังไงหรือ?”

“แพว่าเดี๋ยวชะตาจะเล่นตลก พอได้แพ อยู่กับแพ พี่แอ้ก็จะมาอยู่ในชีวิตของพี่เต้ด้วย หนีไม่พ้นหรอก”

“อย่าดูถูกพี่นักเลย!” เกาทัณฑ์เงยหน้าจ้องเธอเขม็ง “คนเราถ้าตัดสินใจซื่อและเด็ดเดี่ยวพอ บุพเพสันนิวาสจากชาติไหน ก็มารบกวนชีวิตคู่ในชาตินี้ไม่ได้หรอก!”

หญิงสาวเหลือบลงสานตาเขาด้วยประกายนิ่ง ทรงพลังเจาะใจ ยิ้มบางๆครู่หนึ่งก่อนกระซิบ

“อยากได้ไว้ทั้งสองคนเลยไหมล่ะ? แพรับได้นะ!”

ชายหนุ่มเกิดกิเลสร้อนๆขึ้นมาวูบหนึ่งจากคำของเธอ ทว่าเมื่อวูบนั้นหายไป ก็กลายเป็นรู้ทัน โมโหจนหัวเราะ

“ไม่ต้องมาลองใจหรอกน่า ชาตินี้พี่เอาแพคนเดียวนั่นแหละ!”

แพตรีเชิดหน้าขรึม น้ำเสียงไร้อารมณ์

“เขายังต้องอยู่กับพี่อีกนาน นับภพนับชาติไม่ถ้วน ส่วนแพคือครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้นให้ความสำคัญกับเขาดีกว่าค่ะ เชื่อเถอะ!”