บทที่ ๒๐ ลาออก


หลังจากพ้นภาวะวิกฤตและได้รับอนุญาตให้ย้ายออกจากห้องไอซียูพิเศษ เรือนแก้วก็ถูกส่งมายังห้องพักผู้ป่วยวีไอพีที่กว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนจัดวางอย่างมีศิลป์ โอ่อ่าราวกับห้องพักโรงแรมห้าดาว

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรือนแก้วกดรีโมตปิดทีวีและเอ่ยอนุญาตอย่างทราบจากการนัดหมายล่วงหน้าว่าเกาทัณฑ์กับแพตรีจะมาเยี่ยมในช่วงนี้

“เชิญค่ะ!”

เกาทัณฑ์บังคับรถเข็นไฟฟ้านำเข้ามา

“หวัดดี!”

สองหนุ่มสาวเข้ามาทักทายชิดเตียงผู้ป่วย

“เต้กับแพมาตรงเวลาเป๊ะ”

“พอแพมาถึง ก็ดิ่งมาเลย นี่อยู่คนเดียวเหรอ?”

“เดี๋ยวแม่กับพ่อจะมาช่วงสี่ทุ่ม” แล้วก็ถามกลับ “เห็นว่าวันนี้เต้ต้องออกไปสะสางอะไรต่อมิอะไรทั้งวัน เจ็บแผลหรือเปล่า?”

“พกหมอกับรถฉุกเฉินเผื่อต้องนอนด่วนไปด้วย แต่สรุปแล้วแค่เจ็บนิดเจ็บหน่อย ไม่เป็นไร แข็งแรงดีทุกอย่าง”

“สวัสดีจ้ะแพ” เรือนแก้วหันมาทักสาวรุ่นน้อง “ขอบใจมากที่มาเยี่ยมด้วย”

“ค่ะพี่แอ้” แล้วแพตรีก็ชูถุงผ้าสีครีมลายลูกเจี๊ยบให้เรือนแก้วเห็น “แพมีของเล็กๆมาฝากค่ะ แผ่นประคบสมุนไพรแบบอุ่น กลิ่นขิงมะกรูดอ่อนๆ ถ้าวางตรงอกเวลานอน จะเหมือนได้กอดตัวเองเบาๆด้วยความรัก ความเอาใจใส่นะคะ”

เรือนแก้วยิ้มและหัวเราะเอ็นดู

“พรีเซนต์เก่งจัง หลอกขายพันนึงก็ยอมนะ”

“ให้เอาไว้ตรงไหนดีคะ?”

“หัวเตียงเลยจ้ะ เดี๋ยวอยู่คนเดียวจะเอามานอนกอดตัวเองทันที”

แพตรีเดินเอาถุงไปวางพลางอาสา

“ถ้าพี่แอ้ต้องการอะไรจากข้างนอก ก็บอกแพได้นะคะ ข้าวของผู้หญิงอะไรงี้”

“แต๊งกิ้ว! งั้นขอแลกเบอร์กะไลน์นะ”

เรือนแก้วหยิบยื่นมือถือของตนให้ ไหว้วานแพตรีช่วยเหลือจัดการ เพียงแค่ฝ่ายนั้นหยิบยื่นความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ กับการขยับมาใกล้กัน จนสัมผัสได้ถึงกระแสแสนสะอาดจากใจ จู่ๆเรือนแก้วก็นึกรักอีกฝ่ายขึ้นมามากมาย

“ผมคุยกับหมอแล้ว” เกาทัณฑ์พูด “อีกสองเดือนแอ้ก็ใส่แขนใหม่ได้นะ”

เรือนแก้วนั่งพิงหมอนสูง มองเขาเมินๆ

“นานจัง”

“ช่วงนี้ต้องรอให้แผลด้านในหายสนิทก่อน ทั้งกล้ามเนื้อและเส้นประสาทตรงต้นแขนจะได้เชื่อมต่อกับแขนเทียมได้พอดี ถ้ารีบไปก่อนเวลาอาจมีผลให้ระบบรับส่งสัญญาณเคลื่อนไหวรวนได้”

“อือ…”

“รุ่นที่ผมเลือกไว้ ไม่ธรรมดานะ มันขยับตามใจได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ยกแขนขึ้นลง แต่ใช้มือหยิบจับของได้ใกล้เคียงคนปกติเลย แอ้จะใช้ช้อนตักข้าว หยิบของชิ้นเล็กๆได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องฝืนมากเหมือนรุ่นก่อนๆ นับว่าที่แอ้จำเป็นต้องใช้อะไรแบบนี้ ในปีนี้ พอดีจังหวะได้ของเล่นใหม่น่าทึ่ง”

“คนมองมาจะเห็นเป็นยังไง?”

ผู้สูญเสียอวัยวะแอบกังวล

“มันมีเนื้อเทียมหุ้มโครงสร้างแขนกลด้านในไว้ ทำจากซิลิโคนชนิดพิเศษ เราสามารถพิมพ์ลายนิ้วมือ สีผิว เส้นเลือด หรือแม้แต่ไฝเล็กๆลงบนนั้น ถ้าหารูปปลายแขนเดิมของแอ้มา ก็เลียนแบบได้ใกล้เคียง มองไกลๆแทบแยกไม่ออกว่าของจริงหรือของเทียม”

“จับต้องแล้วรู้สึกยังไง?”

“เย็นกว่าของจริงนิดหน่อย”

“ช่วยให้แอ้รู้สึกถึงอะไรผ่านมันได้บ้างไหม?”

“ถ้าหลับตาแล้วแตะอะไร แอ้จะพอรู้ว่าแข็งหรืออ่อน เรียบหรือสาก บีบแรงไปหรือพอดี”

“แล้ว… ที่เต้สัญญาว่าจะทำให้แอ้ล่ะ ดีได้กว่านี้แค่ไหน?”

“เป้าหมายที่ผมจะเอาให้ได้ คือ งอข้อศอก หมุนข้อมือ ยืดนิ้ว บีบมือ ได้แม่นยำจนถึงระดับเขียนหนังสือสวย หยิบต่างหูได้ หยิบไข่ไม่แตก กดปุ่มมือถือไม่พลาด ผิวสัมผัสเทียมดูสมจริงแบบไม่รู้เลยว่าของปลอม สำคัญที่สุดคือมีฟีดแบ็คความรู้สึกให้แยกแยะพื้นผิวขรุขระ นุ่ม เรียบ เย็น หรืออุ่น ไม่ต่างจากระบบประสาทในแขนจริงสักเท่าไร”

“จะรอค่ะ”

แพตรีส่งคืนมือถือให้เรือนแก้วแล้วลงนั่งบนโซฟาข้างเตียง หันไปถามเกาทัณฑ์แบบพอรู้อยู่บ้าง

“พี่เต้หมายถึงเทคโนโลยีไบโอไฮบริดเหรอคะ?”

“ใช่!” เขาพูดด้วยตาเป็นประกาย “เทคโนโลยีแขนเทียมชนิดเชื่อมต่อกับร่างเพื่อเลียนแบบของจริง ถือว่าก้าวหน้าช้ากว่าที่ควร เหตุผลเพราะคนแขนขาดมีน้อย ตลาดเล็ก เลยไม่ค่อยมีคนสนใจลงทุนเท่าแขนกลอีกประเภทหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังมาแรง เอามาให้คนแขนปกติใช้เพิ่มพละกำลัง สำหรับงานอุตสาหกรรม งานกู้ภัย หรืองานทหารอะไรเทือกนั้น”

“เท่าที่แพเคยได้ยิน เป้าหมายสูงสุดคือหลอกสมองให้เชื่อว่าแขนเทียมคือแขนจริง สัมผัสได้ทุกพื้นผิว ควบคุมได้ทุกองศา โดยไม่รู้สึกแปลกแยกแม้แต่นิดเดียวเลยใช่ไหม?”

เธอใช้น้ำเสียงให้ความหวังสูงสุดกับเรือนแก้วไปในตัว

“นั่นแหละ! ปัจจุบันยังเป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะต้องทำความเข้าใจระบบประสาทสุดซับซ้อนอยู่ แต่ถ้ามีทุนพอ ก็ผสมหลายๆเทคโนโลยีเพื่อเร่งรัดได้”

“ดอกเตอร์แม็กซ์ยอมให้ทุนทำเหรอคะ?”

“ให้สิ! เมื่อวานพี่เพิ่งไล่ซื้อสตาร์ทอัพดังๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการพิมพ์เนื้อเยื่อชีวภาพ กับอีกแห่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีกลไกการเคลื่อนไหวที่ยืดหดนุ่มนวลเหมือนกล้ามเนื้อจริง ตกลงกับดอกเตอร์แม็กซ์ไว้ว่าเราจะตั้งฐานค้นคว้าวิจัยและผลิตเสร็จสรรพในไทย เพื่อให้พวกวายร้ายที่เป็นอีแอบในเงามืดได้เห็นพวกเราในที่สว่างๆว่า เลิกรุกรานความเชื่อของพวกเขาแล้ว”

สีหน้าของเรือนแก้วเริ่มสดชื่นอย่างรู้สึกถึงความหวังที่จับต้องได้ ไม่มีใครทอดทิ้งเธอเลย

“ชักภูมิใจนะ ที่มีส่วนเร่งรัดให้เทคโนโลยีเพื่อคนพิการเกิดเร็วขึ้น”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะอย่างแข็งแรง

“พูดได้เต็มปากว่าเพราะแอ้เลย! แทนที่คนแขนพิการต้องรอเทคโนโลยีขั้นสุดกันไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี ผมสัญญาว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นภายใน ๕ ปี ก่อนแอ้อายุ ๓๕ ให้ได้!”

แพตรียิ้มชม

“ถ้าสำเร็จ ก็สร้างภาพลักษณ์ให้จีเนติกโอ๊ธเป็นบริษัทที่ทำให้คนแขนพิการ กลับไปใช้แขนเหมือนจริงเป็นครั้งแรกในโลกด้วยนะคะ เป็นการถอยเปลี่ยนทิศได้เท่มาก ยอมแพ้โจรร้าย เพื่อชนะใจเพื่อนแท้”

แพตรีทิ้งท้ายด้วยการปรายตามาทางเรือนแก้ว เกาทัณฑ์เบะปากยักไหล่ สั่นหน้านิดๆทันที

“พี่ไม่ได้ยกธงขาวให้ใคร ก็แค่รับรู้ล่ะว่าโครงการเราใหญ่เกินกว่าที่ยักษ์จะทน ผลสำเร็จอาจก่อให้เกิดสงครามศาสนาไม่รู้จบรู้สิ้น ไม่ใช่เฉพาะแค่โจทก์เก่าเจ้าเดียวนี่”

“ค่ะ! ถ้าโลกรู้ความจริงแล้วลุกเป็นไฟ ไม่มีใครเหลือ สู้อย่ารู้เลยดีกว่า”

“เรื่องมันเศร้า”

เรือนแก้วพึมพำ

“แต่พี่แอ้ก็หน้าตาสดชื่นดีนะคะ ปกติคนที่เจอแบบพี่แอ้ต้องอารมณ์ปรวนแปร พลิกไปพลิกมารุนแรงกัน อันนี้รู้สึกเลยว่าอารมณ์แกว่งน้อยมาก”

“สารภาพว่า รู้สึกถึงอารมณ์เกรี้ยวกราดเหมือนมีสัตว์ร้ายที่งุ่นง่านอยู่ข้างในตลอดเวลานะ”

“แต่พี่แอ้ก็เอาอยู่นี่คะ ขอเดานะ เมื่อคืนสวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอนใช่ไหม?”

“สวดจริงๆแหละ แต่สวดไปน้ำตาไหลไป เพราะต้องนอนสวดแขนเดียว” ความเป็นกันเองในอากาศรอบตัวทำให้เธอกล้าเปิดใจ “พอตอนทำสมาธิค่อยดีขึ้นหน่อย เหมือนร่างกายได้ผ่อนคลายเป็นครั้งแรกหลังจากวันหนีตาย”

“อนุโมทนาค่ะ!”

“พี่ยังทำไม่ได้เรื่องได้ราวนะ พอเริ่มสงบสบายจะเคลิ้มแล้วไปต่อไม่ถูก หรือไม่ก็นั่ง ๕ นาทีแล้วคิดถึงของกินขึ้นมา แพช่วยสอนพี่หน่อยสิ ท่าทางฝึกมาตั้งแต่เด็กๆเลยใช่ไหม? ออร่าแรงผิดมนุษย์มนามาก”

“ค่ะ! ปู่ฝึกแพตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่ถ้าช่วยอะไรพี่แอ้ได้ก็ยินดี”

“เต้เล่าว่าเขาไปขอเรียนรู้เรื่องระลึกชาติ เรื่องดูวิบากกรรมจากปู่ของแพ แล้วแพอยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิด แปลว่าตอนนี้น่าจะเชี่ยวมาก”

“ห่างไกลจากคำว่าเชี่ยวชาญมากค่ะ พี่เต้เพิ่งเรียนไม่กี่วันเก่งกว่าแพแล้ว”

“เอาเปรียบด้วยการใช้เครื่องทุ่นแรงน่ะสิ” เรือนแก้วค่อนขอด “เหมือนใส่ขากลพลังม้า ยังไงก็ต้องวิ่งเร็วกว่าคนเท้าเปล่า”

“ไม่ช้าย…” เกาทัณฑ์ลากเสียงแก้ตัว “อย่างที่แอ้เห็นด้วยตัวเองแล้วไง เครื่องช่วยครึ่งนึง เราต้องออกแรงเองอีกครึ่งหนึ่ง เก่งคนละครึ่ง”

“พี่ถามอะไรแพหน่อยได้ไหม?”

“ค่ะ”

“ที่ยอมเป็นแฟนเต้เร็ว เพราะระลึกได้ว่าเคยเป็นเมียเขามาก่อนใช่หรือเปล่า?”

“อุ้ย!”

แพตรีอุทานในลำคอเบาๆอย่างคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกึ่งถามกึ่งทักโต้งๆเช่นนั้น

“เล่าให้พี่ฟังมั่งได้ไหมอะ?”

ถามเสียงอ้อนเหมือนผู้หญิงอยากรู้อยากเห็นธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งแพตรีฟังคำขอแล้วได้แต่ยิ้มให้

“ถามพี่เต้ดีกว่าค่ะ แพเองรู้แค่คร่าวๆ ต้องฟังรายละเอียดจากพี่เต้เหมือนกัน”

เรือนแก้วถึงกับฉงน

“จริงอ้ะ?”

“เขารู้ละเอียดกว่าแพจริงๆค่ะพี่แอ้”

“เครื่องทุ่นแรงนี่มันดีจริงๆเลยเนอะ เต้ให้พี่ใช้มาครั้งหนึ่งเหมือนกัน ระลึกชาติได้ตั้งแต่รอบแรกเลย แต่พอมาทำเองแล้วจำทางเข้าไม่ได้อ้ะ ถึงเก็ตนะว่าจิตมนุษย์ โดยเฉพาะชาวบ้านเรา มันเหลวเป๋ว เอามารู้เรื่องรู้ราวทางจิตวิญญาณไม่ได้เท่าไรหรอก”

“แพก็ต้องสะสมเป็นสิบปีค่ะ ไม่ใช่อะไรที่ง่าย”

“โอ้! ฟังแล้วทำไมได้คิด… พี่เคยเอาสิบปีไปทำอะไรให้คุ้มจริงๆบ้าง ตอนเฉียดเป็นเฉียดตาย รู้เดี๋ยวนั้นเลยว่า ชาตินี้ยังไม่มีดีพอจะตายดี”

“ยังมีเวลาค่ะ เดี๋ยวแพช่วย”

เรือนแก้วดูจากสายตาฝ่ายนั้นแล้วเกิดความรู้สึกว่าเอาจริง ไม่ใช่แค่พูดเรื่อยเปื่อยพอเป็นพิธี

“ของดีที่คุ้มชีวิตชาติหนึ่งจริง ถ้าต้องใช้เวลาเป็นสิบปีถึงได้มา ก็เท่ากับพวกเราเหลือเวลานิดเดียวตั้งแต่เกิดเลยนะ พี่ก็ไม่เคยนึกสังหรณ์แม้แต่นิดเดียวว่าต้องเกือบม่องเท่งตอนอายุแค่ ๓๐”

“ทางพุทธถือว่าดีนะ…” เกาทัณฑ์ปลอบ “ผ่านความเป็นความตายมาได้แล้วหายประมาท ถ้ายิ่งรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มยังไง ยิ่งกลายเป็นจังหวะเปลี่ยนผ่านสุดประเสริฐ”

“ดูจากยูทูบ…” เรือนแก้วบุ้ยปากไปทางทีวีที่ตนเพิ่งปิด “ใจมันหวิวๆอยู่เหมือนกันนะ เหลือเชื่อว่าพวกเราก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่ติดอยู่ในนั้น ยิ่งตอนเห็นฉัน เธอ กับเชิง กลายเป็นเงาตะคุ่มในปล่องทางหนีไฟแล้ว ดูท่าไม่น่ารอดได้เลย… นี่หวาดเสียวย้อนหลังนะ ถ้าตายไปเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้จะเป็นอะไรอยู่ที่ไหน”

เกาทัณฑ์แกะถุงมันฝรั่งทอดเคี้ยวกร็อบแกร็บพลางพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ายังไม่ใช่วันตาย ต่อให้อยู่ชั้นบนสุดของตึกถล่ม ก็วิ่งบ้าง ตีลังกาบ้าง กลิ้งหลุนๆบ้าง ลงจากบันไดหนีไฟรอดมาจนได้!”

“ตอนนั้นเต้มีสติดีที่สุด ขณะที่แอ้กับเชิงคิดอะไรไม่ออกเลย สารภาพว่าสมองแช่แข็ง ขาสั่นพั่บๆอยู่กับที่ ถ้าเต้ไม่อยู่ด้วยนี่ตายแน่ ต้องกองรวมกับศพอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย”

“เอาเถอะ! จริงๆเราไม่ได้เพิ่งมาผจญภัยในโลกนี้ด้วยกันเป็นครั้งแรกหรอก หลายร้อยปีก่อนก็เคยเจอเรื่องร้ายๆด้วยกันอยู่”

สองสาวเงียบกริบ มองเขาเป็นตาเดียว รอว่าจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วชายหนุ่มก็หยิบมันฝรั่งทอดเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆหน้าตาเฉย

เรือนแก้วเห็นท่านั้นของเกาทัณฑ์แล้วยิ้มเย็น ยื่นหน้าถามเสียงอ่อนเสียงหวาน

“คุณพี่คะ… อันนี้คือยั่วเพราะอยากโดนรุมกินโต๊ะมากใช่ไหม?”

“หือ?” เกาทัณฑ์เชิดหน้า ทำตาโตงุนงงสงสัย ถามเสียงสูงทั้งยังคาบมันฝรั่งคาปาก “ผมทำอะไรผิด?”

สองสาวหัวเราะ เมื่อหัวเราะเสร็จเรือนแก้วก็ทำตาคว่ำ ส่งเสียงทวงครึ่งแหวครึ่งกระเง้ากระงอด

“เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ!”

เกาทัณฑ์กลืนมันฝรั่ง วางถุงลง แล้วยอมเล่าดีๆ ไม่ยั่วให้อยากรู้นานเกินงาม

“เราเจอกันครั้งล่าสุดที่ประเทศจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ผมชื่อ ‘หลงซุ่น’ ส่วนแอ้ชื่อ ‘ไฉ่จิน’ ถ้าคิดว่าเป็นฉากละครหนึ่งที่จบไป ก็ต้องบอกว่าตื่นเต้นสนุกสนานดี มีให้ลุ้นตลอดว่าจะรักหรือไม่รัก ชีวิตจะรอดหรือไม่รอด”

“เล่าเก่งนะเนี่ย เริ่มฟังก็อยากติดตามเลย เดี๋ยวคงมีลูกเล่นให้เห็นอีกเยอะ”

แพตรีแซว เพราะชินแล้วกับวิธีอารัมภบทแบบยั่วให้อยากรู้ของเขา ซึ่งเกาทัณฑ์ก็ค้อมศีรษะยิ้มให้ในอาการขอบพระคุณท่านผู้ชม

ฝ่ายเรือนแก้วฟังแล้วรู้สึกเกร็งๆ เพราะจู่ๆเขาก็พูดเต็มปากเต็มคำเกี่ยวกับอดีตรักปางก่อนขึ้นมาต่อหน้าคนรักปัจจุบัน ยิ่งหันไปเห็นแพตรียิ้มในหน้าเป็นปกติ ก็ชักเริ่มผิดสังเกตกับการแวะมาเยี่ยมครั้งนี้ของทั้งสอง

สายตาคมเข้มขึ้นอย่างเริ่มระวังตัว เนื่องจากไม่ทราบว่ามีวาระซ่อนเร้นใดอยู่ในใจของคู่รักตรงหน้ากันแน่

“เดี๋ยวนะ! เพิ่งรู้สึกเหมือนตัวคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบอยู่หยกๆ ทำไมเหมือนจะกลายเป็นมีส่วนร่วมในอดีตกับพวกเธอชอบกล พระเดชพระคุณท่านช่วยเฉลยก่อนเลยได้ไหม ที่บอกต้องลุ้นว่าจะรักหรือไม่รักนี่ แปลตรงๆคือยอมหรือไม่ยอมเป็นนางบำเรอเธอรึเปล่า?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า”

เกาทัณฑ์เอ่ยเสียงทุ้มเอื่อยๆเหมือนแอบกลั้นยิ้มอยู่ข้างใน ซึ่งพอเรือนแก้วสัมผัสได้ จิตใจก็เริ่มวุ่นวายไม่เป็นสุข หายใจไม่ทั่วท้อง

“เป็นเมียน้อยหรือนางรองก็ไม่เอานะ บอกไว้ก่อน ถ้าใช่ก็หยุดเลย ไม่อยากรู้แล้ว”

เธอใช้เสียงจริงจังแบบหมายความตามนั้น

“ชาตินั้นแพไม่ได้อยู่ด้วย” เขาช่วยปลดล็อกให้ตรงๆไม่อ้อมค้อม “แอ้เป็นนางเอกอยู่คนเดียว”

เรือนแก้วผ่อนลมหายใจโล่งอก แต่ก็ไม่วายเหลือบตามาทางแพตรี

“เรื่องพรรค์นี้ เล่าโต้งๆต่อหน้าแพจะดีเหรอ?”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เมื่อใดระลึกชาติแบบพุทธได้ด้วยตัวเอง พี่แอ้จะเข้าใจว่า ฐานะความสัมพันธ์ในแต่ละชาติเหมือนหัวโขนหลอกๆ คุยเล่นๆ เพื่อให้รู้จริงๆได้ค่ะว่า ที่ผ่านมา ที่กำลังเป็นอยู่ และที่กำลังจะเป็นไป ไม่มีใครเป็นอะไรกันจริงหรอก เหมือนสวมบทบาทแบบดารานักแสดงกันแป๊บๆ ละครจบบทบาทก็จบ เจอกันเรื่องใหม่ก็สวมบทใหม่ใส่กันอีก”

เรือนแก้วทำหน้าไม่ถูก

“แล้วเรื่องที่เต้จะเล่านี่ เขาเล่าให้เธอฟังมาก่อนแล้วหรือยัง?”

“ยังค่ะ… รู้แค่คร่าวๆนิดหน่อย แต่ตกลงกันว่าจะมาฟังพร้อมพี่แอ้”

แพตรีเฉลยเพื่อความโปร่งใส

“ทำไมรู้สึกแปลกๆอ่ะ”

“ทุกอย่างมันแปลกตั้งแต่พวกเรายึดว่าชีวิตเป็นของเรา คนรักเป็นของเรา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดมาเจอกันได้อย่างไรแล้วล่ะค่ะ” สิ้นคำนั้น เธอก็หันมาทางชายหนุ่ม “พี่เต้เล่าต่อเถอะ”

เกาทัณฑ์ทำหน้าจ๋องๆเหมือนลูกน้องรับคำสั่งลูกพี่ เล่าต่อว่า

“ตอนเราเจอกันคราวนั้น ผมอายุแค่ ๒๒ แต่มีความรู้ความสามารถทางการแพทย์มาก เพราะครอบครัวเป็นสำนักฝังเข็ม ผมจึงมีโอกาสศึกษามาตั้งแต่ ๗ ขวบ… แล้วด้วยความชอบคิด ชอบดัดแปลง วันหนึ่งก็ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า ‘เข็มทอง’ ขึ้นมา ช่วยให้สารบำบัดแทรกซึมเข้าสู่จุดลึกในเส้นลมปราณได้เร็วขึ้นกว่าการฝังเข็มปกติหลายเท่า”

“ผลดีคือยังไงคะ”

เรือนแก้วสนใจ

“หลงซุ่นใช้โลหะที่เก็บความร้อนได้สูง แล้วก็มีปลายพิเศษ พอจี้ด้วยความร้อนอย่างพอเหมาะ จะเกิดการเหนี่ยวนำธาตุในร่างกายให้เคลื่อนตัวผ่านเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น บรรเทาอาการเจ็บปวดเฉียบพลัน ตลอดจนโรคเรื้อรังหลายๆอย่างได้ทันใจ”

“เป็นนวัตกรรมสำหรับยุคนั้น?”

“ถูกต้อง!”

“ถ้าเอามาทำตอนนี้จะขายดีไหมนี่?”

“ผมเพิ่งระลึกได้ครั้งแรก แล้วก็ไม่ได้มีองค์ความรู้ของหลงซุ่นมาทั้งกระบิ และเอาจริงๆถ้าอยากทำขาย ผมว่าองค์ความรู้ในชาตินี้ ดีกว่าหลงซุ่นหลายพันเท่า คิดใหม่ให้ดีขึ้นดูท่าจะง่ายกว่า”

“แล้วไงคะ นวัตกรรมนี้เป็นเหตุให้ได้ไปเจอกับไฉ่จินหรือ?”

“ในเวลานั้น ไฉ่จินเป็นหญิงงามล่มเมือง… อันนี้ตามสำนวนจีนโบราณนะ คือสวยขนาดทำบ้านเมืองล่มสลายได้ เธอเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วฉางโจวจากการร่ายรำอ่อนช้อย ราวกับเทพธิดาบนลานศักดิ์สิทธิ์ของวัดใหญ่ประจำเมือง คนเห็นแล้วนับถือเลื่อมใส ไม่ใช่เดินสายเร่แสดงแบบเต้นกินรำกิน”

เพียงบรรยายภาพไฉ่จิน สองสาวก็จ้องเขานิ่งเป็นตาเดียว เกาทัณฑ์หัวเราะหึหึ

“สนใจมากเหรอะ? จ้องกันอย่างกะแมวเห็นปลาทู”

เรือนแก้วทำปากจิ๊กจั๊กเบาๆ ส่วนแพตรีเอนหลัง วางมือลงบนเบาะ เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างจะประกาศว่าเลิกสนใจแล้ว

“มาๆ! อย่าหันไปทางอื่น” เขาเรียกดังๆเหมือนแขกขายยา “กลับมาจ้องเป็นเทพธิดาเฝ้าเทพบุตรกันใหม่เร้ว!”

สองสาวอดหัวเราะไม่ได้ แต่ยังเมินเขากันทั้งคู่

“ไฉ่จินสวย อายุน้อย แต่ดันเป็นโรคประหลาด...”

เกาทัณฑ์เล่าต่อ เรือนแก้วปรายตามอง

“โรคอะไร?”

“ยุคเราเรียก ‘มายแอสทีเนีย เกรวิส’ หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากภูมิคุ้มกันล้มเหลว อยู่ๆก็เหนื่อยง่าย มือไม้อ่อนแรง หยิบจับไม่มั่น พูดลำบาก กลืนอาหารยาก แล้วก็เหนื่อยจนหายใจไม่ค่อยทัน สุดท้ายต้องนอนเฉยๆอยู่นานเป็นเดือน บางวันขยับได้ บางวันแทบลุกไม่ไหว เหมือนต้องคำสาป หมอหลายคนฟันธงว่าเด๊ดชัวร์ เพราะไม่รู้จะรักษาอีท่าไหน”

“แต่ในที่สุดก็รอด เพราะมีคนพามาหาเธอ?”

“เยส!” ยืดอกตอบเสียงสูงสำเนียงฝรั่งจ๋าด้วยความภาคภูมิ “ตอนญาติของไฉ่จินแบกเธอมาให้ตรวจ หลงซุ่นวินิจฉัยว่ามีความแปรปรวนของพลังงานในเส้นลมปราณ ร่างกายไม่ตอบสนองต่อแรงกระตุ้นบางอย่างเหมือนปกติ เลยรักษาด้วยเข็มทอง ๔ ครั้ง โดย ๓ ครั้งหลังนี่ อุตส่าห์เดินทางไปเองให้ถึงบ้าน”

“แสดงว่าป่วยก็ยังสวยพอ”

“ประมาณนั้น… หลงซุ่นเก่งขนาดใช้สัมผัสภายใน อาศัยร่างของไฉ่จินเองเป็นสารตั้งต้นในการคิดเทคนิคหลายๆอย่างนอกเหนือจากการฝังเข็ม จนในที่สุดนางเริ่มลุกได้ นั่งได้ แถมกลับมาพูดชัดและมีเรี่ยวแรงร้องเพลงสั้นๆให้ทุกคนฟัง ฟังแล้วน้ำตานองหน้ากันหมด เพราะไม่มีใครคิดว่าเธอจะกลับมาทำอย่างนั้นได้อีก”

“หมอต้องตกหลุมรักคนไข้แน่ๆ”

แพตรีเปรยโดยที่สายตายังมองเพดาน

“ก็น่าจะอย่างนั้น เพราะพอเธอหาย หลงซุ่นก็ขอรางวัลเป็นงานแต่ง”

“อู้ว์! ซินแสดังขอแต่ง ไฉ่จินรีบรับเลยไหมคะ?”

“โน!” เกาทัณฑ์สวนทันควันแบบมีอารมณ์ฝังใจ “นางบอกง่ายๆว่าไม่ขอรับเกียรติ ผู้ต่ำต้อยอย่างนางไม่คู่ควรกับผู้เป็นเซียนวิเศษ”

สองสาวทำหน้าแปลกใจ หันมามองหนุ่มนักเล่าเรื่องเป็นตาเดียวกันอีก

“ไม่น่านะ…” เรือนแก้วหลุดปาก ย่นคิ้วหน่อยๆ แต่พอรู้สึกตัวก็ยืดอก ตั้งหลังตรง “สงสัยตาหมอหลงซุ่นอาจมีท่าทีไม่น่าไว้ใจ จะขอไฉ่จินไปเป็นของสะสมหรือเปล่า?”

“ไฉ่จินปฏิเสธคำขอแต่งงานแบบไม่มีเยื่อใย แต่ขอตอบแทนด้วยการอาสาไปช่วยงานเขา เพราะรู้ว่ารูปโฉมและชื่อเสียงของเธอ จะช่วยให้ชื่อเสียงของเขายิ่งขจรขจายออกไปอีก ซึ่งก็ถูก เพราะเมื่อมีคนร่ำลือว่าเธอเป็นโรคประหลาดแล้วหลงซุ่นรักษาหาย เลยกลายเป็นเกียรติคุณยิ่งใหญ่ ผู้คนแห่มาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อขอให้หลงซุ่นรักษากันมืดฟ้ามัวดิน ไม่เป็นอันได้พัก”

“เข้าท่าค่ะ ดังใหญ่เพราะผู้หญิง” แพตรีว่า “แบบนี้เขาเรียกดวงนารีอุปถัมภ์”

“ฮื้อ!” เกาทัณฑ์ส่งเสียง แสดงความไม่ชอบที่โดนมองว่าได้รับการอุปถัมภ์จากนารี แต่ก็เล่าต่อว่า “ที่แท้แล้ว ไฉ่จินปฏิเสธการขอแต่งงานตอนแรก ก็แค่อยากรู้ให้แน่ว่าหลงซุ่นเป็นคนยังไง เมื่อเธอเป็นลูกมือเขา จึงได้เห็นน้ำใสใจจริงที่จะช่วยมนุษย์ไม่เลือกหน้า ไม่หน้าเลือดค้ากำไรเกินควร วันหนึ่งไฉ่จินจึงพูดออกมาเองว่า เธอยินดีเป็นภรรยาของเขาแล้ว”

“โรแมนติกมาก” แพตรีตบมือเบาๆ “พี่แอ้นี่นางเอกจริงๆ”

เรือนแก้วยิ้มฝืดๆ แต่เนื่องจากกำลังสนุกกับเรื่องราวที่เกาทัณฑ์เล่า รวมทั้งเกิดภาพบางอย่างขึ้นในหัวแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ เลยหันกลับมาถามนักเล่าย้อนยุคว่า

“หน้าร้านหมอหลงซุ่นมีเครื่องราง ประมาณว่าน้ำเต้าทองแขวนคู่กับแผ่นอักษรไม้ อะไรงี้หรือเปล่าคะเต้?”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะ ไม่แปลกใจนักที่เรือนแก้วเห็น เพราะเข้าใจเรื่องการสื่อภาพทางใจดีแล้ว

“ใช่!”

“เอ้า! ถูกด้วย?”

“ระหว่างเล่า ผมนึกภาพชัดไปด้วย นิมิตภาพเลยแพร่ไปตกกระทบใจแอ้ได้”

“โอ๊! แปลว่าใครเล่าเรื่องโดยมีภาพในใจชัด ก็กระตุ้นให้คนฟังเห็นภาพตามได้หมด?”

“ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพเครื่องรับด้วย อย่างกรณีนี้ สายสัมพันธ์ที่เคยมีอยู่จริงระหว่างเรา เป็นสื่อให้ย้อนกลับไปคุ้นอะไรเก่าๆด้วยกันง่ายหน่อย”

“เรื่องจิตเรื่องวิญญาณนี่เหมือนซับซ้อนสุดจะหยั่ง แต่บางทีก็เหมือนตื้นๆอยู่ตรงหน้านี้เองนะ”

“พอเข้าใจจุดสำคัญชัด ก็ไม่ซับซ้อนหรอก ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆไหลมาจากใจทั้งนั้น อย่างในที่นี้ ใจผมเห็นภาพในอดีตชัด แล้วใจแอ้จดจ่อฟังจนเห็นภาพ ก็เลยใจสื่อใจ รับภาพตรงกันได้”

“แบบนี้คือไม่ใช่แอ้ระลึกได้เอง?”

“ไม่ใช่!”

“แล้วไงต่อคะ? แต่งงาน แฮปปี้เอนดิ้ง?”

“แต่งงาน แฮปปี้ แต่ยังไม่เอนดิ้ง! หลังแต่งงาน ชื่อเสียงของหลงซุ่นไปถึงพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ เลยถูกเรียกเข้าวังเพื่อดูฝีมือ ปรากฏว่าหลงซุ่นรักษาโรคบางโรคได้แบบข้ามหน้าข้ามตาหมอหลวงรุ่นใหญ่ แทบต้องเผาคัมภีร์โบราณที่สืบทอดกันมาในราชสำนัก และกลายเป็นหมอหลวงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์”

“ผู้ใหญ่ต้องหมั่นไส้เด็กเมื่อวานซืนที่มาลดค่าตัวเองแน่ๆแหละ”

“อันนั้นก็เรื่องนึง แต่ไม่มีอะไรมาก เพราะไม่มีใครกล้าหือกับพระบรมราชโองการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชหรอก ปัญหาจริงๆมาจากความงามล่มเมืองของไฉ่จินนั่นแหละ”

“อื้อม์ๆๆ! ดิฉันเคยสวยจนมีปัญหา!”

“ในราชพิธีเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ ที่เรียกกันว่า ‘วันอายุยืนหมื่นปี’ ภรรยาของหมอหลวงและขุนนางชั้นสูงถูกเรียกให้ร่วมเข้าเฝ้าในตำหนักฝ่ายใน เพื่อถวายของขวัญ หรือร่วมแสดงการรำถวายพร และเนื่องจากไฉ่จินเคยร่ายรำศักดิ์สิทธิ์บนลานวัดดัง จึงมีการสั่งให้รำถวายเป็นรายการเด่น”

“ซวยล่ะตู”

“ซวยจริงๆแหละ ฮ่องเต้ทอดเนตรทีเดียว ศรรักปักอกอย่างแรง รับสั่งให้เข้าวัง แต่งตั้งเป็นสนมเอก”

“หา! ไหนว่าแต่งงานแล้ว?”

“ยุคนั้นฮ่องเต้คือเจ้าชีวิต ขัดไม่ได้หรอก อะไรแบบนี้เคยมีคนฆ่าตัวตายหลบหนีตำแหน่งด้วย”

“แล้วเต้พาแอ้หนีหรือเปล่า?”

“มันไม่ง่ายเหมือนในหนังนะ ขัดราชโองการนี่ ไม่ใช่แค่ตัวเองโดนประหาร แม้แต่ครอบครัวก็จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย”

“แล้วทำไงอ้ะ ยอมให้เขาเอาเมียตัวเองไปทำมิดีมิร้ายหรือ?”

“ก็ต้องยอมอดทนอยู่หลายเดือน แต่นัดหมายกันไว้แหละ ผมคิดสูตรยาพิษขึ้นมา เป็นพิษอ่อนๆ แต่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ มีไข้เรื้อรัง มีผื่นแดงขึ้นบริเวณแขนขา คล้ายโรคติดต่อร้ายแรงในยุคนั้น”

“คือหลงซุ่นจ่ายยาพิษให้ไฉ่จิน?”

“ใช่! พอไฉ่จินเริ่มมีอาการ ก็บอกให้คนทูลฮ่องเต้ว่า ไม่พร้อมเข้าเฝ้า เพราะเหมือนจะเป็นโรคติดต่อ แถมเมื่อหมอจับชีพจรหรือสัมผัสคอเธอ ก็พลอยเป็นผื่นตามไปด้วย”

“อุ้ย! ถ้าระบาดได้แบบนั้นก็ถือเป็นยาอันตรายสิ?”

“มันเป็นการจัดฉากน่ะ ไฉ่จินไม่ได้เอายาเข้าปากอย่างเดียว เธอยังทาสารสกัดพิเศษที่หลงซุ่นปรุงขึ้นจากพืชตระกูลสุมาลีไว้ที่ข้อมือและลำคอด้วย เป็นตำแหน่งที่หมอจีนมักต้องสัมผัสเพื่อดูชีพจร หรือคลำต่อมน้ำเหลือง เมื่อหมอคนไหนแตะตัวเข้าไป ก็จะเกิดผื่นแดงคัน จึงเข้าใจว่าเธอเป็นโรคติดต่อชนิดแปลก ที่ระบาดผ่านการสัมผัสเพียงแผ่ว ไฉ่จินเลยกลายเป็นคนไข้น่ารังเกียจที่ไม่มีหมอไหนเต็มใจดูแลอีกต่อไป”

“ต๊าย! โหด” เรือนแก้วเบิ่งตาจ้องเขา “ถ้าเกิดลุกลามจะว่ายังไงยะ?”

“มันไม่ใช่ยาพิษชนิดทำลาย แต่เป็นพิษที่หลอกให้ร่างกายคิดว่าตัวเองติดเชื้อ เรียกว่าไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันแบบ ‘อักเสบ’ ซึ่งหลงซุ่นทดลองจนแน่ใจแล้วว่าไม่เกินสองวันก็หาย ไม่ต้องใช้อะไรแก้เลย”

“อ้อ!” เรือนแก้วทำเสียงโล่งอกแทนตัวเองในอดีต “แต่สองวันหาย ไฉ่จินก็กลับมาเป็นปกติน่ะสิ แล้วจะหลอกฮ่องเต้ต่อยังไง?”

“หลอกได้สิ! ไฉ่จินป้อนยาพิษตัวเองทุกสามวัน ตามจังหวะที่หลงซุ่นออกแบบไว้ให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัว ก่อนจะป้อนยาใหม่ ปลุกให้แสดงอาการอักเสบปลอมๆกันใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย คนอื่นจึงเห็นว่าไม่หายขาดเสียที ฮ่องเต้จึงจำใจปลดนางออกจากตำแหน่งสนมเอก ทั้งที่ยังโปรดอยู่ แต่ไม่หน้ามืดพอจะเสี่ยง”

ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน

“พอรับไฉ่จินกลับมาอยู่บ้าน หลงซุ่นก็วางยาพิษตัวเอง เหมือนเป็นโรคติดต่อจากไฉ่จินในฐานะคนใกล้ชิดไปด้วย ทุกคนจึงเห็นไฉ่จินเป็นตัวอันตรายราวกับเป็นต้นไม้มีพิษเดินได้… เมื่อราชสำนักและครอบครัวไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ทั้งสองจึงขอเนรเทศตัวเองเป็นการเสียสละ ซึ่งไม่มีใครห้าม แม้ครอบครัวเสียอกเสียใจ แต่ก็เห็นความจำเป็น”

“รู้สึกเหมือนนกน้อยหลุดจากกรงทองมาเสียได้เนาะ”

“อือ…​ พอไปเป็นแค่หมอรักษาคนในชนบทเล็กๆ ก็ได้อยู่อย่างสงบ พอเริ่มมีอายุหน่อยค่อยกลับมาหาครอบครัว อ้างว่าหลงซุ่นคิดวิธีรักษาได้แล้ว”

แพตรีฟังจบก็ชื่นชมว่า

“ดีนะคะ! พี่เต้ฉลาด แล้วก็ปกป้องเมียตัวเองได้”

เรือนแก้วต้องเหลียวไปมองคนพูดด้วยความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีก จริงๆเธอคุ้นเคยดีกับแวดวงผู้หญิงที่ยิ้มซ่อนมีด แล้วต่อให้เสแสร้งแกล้งทำได้เนียนเพียงใด เธอก็จะสัมผัสได้ไวเสมอ

ทว่าสำหรับแพตรี แม้เพ่งหาพิรุธหรือการซ่อนเร้นอย่างไร ก็เห็นแต่ความเปิดเผย โปร่งแสง ไร้เหลี่ยมมุมปิดบังใดๆ

“เอ่อ… แพจ๊ะ ขอคุยตรงๆให้สบายใจได้ไหม แพมีความในใจหรือเปล่า? ปัจจุบันพี่ไม่ได้มีอะไรกับเต้นะ ส่วนอดีตยิ่งแล้วใหญ่ ฟังแล้วพี่ไม่ได้เกิดอารมณ์หวนอยากไปทึกทักอะไรด้วย”

แพตรีเบนหน้ามาสบตาตรงกับเรือนแก้ว เอื้อนเอ่ยด้วยสำเนียงไพเราะและอ่อนโยน

“อดีตไม่ใช่แค่อดีต แต่มันเป็นตัวกำหนดชะตาในปัจจุบัน และสิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ก็คือเราใช้มันกำหนดอนาคตได้!”

แพตรีพูดออกมาจากจิตที่แปลกไป ฟังแล้วเรือนแก้วขนลุกเกรียว ไม่ใช่เพราะถ้อยคำของฝ่ายนั้น แต่เพราะเธอสัมผัสได้ถึงการตัดสินใจบางอย่างที่เป็นเรื่องใหญ่หลวงเกินกว่าจะทำความเข้าใจ

“ฟังแล้วตะครั่นตะครออ้ะ พี่เพิ่งเข้าวงการ ปรานีน้องใหม่หน่อยได้ไหม จะพูดอะไรก็พูดตรงๆเลย อย่าอ้อมค้อมให้ต้องตีความ”

“พี่เต้มีรากความผูกพันกับพี่แอ้มาลึกและยาวนาน ส่วนของแพจะผ่านๆค่ะ ล่าสุดที่เจอกัน แพเป็นแค่คนใช้ที่ได้รับการเลื่อนขั้นยกระดับขึ้นมาเป็นภรรยา ต่างจากพี่แอ้ที่อยู่ระดับเดียวกับพี่เต้มาตลอด”

เกาทัณฑ์หันไปทางอื่น ขณะที่เรือนแก้วทำหน้าเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ตัวลีบตัวเกร็งอย่างไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังชวนคุยเรื่องอะไรกันแน่ จึงสั่นหน้าหน่อยๆ

“พี่ยังระลึกอะไรไม่ได้ ได้แต่ฟังเหมือนเต้เล่านิทานอ้ะ อย่าถือเป็นจริงเป็นจังอะไรเลยดีกว่าไหม?”

“ไม่ซีเรียสค่ะ แค่วางแผนอนาคตร่วมกันชิวๆ”

“เรื่องอนาคต ค่อยคิดตอนอยู่ในอนาคตแล้วกัน”

“งั้นแพเล่าเรื่องฟังเล่นให้พี่แอ้ฟังอีกเรื่องสั้นๆค่ะ… ก่อนชาตินี้ แพเคยเกิดในจีน อกหักไปบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ครองตัวเป็นแม่ชีทั้งชาติ และสุดท้ายก่อนตาย ได้อธิษฐานขอให้เกิดใหม่ได้พบใครสักคนที่พาไปพบนิพพาน”

“โอ้! อนุโมทนาจ้ะ คำอธิษฐานน่าจะศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”

“คำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลค่ะ แพได้มาอยู่ในความอุปถัมภ์ของปู่ คล้ายเด็กวัดที่มีวาสนาได้อยู่กับพระดีๆ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่รู้ทางพระนิพพานจริง”

“ดีจัง! พี่เพิ่งเข้าใจว่าบุญเก่าทำไว้ดีเป็นอย่างไร เกิดมามีธรรมะป้อนเข้าหัวใจตั้งแต่อยู่ในบ้าน แถมพอถึงเวลาเป็นฝั่งเป็นฝาก็ได้นายเต้มาเติมเต็มเข้าไปอีก”

“เติมเต็มอะไรคะ?” สีหน้าของแพตรีแปรเป็นเย็นชาขึ้นมาดื้อๆ “นิมิตหมายของพี่เต้ตอนเริ่มเข้ามาในชีวิตแพ เหมือนคลื่นลมรบกวนความสงบในชีวิตต่างหาก ทั้งขี้แกล้ง ทั้งชอบทำให้ตกใจทีเผลอด้วยวิธีการต่างๆนานา”

เรือนแก้วเข้าใจว่าแพตรีทำเป็นพูดหยิกเขาขำๆ น่ารักๆ เลยผสมโรง หยอกเย้าต่อแบบกลั้วหัวเราะ

“สไตล์เต้ น่าจะออกแนวให้ความสุขกับแฟนแบบกึ่งทะนุถนอมกึ่งซาดิสต์ไง เร้าใจดีออก”

“งั้นคงไม่เหมาะกับแพจริงๆแหละค่ะ!”

“ฮึ้ย!” เรือนแก้วร้องแล้วยิ้มแหย “หยอกแรงซะขนาด… อย่างนายเต้นี่ ผู้หญิงที่ไหนก็อยากได้กันทั้งนั้น”

“แต่แพไม่อยากค่ะ! แพอยู่ของแพดีๆ มีแต่พี่เต้นี่แหละที่ตื๊อจะเอาให้ได้”

กล่าวอย่างจงใจกระตุ้นให้เกาทัณฑ์ขายหน้าแล้วเกิดความทะนง แล้วแสดงท่าทีลบๆเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบบ้าง ทว่าผลเป็นตรงข้าม เขาแค่ก้มหน้าอย่างเงื่องหงอยด้วยความเสียใจ ซึ่งเมื่อแพตรีเหลือบไปเห็นก็สงสารขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

“แพจำความรัก จำความรู้สึกภักดีในชาติที่เป็นหญิงรับใช้พี่เต้ได้นะคะ” เธอปรับวาจาให้ถนอมน้ำใจกว่าเดิม ทว่าก็ใจแข็ง เดินหน้าต่อให้ถึงเป้าที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว “แต่สิ่งที่แพจำแม่นกว่านั้นคือความรู้สึกอยากลาออกจากเกมชิงรักหักสวาทเสียที!”

“เอ้อ… แหะๆ” เรือนแก้วถามเสียงหนีบ “คืออะไรเนี่ย?”

“ถ้าอยากมีความสุข ทุกคนควรอยู่ในที่ในทางของตัวเอง แพเกิดมาเพราะหวังพ้นไป ส่วนพวกพี่เกิดมาเพื่อสานต่ออะไรดีๆด้วยกันอีก”

“เอ๋อ?” เรือนแก้วทำหน้าเหมือนเด็กปัญญาอ่อน “ข้าน้อยไม่เคยงงเท่านี้มาก่อนเลย”

“พี่แอ้เอาคืนไปเถอะ!” แพตรีประกาศต่อหน้าทั้งสอง รวบรัดให้เข้าใจง่ายถึงที่สุด “คนของพี่ ไม่ใช่ของของแพ ถ้าแพเอามาจะเกิดปัญหาทางใจในระยะยาวด้วยกันทุกฝ่าย!”

เรือนแก้วคอหด เพิ่งเข้าใจอารมณ์ของตนเองชัดเดี๋ยวนั้น เธออกหัก แต่ไม่เคยนึกริษยามาตั้งแต่แรกเห็น ก็เพราะแพตรีไม่เคยอยู่ในลู่แข่งกับใคร มีแต่กระแสพ้นไปจากวงจรแย่งชิง มีความพร้อมสละให้ตั้งแต่ก่อนที่ใครจะร้องขอ

กลัวใจผู้หญิงคนนี้ เพราะใจแบบนี้เธอไม่เคยรู้จัก!