บทที่ ๒๑ พุทธภูมิ


สามวันต่อมา เสียงเคาะประตูห้องพักพิเศษของเรือนแก้วดังขึ้น ตามด้วยเกาทัณฑ์ในชุดผู้ป่วยสีเขียวบังคับรถเข็นไฟฟ้าเข้ามาเยี่ยมเธอ

“เต้!” เรือนแก้วส่งเสียงทัก “มาคนเดียวเหรอ?”

เธอกำลังอยู่กับสกุณาผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มยกมือไหว้มารดาเพื่อน

“ผมมากวนหรือเปล่าครับ?”

“เปล่าค่ะ” สกุณาตอบยิ้มแย้ม “แม่แค่แวะมาเยี่ยมแอ้ และกำลังบอกว่าคืนนี้คงต้องให้พยาบาลเฝ้า เพราะพรุ่งนี้แม่มีธุระแต่เช้า ต้องกลับไปนอนบ้าน”

“ครับ! คุณแม่ไม่ต้องห่วงเลย”

“คุณเต้มาคุยเป็นเพื่อนแอ้ก็ดีแล้ว แม่ขอตัวเลยแล้วกัน”

ว่าแล้วเธอก็คว้ากระเป๋าถือจากโต๊ะเดินหายไปจากห้อง

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างก็หันไปคนละทางอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอ่ยคำใดก่อน

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง แล้วพยาบาลสาวก็ก้าวเข้ามากับโต๊ะเลื่อนวัดความดัน

“ขอวัดความดันกับชีพจรสักครู่นะคะ”

ผู้ป่วยสาวพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แค่รู้สึกว่ามีใครมาคั่นจังหวะความเงียบระหว่างเธอกับเขาหน่อยก็ดี

เมื่อพยาบาลตรวจร่างกายตามหน้าที่เรียบร้อยก็ออกจากห้องไปเงียบๆ เรือนแก้วยังนิ่งเฉย ไม่แม้แต่เหลือบตามาทางเขาสักแวบ

“วันนี้แอ้เป็นไงบ้าง?”

ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“ก็ดีค่ะ… คิดมากนิดหน่อย” เธอตอบ ก้มหน้ามองมือข้างที่เหลืออยู่ของตน และพลิกไปพลิกมาเล่น “น้องแพของเต้เนี่ย พูดอะไรก็ไม่รู้เนอะ ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดเลย”

“นั่นสิ!” เกาทัณฑ์รับลูก แล้วหัวเราะกร่อยๆ “แต่… แพยังไม่ใช่ของผม แล้วก็ไม่ใช่ของใครหรอก เธอเป็นตัวของตัวเองมาก”

“ทำไมสองวันนี้ เต้ไม่มาเยี่ยมแอ้เลยล่ะ?”

“ก็… ต้องคุยกับตำรวจบ้าง สะสางธุระทั้งหลายแหล่กับผู้คนบ้าง แล้วที่สำคัญ ที่เสียเวลาไปเยอะหน่อย คือต้องนอนก่ายหน้าผากคิดมาก”

“ยังคุยกับแพปกติหรือเปล่า?”

“ไม่มาหาผมอีกเลยตั้งแต่วันนั้น”

“ขอโทษนะ…” เรือนแก้วทำหน้าเครียด “ถ้าฉันเป็นต้นเหตุโดยไม่รู้ตัว แต่อันนี้งงจริงๆ นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรให้นาง นางถึงมาแปลกแบบนี้”

“แค่ปรากฏตัวให้เห็น ก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกรู้มาก” เกาทัณฑ์เอ่ยปลงๆ “แอ้ขอแพกอดทีเดียว แพบอกเลยว่าแอ้ไม่ได้กอดเขา แต่กอดผมผ่านเขา เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นอีกแล้ว”

ชายหนุ่มเผยแบบไม่ทันคิดอะไร ทว่าคนฟังเพียงยินถ้อยคำแทงทะลุหัวใจ ก็ก้มหน้าน้ำตารื้นเฉียบพลัน ใช้ฝ่ามือที่เหลืออยู่หนึ่งเดียวปิดปากกลั้นสะอื้น แต่แค่วินาทีต่อมาก็ลดมือลงอย่างรวดเร็ว ทำหน้าตาเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“กล่าวหา!” ทำเสียงเข้มขมวดคิ้ว “ฉันน่ะมีผู้ชายรอกอดอยู่ทั้งโลก ยายแพคงอยากสลัดเธอทิ้งแล้วเอามายัดใส่มือฉันใช่ไหม? ทำเป็นเสียสละเหมือนนางเอก จะให้ฉันเป็นนางรองมารับของทิ้งของขว้างว่างั้นเถอะ อื๋ยยย! ซาบซึ้งตายล่ะ! นึกว่าอยากได้นักเหรอ?”

พอออกแรงปั้นหน้าหยิ่ง เค้นเสียงโกรธพูดๆๆ จนสำลักอารมณ์ฝืน ก็พอดีกับระลอกขมพลุ่งผ่านลำคอขึ้นโจมจับจมูกแน่นเกินต้าน ต้องคายความรู้สึกที่แท้จริง ปล่อยความอ่อนแอให้ทะลักทลายออกมา ร่ำไห้เต็มกำลัง แล้วลากเสียงครางหงิงน่าสงสาร

เกาทัณฑ์ถอนใจเบาๆ บังคับรถเข็นเลื่อนไปเด็ดทิชชูจากกล่องมาสองสามแผ่น แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนข้างขอบเตียง ประจงซับน้ำตาเธอนุ่มนวลอย่างไม่ถือสา

พอได้รับสัมผัสประโลมแล้วอุ่นใจขึ้น เรือนแก้วก็พูดพลางร้องพลาง

“แอ้ไม่อยากเป็นตัวตลกให้ใครสงสาร”

“ไม่มีใครเห็นแอ้เป็นตัวตลกเลย ผมคนหนึ่งนะ ที่ซาบซึ้งพอจะยอมแลกชีวิตกับแอ้ได้!”

แค่ไม่กี่คำ ถึงกับทำให้เรือนแก้วหยุดร้องไห้ เหลือบมองเขาทั้งน้ำตานองหน้า

“ถ้าแค่อยากตอบแทนบุญคุณ บอกเลยนะว่าไม่ต้อง! สถานการณ์บีบให้เราต้องช่วยกันเอาตัวรอด ถ้าเป็นแอ้เดินไม่ไหว ไม่ว่าเต้หรือเชิงที่ยังดีๆ ก็ต้องหาทางช่วยสุดชีวิตเหมือนๆกัน”

“ผมรักแอ้นะ…” เขาทอดสายตามองเธอนิ่งๆด้วยแววอ่อนโยนขณะเอ่ย “หลังพ้นจากตึกออกมาได้ ตอนหมดแรงลงนอนข้างๆกัน ผมได้แต่คิดว่า ถ้าทุกอย่างต้องจบลงแค่นั้นก็ช่างเถอะ แค่ได้นอนตายกับแอ้ก็พอ”

หัวใจของเรือนแก้วเต้นแรง น้ำตาระลอกใหม่ไหลออกมาอีก เธอเอียงร่างมาทางเขาหน่อยหนึ่ง ซึ่งเกาทัณฑ์ก็รู้หน้าที่ เขยิบตัวขึ้นนั่งบนขอบเตียง แล้วโอบกอดหญิงสาวอย่างทะนุถนอม หญิงสาวปิดตาเอียงหน้าซบไหล่เขานิ่ง รู้สึกพบที่พักพิงที่ใช่

ชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่ก่อนเอ่ยต่อ

“ระหว่างหนี แอ้ไม่ยอมทิ้งผมไว้คนเดียว และกรีดเสียงเด็ดเดี่ยวให้พวกเราไปเกิดใหม่ด้วยกัน ตอนนั้นผมแค่อ่อนอกอ่อนใจ คิดว่าทำไมต้องสูญเสียชีวิตเพิ่มไปเปล่าๆ ทั้งๆที่หายไปแค่คนเดียวก็ได้”

“อือ…”

“แต่ระหว่างที่แอ้พาผมลงบันไดมาด้วยชีวิตทั้งหมดของแอ้ ผมเกิดความคิดใหม่… ถ้ารอดได้ ไม่ต้องตายทรมานไปด้วยกันตอนนี้ ก็อยากตายดีไปกับแอ้ตอนแก่”

เรือนแก้วเงียบเสียงสะอื้น รู้สึกถึงความหยุดนิ่งในห้วงเวลาแห่งความเข้ากันสนิททางจิตวิญญาณ เป็นนานกว่าที่เธอจะเผยบ้าง

“วันแรกที่รู้จักกัน แอ้รู้สึกว่าโลกนี้เตรียมที่ไว้ให้เราพบกัน เหมือนฉากฉากหนึ่งที่ถูกออกแบบไว้ก่อน”

“ผมก็รู้สึกว่าเจอกับคนที่เข้ากันได้ที่สุดในชีวิต”

“แล้วทำไมไม่จีบ?”

“เราทำงานที่เดียวกัน แล้วผมก็สวมหัวโขนคุมสาขา แต่แอ้ก็เห็นว่าผมไม่เคยวางฟอร์มเจ้านาย ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีกับแอ้มาตลอด”

“อย่าเลย! เพราะไปเจอแพมาก่อนใช่ไหมล่ะ?”

เกาทัณฑ์ไม่ตอบ เพราะไม่อยากโกหก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากบอกความจริงว่าเขาเจอแพตรีทีหลัง จึงเสชวนว่า

“ไปดาดฟ้ากันไหม?”

“ขอบคุณที่ชวนค่ะ อุดอู้อยู่แต่ในห้อง เบื่อจนจะขาดใจแล้ว”

เรือนแก้วผละจากอ้อมกอดเขา แล้วทำท่าจะกดเรียกพยาบาล

“ไม่ต้อง!” เกาทัณฑ์ห้าม “เดี๋ยวแอ้ใช้รถเข็นไฟฟ้าของผม ผมเดินเอง ลิฟต์อยู่ใกล้นิดเดียว แค่เลี้ยวหัวมุมไปไม่กี่ก้าวก็ถึง”

“หมอไม่ว่าเหรอ?”

“ครบสัปดาห์ หมอสนับสนุนให้เดินวันละนิดกันปอดแฟบด้วยซ้ำ”

ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสองก็มาอยู่บนดาดฟ้าชั้น ๑๕ ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างขวางเกือบ ๓๐๐ ตารางเมตร ตรงกลางเป็นพื้นไม้เทียมสีเข้มว่างเป็นลานโล่ง ล้อมรอบด้วยแปลงไม้พุ่มอย่างต้นโมก ต้นเข็มญี่ปุ่น ต้นจันทน์ผา และต้นไม้ฟอกอากาศอื่นๆ ที่จัดไว้เป็นกลุ่มๆอย่างมีระเบียบ

ทั้งดาดฟ้าไร้ผู้คน ไร้ยุงรบกวน มีเพียงสายลมอ่อนๆ ที่พัดกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนเข้าจมูก มีไฟขนาดเล็กติดเรียงตามทางเดิน ส่องแสงน้อยแบบตั้งใจไม่ให้รบกวนทัศนียภาพเบื้องบน ท้องฟ้าในคืนใสไร้เมฆฝนจึงปรากฏจุดสว่างของกลุ่มดาวนายพราน เห็นได้ถนัดตา

ริมรั้วซึ่งทำด้วยกระจก มีชุดม้านั่งหินขัดทรงโค้ง วางตัวเป็นจุดๆใต้ร่มกันแดดหกแฉก ที่มุมหนึ่งมีเสากล้องดูดาวแบบติดตั้งถาวร พร้อมป้ายอธิบายดาวเคราะห์หลัก ๕ ดวง โดยรวมเป็นสวนหย่อมบนหลังคา ที่เปิดประสบการณ์ยามราตรีได้สุดละมุนแห่งหนึ่ง

เรือนแก้วบังคับรถเข็นมาจอดใกล้รั้วกระจก แหงนมองหมู่ดาวไกลโพ้น

“รอดตายมาได้ เห็นดาวกับฟ้ากว้างแล้วรู้สึกต่างจากเมื่อก่อนแฮะ”

“รู้สึกยังไง?”

“รู้สึกว่า ถ้าแอ้ตายแล้วเกิดใหม่ ท้องฟ้าเดิมก็จะยังรอคอยให้เห็นความสวยอยู่อย่างนี้”

“ก็จริง…” ชายหนุ่มรับเอื่อยๆ “กว่าการเคลื่อนที่เชิงมุมของดาวฤกษ์จะเปลี่ยน ‘เข็มขัดนายพราน’ ไปอย่างชัดเจน จนไม่ดูเป็นเข็มขัดอย่างที่แอ้กำลังเห็น ก็ต้องใช้เวลาร่วมแสนปี”

หญิงสาวทำตาปรือยิ้มใส

“แปลว่าเห็นแบบนี้ได้อีกเป็นพันชาติเลย…” แล้วเธอก็ถามเหม่อๆว่า “ตอนเป็นไฉ่จิน ฉันสวยกว่านี้ไหม?”

เกาทัณฑ์ค่อยๆหย่อนตัวลงบนม้านั่งหินเคียงเธอ หันหน้าไปทางเดียวกัน

“ชาตินั้นออกแนวขาวสว่าง ไม่เหมือนผิวสีน้ำผึ้งอย่างในชาตินี้ ชาตินั้นสวยคมแบบดาราที่มีออร่าฉาย ปรากฏตัวกลางลานวัดแล้วเป็นศูนย์กลางสายตาทุกคู่ได้ทันที ส่วนชาตินี้…”

เสียงเขาแผ่วหายไปเหมือนครุ่นคิดหาคำเหมาะ จนเธอต้องเร่ง

“ส่วนชาตินี้ยังไง?”

“สวยพอจะยืนแจกใบปลิวในห้างได้เกลี้ยง ไม่มีผู้ชายคนไหนทำเป็นเมินเดินผ่านไป”

“อนาถนัก!” เรือนแก้วร้องเสียงสูงกลั้วหัวเราะ “จากงามล่มเมือง ตกชั้นลงมาเหลือแค่สวยแจกใบปลิว!”

“ล้อเล่นน่า… ชาตินี้สวยคมแบบผู้หญิงฉลาด เหมาะจะตรึงความสนใจคนในห้องประชุมได้ด้วยคุณสมบัติหลายอย่างรวมกัน… เอาเป็นว่าสวยพอกันแหละ เพียงแต่ขนาดนี้ในสมัยนั้น คือสวยระดับล่มเมืองแล้ว”

หญิงสาวหัวเราะเอื่อยเฉื่อย

“แล้วแพในชาตินี้นี่ ระดับล่มสวรรค์เลยไหม?”

เกาทัณฑ์ทำหน้าเมื่อยอยู่ในเงามืด แต่ก็เข้าใจดีว่าธรรมชาติของผู้หญิงชอบเปรียบเทียบเหมือนกันหมด

“สำหรับคนระลึกชาติได้ ถ้าจะเปรียบ เปรียบตัวเองชาตินี้กับชาติก่อนเพื่อวัดบุญตัวเองดีกว่า”

“ของแพเป็นไง?”

“สองชาติก่อนเธอเป็นยิปซีเร่ร่อน ชื่อนาธีรา หน้าตาน่าเมิน แต่พูดจาน่าฟัง ชาติถัดมาเธอเป็นแม่ชีเหลียนซิ่น หน้าตาดูดีมีปัญญา ซึ่งก็เป็นผลมาจากชาติยิปซีที่ชอบพูดอะไรให้คนได้คิด ส่วนชาตินี้ก็อย่างที่เห็น สวยตรึงสายตา จากมรดกความดีที่แม่ชีเหลียนซิ่นรักษาศีลสัตย์ไว้สะอาดงดงาม”

“ฉันเคยนึกนะว่า ถ้าภพชาติมีจริง ใครสวยยังไง ก็ต้องสวยอย่างนั้นไปเรื่อยๆ”

“อย่าว่าแต่ข้ามชาติเลย แค่ชาติเดียวนี่ มีเยอะที่เปลี่ยนจากนางฟ้าเป็นนางยักษ์ขมูขีนะ เป็นไปตามกรรม และเป็นไปตามกิน”

หญิงสาวอมยิ้ม

“เป็นผู้หญิงนี่ ขี้อิจฉาเรื่องรูปโฉมกันทุกชาติเลยไหม? รู้ตัวนะ บางทีก็รำคาญตัวเองเหมือนกัน แต่ชาตินี้ที่ผ่านมาฉันเป็นฝ่ายโดนอิจฉา เพิ่งต้องมาเป็นฝ่ายอิจฉาก็ตอนเจอแพนี่แหละ ออร่าโหดมาก ฆ่าตายหมด ไม่ปรานีเพศเดียวกันเลย”

“นั่นต้องแลกมาด้วยราคาของการเป็นแม่ชี ที่แสนดีลึกลงไปถึงระดับความคิดได้ตลอดชีพ คนส่วนใหญ่ทำกันไม่ค่อยได้ ก็เลยยากที่จะเห็นใครสวยขนาดนั้นกัน”

“แล้วที่ไฉ่จินงามล่มเมือง ก็เพราะชาติก่อนหน้านั้นเคยเป็นแม่ชีดีๆเหมือนเหลียนซิ่นเหรอ?”

“ไม่ใช่!” เกาทัณฑ์ส่ายหน้า “ไฉ่จินงามล่มเมือง เพราะชาติก่อนอุทิศฝีมือเชิงศิลป์ให้กับวัด”

เรือนแก้วตาโต พอเริ่มมีชาติใหม่ให้ได้ยินก็ตื่นเต้น

“เล่าเลยค่ะ อยากฟัง!”

“ก่อนหน้าหลงซุ่นกับไฉ่จิน เป็นชาติที่เราเคยอยู่ด้วยกันในญี่ปุ่น สมัยนั้นเป็นยุคเอโดะของท่านโชกุนโตกุกาวะ ซึ่งเจริญทั้งวัด วัง และศิลปะแห่งความเรียบง่ายลุ่มลึกแบบเซน ผู้หญิงสามารถอุทิศตนให้สถานศักดิ์สิทธิ์ ดูแลวิหารเงียบๆ จัดดอกไม้ด้วยวิถีอิเคบานะ ซึ่งไม่ใช่เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่เพื่อบ่มเพาะจิตให้นิ่ง สงบ และงดงามจากภายใน”

“ตอนนั้นฉันชื่ออะไร?”

“ฮานะ อูเมโนะ… เป็นลูกขุนนาง เลยมีนามสกุลด้วย”

“สวยหรือเปล่า?”

“ห่วงอยู่แค่นั้นแหละ” ชายหนุ่มหัวเราะอนาถใจ “สวยแบบจิ้มลิ้มเรียบร้อย แต่ออร่าจะฉายหน่อย ผมจำได้ว่าอากาศรอบตัวฮานะดูสว่าง สงบงาม”

“งั้นก็คล้ายๆแม่ชีเนาะ สูสีกับเหลียนซิ่น”

“ก็ไม่เชิง เพราะนางเป็นพวกอารมณ์สวิงแรง พอจัดดอกไม้จะสงบงามเหมือนนางในแดนสุขาวดี แต่พอโกรธขึ้นมาก็หน้าตาเอาเรื่องเหมือนนางเสือในป่าดิบ… คือฮานะเป็นผู้หญิงที่ชอบนอกกรอบ ฉีกขนบ แอบศึกษาศิลปะการต่อสู้แบบเซนและนินจาด้วย ซึ่งยุคนั้นถือว่าเสียกิริยา เอาความศักดิ์สิทธิ์ของหน้าที่ไปทำให้เสื่อม”

“แล้วตอนนั้นเต้คือใคร?”

“ตอนนั้นผมชื่อ ไอเซ็น ไม่มีนามสกุล เป็นชาวเมืองธรรมดาที่ไต่เต้าจากศูนย์ขึ้นมาเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย เพราะค้นพบกรรมวิธีเหนือชั้นในการแปรรูปโสม โดยใช้ไอน้ำกลั่นจากสมุนไพรหอมในห้องปิด อบโสมให้หอมหวานละมุนไม่เหม็นเขียว กับทั้งรักษาสารสำคัญไว้ครบถ้วนไม่ขาดตก เลยเป็นโสมศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นสินค้าล้ำค่าราคาแพงขึ้นมา”

“บรรยายสรรพคุณซะอยากกินเลยค่ะเนี่ย”

“พอพวกเศรษฐีกินกันมากๆ พวกขุนนางก็กินบ้าง พอพวกขุนนางกินกันมากๆ ในที่สุดก็ไปถึงพระเนตรพระกรรณของท่านโชกุน กลายเป็นสินค้าผูกขาดในที่สุด”

“แล้วเรามาอยู่ด้วยกันได้ยังไง?”

“ตอนที่พบกัน ไอเซ็นอายุ ๔๐ แล้ว แต่ฮานะยังไม่ถึง ๒๐ พ่อของฮานะเป็นซามูไรระดับรอง ตัดใจยกลูกสาวให้ไอเซ็น ซึ่งเป็นพ่อค้า อยู่คนละวรรณะ เพราะหนี้สินรุมเร้า ทีแรกผมก็แค่หมายจะแต่งงานเพื่อยกระดับฐานะตัวเอง หวังได้ใช้นามสกุลของฝ่ายหญิง แต่ต่อมาก็กลายเป็นรักฮานะมาก”

“อายุ ๔๐ น่าจะมีเมียแล้ว?”

“ก็มีแหละ แต่เพิ่งตาย พอตายก็มีบรรดาพ่อแม่เรียงคิวมาแย่งกันเสนอลูกสาวเอ๊าะๆกันเป็นแถว ซึ่งก็มีสกุลขุนนางซามูไรเป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

“ฮานะน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับลูกๆของไอเซ็นเลยสิ? เป็นเนื้อคู่กันทำไมอายุต่างกันมากนักล่ะ?”

“หน้าที่ของบุพเพสันนิวาสไม่ได้จัดให้เนื้อคู่สมวัย แต่จัดให้มีความสมดุล”

“ห่างกันตั้ง ๒๐ ปีเนี่ยนะสมดุล? ไม่ป๋าขาไปหน่อยเหรอ?”

“กินโสมคุณภาพสูงทุกวัน สาวอายุน้อยเหล่ตลอดชีวิตนะ! สมัยก่อนก็คล้ายสมัยนี้ ถ้าดูดีมีระดับ ยังแข็งแรง เต็มไปด้วยกำลังวังชาแล้วร่ำรวยคับเมืองนี่ ไม่เคยมีใครรังเกียจหรือมองเป็นตาแก่หรอก ประเคนลูกสาวให้เป็นสาวรับใช้บ้าง เป็นอีหนูบ้าง ปกติเลย”

หญิงสาวเบือนหน้าหนีสายลมเย็นที่ผ่านมาระลอกหนึ่ง

“แล้วมีเรื่องน่าตื่นเต้นให้ผจญภัยกันเหมือนตอนหลงซุ่นกับไฉ่จินไหม?”

“ความน่าตื่นเต้น มาจากความไม่พอใจของฮานะนั่นแหละ นางรู้สึกเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี ที่พ่อเอาลูกสาวมาแลกสินสอด ถึงแม้จะแต่งงานมีพิธี มีเกียรติก็เถอะ”

“ธรรมดา ผู้หญิงนอกกรอบ นอกขนบ แล้วโดนบังคับแต่งนี่ ไม่มีใครอยากเสแสร้งแกล้งยิ้มพอใจหรอก จะให้กตัญญูรู้คุณแค่ไหนก็ตาม”

“มันยิ่งกว่านั้น ฮานะมีคนรักอยู่แล้ว!”

“อุ้!”

หญิงสาวอุทานหนักๆ

“ยุคเอโดะ ครอบครัวที่มีฐานะดี สามีภรรยามักนอนแยกห้องกัน ซึ่งแค่ไม่นานหลังแต่งงาน นางก็ทิ้งจดหมายไว้บนที่นอน ความว่า ‘หนึ่งเดือนแห่งการชดใช้ค่าสินสอดให้แก่ท่าน จากนี้ข้าขอไปตามทาง’ แล้วนางก็ออกจากห้องไป”

“ใจร้ายนิ”

“แต่ที่นางนึกไม่ถึง คือสามีของนางสังเกตอาการนางมาตลอด และสืบรู้เรื่องของนางมาได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว คืนที่นางคิดปีนรั้วหนีไปเงียบๆ ก็พูดจามีพิรุธหลายอย่าง เป็นต้นว่า ซาบซึ้งบุญคุณที่ช่วยพ่อของนาง แต่แววตาเศร้าสร้อยสับสน คืนนั้นไอเซ็นจึงมาดักยืนรอที่หลังบ้านอย่างเดาใจถูก”

“โดนจับลงโทษล่ะสิ?”

“เปล่า…” เกาทัณฑ์ยิ้ม “ไอเซ็นยื่นห่อผ้าให้ แล้วบอกนางด้วยน้ำเสียงปรานีว่า ขอให้นำทองคำนี้ไปเป็นทุนรอน เริ่มชีวิตใหม่กับคนรักที่รอเจ้าอยู่เถิด”

“โอ๋ย…” เรือนแก้วจุกอก น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอขอบเฉียบพลัน “พ่อพระ”

แล้วเธอก็หัวเราะปนร้องไห้หน่อยๆ เพราะกำลังอ่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่แค่อึดใจเดียวก็ปรับอารมณ์ได้ และกล่าวด้วยเสียงปกติ

“นางรับห่อทอง ปีนรั้วหนีไปตามความตั้งใจเดิม แต่แค่ไม่นาน รุ่งเช้าก็กลับมาด้วยน้ำตานองหน้า ลงคุกเข่าขอขมาไอเซ็น ถูกไหม?”

“อ๊ะ! ชักเก่งแฮะ เดาใจตัวเองแต่ปางก่อนได้แล้วหรือนี่?”

“ไม่รู้สิ อะไรๆดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในใจ แล้วเหมือนมีเงาภาพเรื่องราวผุดขึ้นรางๆน่ะ ถือว่าเดาถูกแล้วกัน... ฮานะทำไปเพราะใจมุ่งมั่นอยู่กับสัญญาที่ให้ไว้กับแฟนเก่า แต่พอเอาเข้าจริง ก้าวขาออกจากบ้านไม่เท่าไร ก็มืออ่อนเท้าอ่อน รู้ใจตัวเองว่าหลงรักท่านพ่อค้าใจพระเข้าให้แล้ว”

เกาทัณฑ์หัวเราะพอใจ

“ใช่เลย!”

“จะว่าไป ๔๐ ก็ไม่ได้แก่มากนะ ทีแรกฮานะแสดงท่าว่ารังเกียจหรือ?”

“ความรู้สึกของเด็กอายุ ๒๐ ที่ยังไม่รู้ว่าสามีคราวพ่อจะดีร้ายแค่ไหน อย่างไรก็คงไม่อยากอยู่ด้วยหรอก ตอนฮานะมองลูกๆของไอเซ็นที่วัยไล่เลี่ยกัน หน้าตานางหมดอาลัยตายอยาก อยากตายไปพ้นๆ”

ถึงตรงนั้น เรือนแก้วกล้าถามตรงๆ

“แล้วที่แอ้รู้สึกมีความผูกพันกับเต้เหนียวแน่นมาก เกิดจากการที่เคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมามากใช่ไหม?”

“ความผูกพัน ความเข้ากันได้ เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์หลายมิติ อย่างชาตินี้ ทั้งคิด ทั้งพูด ทั้งทำ อยู่ในทิศทางเกื้อกูลผู้คนในวงกว้าง หรือแม้แต่ความพัวพันทางกายใกล้ชิดในช่วงนาทีเป็นนาทีตายสั้นๆ ที่เราเพิ่งช่วยกันเอาตัวรอดมา ก็เป็นสายใยที่เหนียวแน่นยิ่งกว่ามีเซ็กส์ทั้งชาติแล้ว”

“อุ้ย!” หญิงสาวสะดุ้งหน่อยๆ “เปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนโจ๋งครึ่มจนหนูเขินเลยค่ะพี่”

ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันเบาๆ

“คู่เรา ในอดีตก็มีสายใยชนิดถึงเลือดถึงเนื้อกันมามาก เท่าที่ผมระลึกได้ นับว่าเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีร่วมกันมาตลอด”

“เป็นคู่แท้ที่สร้างขึ้นจากสถานการณ์?”

“อย่างนั้น! คู่ชายหญิงโดยมากเอาแต่เรียกร้องขอความสุขจากอีกฝ่าย แล้วพอเป็นสุข ก็ชอบเปลี่ยนสุขให้เป็นทุกข์ เปลี่ยนทุกข์น้อยให้เป็นทุกข์มาก ส่วนใหญ่เลยเป็นได้แค่คู่เวร โอกาสเจอใครที่ใจเดียวกัน ร่วมสร้างเรื่องดีๆจนกลายเป็นคู่บุญในสังสารวัฏนี้ จึงมีอยู่น้อยเท่าน้อย”

หญิงสาวยิ้มสดชื่นอยู่ในเงาสลัว เงาคู่ที่อยู่เคียงแล้วเสมอกันเหมาะเจาะ ปรากฏแจ่มชัดต่อใจ และเมื่อใจตรงกัน คุยกันได้ทุกเรื่องแบบไม่ปิดบังซ่อนเร้น ก็บังเกิดความแน่นอนอย่างหนึ่ง ให้ความรู้สึกถึงพลังยิ่งใหญ่ พร้อมบุกน้ำลุยไฟถึงไหนถึงกัน

“เอาจริงๆพอฟังเต้เล่า แต่ละชีวิตก็น่าสนุกดี นี่ชักรู้สึกขึ้นมานะว่า ร่างนี้แค่ร่างละครตัวหนึ่ง ชาตินี้แขนขาดก็แค่ฉากเหตุการณ์ในละครเรื่องหนึ่ง ดูเป็นจริงเป็นจังแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวฉากนี้ก็จบแล้วเปลี่ยนใหม่ ล้างความจำให้ลุ้นอะไรๆกันใหม่อีก”

“อือ… ในภพชาติมนุษย์ ถ้าเราสร้างเส้นทางชะตาชนิดร่วมทุกข์ร่วมสุขไว้กับใครสักคน ให้มีความแน่นอนที่จะเจอกันอีก แน่นอนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันอีก ก็เหมือนลงเรือสำราญ เพื่อผจญภัยแบบไร้วันเบื่อไปด้วยกัน”

“ลงเรือลำเดียวกัน...” เธอทวนคำเขา แล้วอดกังขาไม่ได้ “เพื่อไปให้ถึงฝั่งแบบไหนคะ?”

“แต่ละภพแต่ละชาติ เหมือนเกาะเล็กเกาะน้อยที่เราอาศัยอยู่ไม่ได้จริง มีกำหนดระยะเวลาให้ขึ้นฝั่งไปทำความรู้จักกัน แบบคนแปลกหน้าที่เหมือนมาพบกันด้วยเหตุการณ์ประจวบเหมาะ ต้องหาทางแก้ปัญหาและเอาตัวรอดบนเกาะไปด้วยกัน หมดเวลาก็ลงเรือลำใหม่ โดนล้างความจำกันใหม่ เพื่อไปสนุกกับการทำความรู้จักกันใหม่บนเกาะใหม่ ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยในส่วนลึก ที่กระตุ้นให้เต็มใจดูแลเกื้อกูลกันใหม่ ทบไปทบมาซ้ำๆ จนกว่าจะลุถึงฝั่งสุดท้าย”

เรือนแก้วเหลียวมาเอียงหน้ามองเขา

“ฝั่งสุดท้าย?”

“ขึ้นบกถาวร ไม่ต้องกลับมาลงเรือซ้ำอีก ซึ่งก็คือการบรรลุอรหัตตผล เข้าถึงฝั่งพระนิพพาน”

เหมือนเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเข้าใจเป้าหมายของความเป็นพุทธขึ้นมารำไร

“เรือของเธอ เหมือนจะไม่ได้มีแต่ฉันใช่ไหม? อันนี้ไม่ได้แขวะเรื่องสาวๆอื่นใดที่ไหนนะ แอ้แค่รู้สึกว่าเต้ทำงานใหญ่ บนฐานเจตนาช่วยคนในวงกว้าง ด้วยดวงเกิดแบบผู้มาก่อนกาล ล้ำยุคล้ำสมัยไปทุกภพทุกชาติ ฉันเลยรู้สึกเหมือนเธอเป็นกัปตันที่ตั้งใจสร้างเรือให้ใหญ่ เอาไว้ขนคนขึ้นฝั่งสุดท้ายไปด้วยกันมากกว่าลำอื่นๆ”

เกาทัณฑ์เหลียวมาสานสบกับคนรัก แสงบางๆจับใบหน้าเขา

“แอ้เป็นคนที่เห็นภาพทางใจได้ชัดดี ถูกแล้ว! บนทางยาวที่ต้องรอนแรมกลางทะเลไปไกลๆ ผมไม่อยากเป็นแค่ผู้โดยสารบนเรือ แต่กำลังอยู่ในเกมเก็บแต้มสร้างเรือใหญ่ พาใครต่อใครขึ้นฝั่งสุดท้ายไปด้วยกันจริงๆ”

“หมายความว่า เธอ…”

“ปรารถนาพุทธภูมิ! หวังสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในกาลข้างหน้า เมื่อถึงชาติสุดท้ายที่บำเพ็ญบารมีเต็ม!”

ด้วยอานุภาพลึกลับที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าความเห็นแก่ตัวแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ทำให้เรือนแก้วขนลุกซู่ คล้ายสัมผัสว่าร่างของเกาทัณฑ์สูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

คำตอบของเขาหนักแน่นอาจหาญ เยี่ยงคนกล้าพูดว่าตนต้องการสร้างโลกใหม่กับมือ ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในสายตาคนอื่น และนั่นก็ดึงดูดเรือนแก้วให้คล้อยตาม เธอเพิ่งผ่านการบุกน้ำลุยไฟมากับเขา แล้วตอนนี้ก็อยากบุกน้ำลุยไฟไปกับเขาต่อ!

แม้เหลือมือข้างเดียว เรือนแก้วก็ยกตั้งครึ่งพนมด้วยใจเต็มดวง สายตาเล็งหมู่ดาว ดุจจะประกาศชัดถ้อยชัดคำต่อเทวาเบื้องบน

“ข้าไม่กลัวการรอนแรมบนทางไกล ขอตั้งสัตย์อธิษฐานติดตามเขาผู้นี้ไปทุกหนทุกแห่ง จนกว่าจะลุถึงฝั่งสุดท้ายไปด้วยกัน!”