หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศความเป็นไท แพตรีใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันขลุกอยู่ในเรือนภาวนาตามลำพัง มีความสุขยิ่งกว่าที่เคยมีมาทั้งชีวิต
ตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่น เคยโหยหาความรัก บัดนี้ได้ซาบซึ้งแล้วว่ารสแสนหวานแสนละไม ด่ำดื่มประมาณไหน ตามที่ใครๆฝันหากัน
ลิ้มแล้ว… อิ่มแล้ว… พอแล้ว…
ทว่าตั้งแต่ชาติก่อน เคยปรารถนาความพ้นไป จนป่านนี้ยังไม่สมหวัง ยังไม่ซาบซึ้งถึงจิตว่า รสแห่งวิมุตติที่พระอรหันต์ทั้งหลายสรรเสริญตรงกันว่า เยี่ยมกว่ารสทั้งปวง เป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อยตอนนี้ ความขัดแย้งหายไปจากใจ เมื่อใจเธอแน่วแน่ที่จะทิ้งความอาลัย หันมาปรารถนาความสะอาดบริสุทธิ์แห่งจิตเด็ดขาดแล้ว
เธอเกิดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เวลา ๐๕:๑๕ น. ตรงกับวันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม
ดาวเกตุเด่น สะท้อนความไม่ติดหลง ใฝ่สันโดษ ปรารถนาการออกจากโลกีย์ด้วยความสมัครใจ กับทั้งการภาวนาถูกกันกับรุ่งสาง ก่อนแดดออกคือช่วงเวลาเสริมส่ง หรือเป็นทางลัดให้กับการภาวนา
ดาวพุธและราหูมีตำแหน่งและองศาที่ชี้ว่า จำต้องผ่านอารมณ์รักเพื่อปลดล็อกจิต พูดง่ายๆคือไม่ได้เกิดมาเพื่อหนีรัก แต่รู้จักรักจนวางได้ หลังจากเห็นเป็นมายาทางจิต
การอธิษฐานในวาระสุดท้ายของแม่ชีเหลียนซิ่น ให้ฤกษ์เกิดนี้กับเธอมา และนั่นก็คือวิบากกรรมแบบที่คำนวณได้จากรหัสบนฟ้า
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เธอได้รหัสบนฟ้าดีๆมาจากใจในช่วงก่อนตายชาติก่อน
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เธอได้ความรู้สึกสะอาดเกลี้ยงเกลา เบาว่อง จากใจที่คิดสละออกอยู่ในปัจจุบัน
รู้ชัดในบัดนั้นว่า การปฏิบัติธรรมภาวนาที่แท้จริงไม่ได้เริ่มด้วยคำบริกรรม ไม่ใช่เริ่มจากการกำหนดอารมณ์สมาธิ แต่ตั้งหลักจากใจที่พร้อมสละออก
บัดนี้ ราวกับวิญญาณของแม่ชีหวนกลับมาอาศัยอยู่ในร่างสาวน้อยคนปัจจุบัน คล้ายแม่ชีหลับไปชั่วคราว ก่อนลืมตาขึ้นมาในสภาพใหม่ ด้วยความสดชื่นตื่นเต็ม เพื่อสานงานสำคัญต่อให้จบๆ
โยคาวจรสาวขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งที่ออกแบบมาให้ยกท้ายดันหลังตรง ลดแรงกดทับ และช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย ลดความเมื่อยล้าในระยะยาว
เธอวางมือทั้งสองข้างอย่างผ่อนคลายบนเข่า ฝ่ามือหงายขึ้น นิ้วชี้และนิ้วโป้งจรดกัน ซึ่งทางการแพทย์ยืนยันว่าการจัดมือในลักษณะนี้กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้ร่างกายผ่อนคลายได้จริง
ไหล่ของเธอเปิดอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยกสูง ไม่ทิ้งลู่ลง ช่วยลดความตึงเครียดบริเวณบ่า ลำคอตั้งตรงเสมอกับแนวกระดูกสันหลัง ไม่เกร็ง ช่วยเปิดทางเดินลมหายใจให้สะดวก ซึ่งเป็นฐานสำคัญยิ่งในการเจริญสมาธิแบบ ‘อานาปานสติ’ ที่ต้องอาศัยลมหายใจเป็นหลัก
ตรงนั้นเองที่แพตรีเริ่มตรวจการเดินมรรคอันมีองค์ ๘ ประการ ตามที่เธอได้รับการสั่งสอนมา
องค์ ๑ — สัมมาทิฏฐิ
หมายถึงการมีความเข้าใจที่ถูก ยกจิตให้เข้าทิศเข้าทางอันจะนำไปสู่การรู้แจ้งแทงธรรม
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ เธอมีใจเบา รู้สึกถึงสภาพกายในรูปนั่ง ทั้งหัว ตัว แขน ขา ทั่วตลอด ด้วยการตั้งมุมมองว่า รูปนั่งนี้ลากลมเข้า รูปนั่งนี้ลากลมออก หาได้มีเธอเป็นผู้หายใจเข้า หาได้มีเธอเป็นผู้หายใจออก เพื่อยกจิตเข้าสู่ทิศทางแห่งการตื่นจากการหลับใหล เลิกลุ่มหลงว่า กายใจนี้เป็นของเธอ มีเธออยู่ในกายใจนี้
องค์ ๒ — สัมมาสังกัปปะ
หมายถึงการคิดสละออก ได้แก่ ดำริออกจากกาม ดำริออกจากวงจรพยาบาท และดำริที่จะเลิกเบียดเบียนใครแม้ด้วยใจ
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ เมื่อมีความคิดเกี่ยวกับเกาทัณฑ์และเรือนแก้ว ก็สลัดทิ้งได้ง่าย เพราะฐานใหญ่ของใจไม่เอาอยู่แล้วตั้งแต่ต้น นั่นจึงเป็นวาระที่แพตรีเข้าใจชัดว่า การดำริออกจากกามสำคัญขนาดไหนกับการเดินมรรค
องค์ ๓ — สัมมาวาจา
หมายถึงการมีวาจาเป็นกุศล ได้แก่ ไม่โกหกให้จิตบิดเบี้ยว ไม่พูดหยาบคายให้จิตสกปรก ไม่ยุแยงตะแคงรั่วให้จิตต่ำช้า และไม่พูดเพ้อเจ้อไร้สาระให้จิตซัดส่ายกระจายมั่ว
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ แม้เธอไม่ได้เปิดปากพูด แต่จิตก็กำลังเสวยผลของการพูดแต่อะไรที่ดีต่อใจคนฟังมาตลอด ทว่าขณะหนึ่ง เมื่อระลึกได้ว่าสัปดาห์ก่อนเธอพูดทำร้ายจิตใจเกาทัณฑ์ไว้เล็กน้อย เห็นเขาเป็นเบี้ยล่างทางความรัก และหวังผลักไสให้ใจเขาออกห่าง ยามนี้ก็บังเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกมัวหมอง จึงไหว้ขอโทษเขาด้วยใจ ตลอดจนคิดจะไม่ประทุษร้ายเขาด้วยวาจาอีก จิตจึงกลับผ่องแผ้วได้
องค์ ๔ — สัมมากัมมันตะ
หมายถึงการกระทำทางกายในทางไม่เบียดเบียน ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ให้จิตโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ลักทรัพย์ให้จิตมืดบอดคิดเอาแต่ได้ ไม่ประพฤติผิดในกามให้จิตแปดเปื้อนโสมม
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ แม้เธอไม่ได้ขยับมือไม้ แต่จิตก็กำลังเสวยผลของการทำตัวเป็นเขตปลอดภัยให้กับสิ่งมีชีวิตไม่เลือกหน้า จึงมีความอ่อนโยนเป็นสุข เห็นทุกสิ่งตรงตามจริงด้วยจิตที่ตรง ไร้ความบิดเบี้ยว
องค์ ๕ — สัมมาอาชีวะ
หมายถึงการเลี้ยงชีพอยู่ในครรลองคลองธรรมที่เหมาะที่ควร ได้แก่ ไม่เอาเปรียบ ไม่ทำนาบนหลังคน ไม่อยู่บนวิถีทางเอาชีวิตรอดด้วยการทำให้ชีวิตอื่นต้องตกระกำลำบาก
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ แม้เธอไม่ได้สอนเด็ก แต่จิตก็กำลังเสวยผลจากอาชีพ ‘ให้อนาคตกับคน’ กล่าวคือ มีสติสัมปชัญญะครบ คิดอ่านทะลุปรุโปร่งไปทุกเรื่อง สอนตัวเองได้ เตือนตัวเองได้
องค์ ๖ — สัมมาวายามะ
หมายถึงการเพียรทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน ได้แก่ ละอกุศลที่เกิดแล้ว และที่ยังไม่เกิดขึ้น เพิ่มกุศลที่เกิดแล้ว และที่ยังไม่เกิดขึ้น เทียบได้กับเศรษฐีผู้ไม่ลดละที่จะสะสมเงินทองให้มากขึ้น และลดภาระค่าใช้จ่ายให้น้อยลง
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ ยิ่งเพียรขับไล่ความมืดด้วยความสว่างได้มากขึ้นเท่าไร แนวโน้มความไวของสติและความทรงตัวเป็นสมาธิ ก็ยิ่งทวีตัวขึ้นเท่านั้น
องค์ ๗ — สัมมาสติ
หมายถึงการมีสติระลึกได้เสมอๆว่า นี่ไม่ใช่เรา นั่นก็ไม่ใช่เรา ทั้งรูปกายในอิริยาบถปัจจุบัน ทั้งความรู้สึกสุขทุกข์อันเป็นไปในกายนี้ ทั้งสภาพจิตที่สงบหรือซัดส่าย ทั้งความนึกคิดต่างๆนานา
อย่างเช่น ณ ขณะนี้ เมื่อใจสบายและกายเปิดจากองค์มรรคข้อก่อนๆ ไม่เคลิ้มง่วงเข้ามา ไม่ฟุ้งซ่านออกไป กับทั้งไม่ปล่อยเหม่อ ไม่เคร่งเครียด ทรงไว้แต่สติรู้ที่พอดี แพตรีก็ไล่ลำดับ ‘อานาปานสติ’ ไปเป็นขั้นๆ
ยกขึ้นหมวดกาย
ลำดับที่ ๑
รู้สึกตัวในการหายใจออก
รู้สึกตัวในการหายใจเข้า
การ ‘รู้สึกตัว’ ก็คือความรู้สึกถึงกายที่นั่งอยู่ ไม่ใช่จ่อใจจี้เข้าไปที่ลมหายใจ ดังที่เกิดขึ้นกับผู้เริ่มภาวนาเป็นส่วนใหญ่
อยู่ในหมวดกาย
ลำดับที่ ๒
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น
เมื่อรู้สึกว่างออกมาจากกลางอก ราวกับเป็นจอว่างที่มีความเสถียร รองรับภาพนิมิตลมหายใจได้คงเส้นคงวา จิตก็ไม่หนีไปไหน แนบกับลมหายใจ รู้ว่ายาวหรือสั้นได้ตลอด เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเทียบกับนายช่างกลึงผู้รู้จังหวะว่า ควรชักเชือกกลึงยาวหรือควรชักเชือกกลึงสั้นให้เหมาะกับงานเป็นครั้งๆ
อยู่ในหมวดกาย
ลำดับที่ ๓
รู้กายทั่วๆ หายใจออก
รู้กายทั่วๆ หายใจเข้า
เมื่อความรู้สึกว่างจากกลางอกเด่นขึ้น หัว ตัว แขน ขา ในอิริยาบถนั่งจึงปรากฏต่อการรับรู้ได้ง่ายๆ โดยไม่มีการจี้เข้าไปรู้ที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง กายจึงปรากฏต่อการรับรู้โดยความเป็น ‘รูปนั่ง’ ไม่ใช่ ‘เรานั่ง’ กับทั้งเหมือนเครื่องจักรที่สูบลมเข้าแล้วระบายลมทิ้ง มากกว่าจะมีตัวฉันผู้หายใจ
อยู่ในหมวดกาย
ลำดับที่ ๔
มีกายสงบระงับไม่กวัดแกว่ง หายใจออก
มีกายสงบระงับไม่กวัดแกว่ง หายใจเข้า
เมื่อทั้งร่างว่างเบา ดุจตุ๊กตาแก้วโปร่งแสงที่ตั้งนิ่งให้ดูเฉยๆว่า มีการทำงานเอง ลากลมเข้าและระบายลมออกเอง เป็นจังหวะอัตโนมัติ จึงให้ความรู้สึกเหมือนเหลือแต่กายเปล่าๆ ลมหายใจแสดงความเคลื่อนไหวเปล่าๆ
ยกขึ้นหมวดเวทนา
ลำดับที่ ๑
รู้ปีติ หายใจออก
รู้ปีติ หายใจเข้า
เมื่อกายใจว่างเบาเสถียร เข้าขั้นให้ความรู้สึกวิเวก กับทั้ง ‘ฐานของรู้’ มีความแน่นอนสูง จึงมีความชื่นบานปรากฏเด่น และเมื่อเอาความชื่นบานนั้นเป็นหลักตั้งในการรู้ลมเข้าออก ก็ยิ่งขยายผลให้ปีติยิ่งกว้างใหญ่และยั่งยืนขึ้นเรื่อยๆ
อยู่ในหมวดเวทนา
ลำดับที่ ๒
รู้สุข หายใจออก
รู้สุข หายใจเข้า
เมื่อจิตสงบระงับไม่กวัดแกว่ง การไร้ความกระเพื่อมไหวนั่นเอง คือรสสุขในตัวเอง เหมือนกลางอกเปิดออกเป็นลานกว้าง ได้นิยามใหม่ทางความสุขที่เป็นอิสระจากกาย อยู่เหนือสุขทางกายเป็นคนละเรื่อง
อยู่ในหมวดเวทนา
ลำดับที่ ๓
รู้ความนึกคิด หายใจออก
รู้ความนึกคิด หายใจเข้า
เมื่อปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก กลายเป็นเครื่องรักษาจิตมิให้ซัดส่าย และก่อให้เกิดความรู้สึกว่างนิ่ง เปิดเผยจากกลางอก ความคิดในหัวย่อมปรากฏแยกออกมาชัด เห็นเป็นรูปคลื่นที่ปรากฏเป็นห้วงๆ ทราบด้วยจิตทั้งดวงว่า ความคิดเกิดเมื่อใด หายไปตอนไหน
อยู่ในหมวดเวทนา
ลำดับที่ ๔
ระงับความนึกคิด หายใจออก
ระงับความนึกคิด หายใจเข้า
เมื่อระลอกความคิดทั้งหลายปรากฏโดยความเป็นคลื่นลมผ่านมาแล้วผ่านไปไร้ราคา ปีติสุขย่อมเด่นกว่า และในที่สุดจิตอันผ่องแผ้วย่อมทรงอยู่ได้เสถียร ระดับไร้ร่องรอยความคิด แม้ความคิดเกิด ก็เกิดเพียงแผ่วแสนแผ่ว เมื่อความคิดล่วงลับดับหาย ก็เว้นวรรคห่างหายเนิ่นนาน ยืดยาว
ยกขึ้นหมวดจิต
ลำดับที่ ๑
รู้ที่จิต หายใจออก
รู้ที่จิต หายใจเข้า
เมื่อมีสติทราบว่า ที่กำลังรู้อยู่ทั้งหมดนั้น คือจิต ก็ทราบด้วยว่าจิตเป็นธรรมชาติที่รู้สิ่งอื่น เช่น ลมหายใจ ขณะเดียวกันก็รู้ตัวเองควบคู่ไปด้วยได้ เห็นทั้งสองเป็นธรรมชาติที่แยกจากกันเด็ดขาด ลมหายใจเป็นฝั่งรูป จิตเป็นฝั่งนาม
อยู่ในหมวดจิต
ลำดับที่ ๒
จิตเบิกบานยิ่ง หายใจออก
จิตเบิกบานยิ่ง หายใจเข้า
เมื่อจิตรับรู้สภาพตัวเองถนัด ทรงตัวเด่นดวงนานไป ย่อมรู้สึกถึงพลังแรงสูง ดุจการแผดแสงแรงกล้าของดวงอาทิตย์
อยู่ในหมวดจิต
ลำดับที่ ๓
จิตปักหลักตั้งมั่น หายใจออก
จิตปักหลักตั้งมั่น หายใจเข้า
เมื่อจิตมีกำลังสูง ย่อมรู้สึกว่าตัวเองแปรไปเป็นมวลรู้ขนาดใหญ่ ทรงพลังรวมดวง ดุจหลุมขาวที่พอกพูนความหนักแน่นถึงขีดแห่งการลงถึงฐาน จึงปักหลักตั้งมั่น เป็นปึกแผ่น ไม่คลอนแคลน
อยู่ในหมวดจิต
ลำดับที่ ๔
เปลื้องจิตจากความหลง หายใจออก
เปลื้องจิตจากความหลง หายใจเข้า
เมื่อไร้มโนภาพตัวตน กับทั้งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวบันดาลสติ จิตจึงเห็นตัวเองเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ใช่บุคคล และไม่ใช่อะไรที่ปรากฏอยู่ได้ตามลำพัง ดังเช่นที่ถ้าไม่มีลมหายใจ ก็จะไม่มีเครื่องตรึงให้นิ่งจนเกิด ‘ดวงสมาธิจิต’ ขึ้นมาได้ ฉะนั้น จึงได้ข้อสรุปว่า ‘ความเป็นฉันก้อนหนึ่ง’ ที่เป็นต่างหากจากสิ่งอื่นๆนั้นไม่มี มีแต่อะไรอย่างหนึ่ง ต้องอิงอาศัยอะไรอีกอย่าง เกิดด้วยกัน ดับด้วยกันเสมอ
ยกขึ้นหมวดธรรม
ลำดับที่ ๑
เห็นความไม่เที่ยง หายใจออก
เห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า
เมื่อจิตเปิดเผย รู้ตื่น เบ่งบาน ย่อมรับรู้ทุกสิ่งได้ตรงตามจริง ลมหายใจปรวนแปรก็รู้ว่าสิ่งนี้ปรวนแปร กายนี้มีความพองออกแล้วยุบเข้าตามจังหวะลมหายใจ ก็ย่อมเห็นว่ากายหยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหวไม่ได้ และจิตเองขยายใหญ่ขึ้นได้ ก็กลับหดตัวลงได้ สรุปแล้ว ทั้งลม ทั้งกาย ทั้งจิต หาอะไรคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้เลย เห็นสิ่งใด คือเห็นเพื่อได้ความรู้สึกชัดว่าไม่เที่ยงไปทั้งนั้น
อยู่ในหมวดธรรม
ลำดับที่ ๒
คลายความยินดี หายใจออก
คลายความยินดี หายใจเข้า
เมื่อรู้เห็นอย่างสืบเนื่องว่า รูปนี้ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง จิตเองก็ไม่เที่ยง นั่นเองจึงเป็นเหตุให้คลายความยินดี หลุดจากความหมายมั่นว่า มีตัวตนที่เที่ยงทน น่าเอา น่าหวง
อยู่ในหมวดธรรม
ลำดับที่ ๓
เห็นความดับทุกข์ หายใจออก
เห็นความดับทุกข์ หายใจเข้า
เมื่อคลายความยินดีในสิ่งใด จิตย่อมเพิกจากสิ่งนั้น แล้วพลิกไปรู้สิ่งอื่น ซึ่งในที่นี้ เมื่อแหนงหน่ายคลายความยินดีจากรูปนาม จิตย่อมโน้มน้อมไปหาความดับจากรูปนาม ซึ่งทางพุทธเรียกว่า ‘นิโรธ’
อยู่ในหมวดธรรม
ลำดับที่ ๔
สละคืน หายใจออก
สละคืน หายใจเข้า
เมื่อโน้มน้อมไปหาความดับรูป ดับนามอันเป็นทุกข์ จิตย่อมมีกิริยาอาการในทางสละคืน สลัดความอาลัยยึดติดยินดีจริง แบบปล่อยหมด ปล่อยสุด กระทั่งไม่เหลือความสำคัญว่ามีตัวตนอยู่ในร่าง อยู่ในลม อยู่ในสุข อยู่ในจิตไหน บังเกิดความกลวงว่าง สว่างโพลงจากกลางอก แสงปัญญาเปิดสว่างกระจ่างแจ้งยิ่ง
องค์ ๘ — สัมมาสมาธิ
หมายถึงการมีจิตที่ผ่องแผ้ว ปักหลักตั้งมั่น ตั้งฐานรู้ โน้มเอียงจะเข้าถึงความแนบแน่นในระดับปฐมฌานขึ้นไป สมาธิเช่นนี้เองที่มีความคู่ควรจะเป็นแว่นส่องพระนิพพานได้
เมื่อสว่างโพลงถึงจุดหนึ่ง จิตก็ตกภวังค์สั้น ความรับรู้ทั้งมวลดับลงชั่วคราว ก่อนยกขึ้นสู่การรับรู้ใหม่ เหมือนยกจากใต้น้ำขึ้นบก เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง ไร้เวลา ไร้ความเคลื่อนไหวอื่นใดนอกเหนือจากสายลมหายใจที่แสนประณีต แสนสุขุม
จิตรวมดวงเป็นสมาธิชั้นสูงอยู่ได้เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนเสื่อมลง ถอยมาเป็นสมาธิชั้นรอง ที่ประกอบด้วยความรู้ลม แนบลม ประกอบด้วยปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก
ที่ตรงนั้น เมื่อจิตรับรู้รูปนั่ง ก็เกิดการมองมาจากอีกมุม เหมือนมองมาจากคนละจักรวาล หรือมองมาจากความเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่เกิดการจดจำแบบเดิมๆว่านี่ตัวฉัน ร่างกายของฉันมีรูปทรงงดงามหอมหวนยวนใจ
จิตจับที่ความเป็นสองขาในท่าขัดสมาธิก่อน จากเดิมรู้สึกถึงขาสองขาว่า เป็นส่วนประกอบของมนุษย์ เป็นอวัยวะหนึ่งของตน มีความเป็นปลีขางดงาม น่าหวง น่าชื่นชม บัดนี้ปรากฏต่อความรู้สึกเหมือนสองง่ามที่งอกออกมาจากสัตว์ประหลาด มีความวิกลวิการ ใต้ผิวขาวคือก้อนเลือดก้อนเนื้อแดง มีกระดูกขาวเป็นแกน เห็นกระจะว่าน่าเกลียดน่ากลัว
จากนั้น สมาธิจิตก็แปรตัวเป็นแว่นส่องความจริงไปทั้งร่าง เป็นทั้งร่างในอิริยาบถตามปกติ ที่ปรากฏเป็นนิมิตซากศพไร้วิญญาณ ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่รู้แจ้งออกมาจากตาใน
นิมิตผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถูกปอกแบะออก เผยมันสมอง เผยตับไตไส้พุง เผยกระเพาะในช่วงตีห้า ที่ยังปราศจากอาหารใหม่ ไส้ตรงอันเป็นส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ มีอาหารเก่าเป็นก้อนนิ่ม สีน้ำตาลทอง ผิวเรียบคล้ายกล้วยหอมอยู่ที่นั่น
มันเป็นความจริงเกี่ยวกับกาย ที่ภายในช่างสกปรก ส่งกลิ่นเหม็นเน่า น่าพรั่นพรึง ไม่ได้หอมหวานสะอาดสะอ้านดังที่ปรากฏภายนอกเอาเสียเลย
ฉับพลัน นิมิตร่างร้ายอุจาดตา ก็ถล่มลงมากองพูน กลายเป็นซากกระดูก ซากเลือดเนื้อ กองอุจจาระปัสสาวะ ไม่สามารถจดจำว่าเคยเป็นบุคคลหน้าตาอย่างไร เพศไหนแน่ เป็นได้อย่างมากก็แค่กองขยะน่าขยะแขยงกองหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเป็นภาษาจิต ถอดความได้ประมาณว่า ‘ทิ้งไปเถอะ!’ หรือ ‘อย่าได้เอามาสวมจิตอีกเลย!’
แต่จิตก็ยังทรงอุเบกขา ในการรับรู้ ดูภาพและกลิ่นอันร้ายกาจตรงหน้าเฉยๆ แบบเดียวกับดู ‘ความจริง’ ที่เกิดกับศพอื่นแสดงนิมิตการย่อยสลาย ดังที่ต้องเกิดเป็นธรรมดากับทุกร่างมนุษย์หลังตาย
ธาตุลมหายไปก่อนเพื่อน แรงดันในโพรงปอดลดลงสู่ระดับเดียวกับบรรยากาศ กล้ามเนื้อกระบังลมคลายตัวถาวร
ธาตุไฟหายตาม กลไกผลิตความร้อนในระดับเซลล์สิ้นสุด ซากเนื้อทั้งหมดเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จนเสมอกับอุณหภูมิแวดล้อม
ธาตุน้ำเหือดหาย เนื้อเยื่ออ่อนสูญเสียน้ำจากการระเหย เหลือเพียงคราบและรอยเปื้อน
ธาตุดินหายหลังสุด กล้ามเนื้อเปื่อยยุ่ย เส้นเอ็นแห้งกรัง ฟันและกระดูกถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ไปหมดสิ้น
เมื่อดิน น้ำ ไฟ ลม หายเกลี้ยง จึงเหลือแต่ดวงรู้ที่ไร้ร่างอาศัย รู้นั้นเด่นดวงยิ่ง ไร้ที่อยู่ยิ่ง สว่างกระจ่างแจ้งดุจแสงอาทิตย์ยิ่ง หมดสิ้นเปลือกหุ้มห่อยิ่ง
ครู่หนึ่ง ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็กลับก่อตัวขึ้นเป็นรูปหญิงให้ดูใหม่ ให้รู้ชัดว่า เดิมทีกายแบบนี้ รูปร่างหน้าตาแบบนี้ มิได้มีอยู่ แต่อิงอาศัยองค์ประกอบต่างๆ รวมร่างขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์ กระตุ้นให้จำได้ว่านี่คือ แพตรี วิมุตติมารา เกิดมามีอายุบนโลกมนุษย์แล้ว ๒๑ ปี
บังเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ความเป็นแพตรีไม่ได้มีอยู่อย่างที่คิด ร่างนี้ไม่ใช่ของเธอ กับทั้งไม่ใช่ของชายใด กายนี้เป็นที่ตั้งของความสุขความทุกข์ กายนี้ถูกสร้างขึ้นจากกรรมเก่าอันประกอบด้วยเจตนาดีร้ายนานา
ฉับพลัน จิตก็รวมลงเป็นดวงรู้อย่างใหญ่ จิตนั้นรู้ว่าตนอาศัยอยู่ในรูปหญิงอายุ ๒๑ รูปหญิงนั้นนั่งอยู่ในเรือนภาวนา
จากนั้นก็ไล่ลำดับนิมิต ย้อนไปเป็นรูปหญิงอายุ ๒๐, ๑๙, ๑๘ เรื่อยไปจนถึงรูปหญิงอายุ ๑ ขวบ มีสิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ต่างๆนานา ตรงตามอายุต่างๆประกอบพร้อม ราวกับกลับไปสวมร่างเดิมที่ช่วงอายุนั้นๆ
เธอเคยย้อนอดีตมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สภาวะของจิตใหญ่มาก เสถียรมาก กลายเป็นรู้อีกแบบหนึ่ง ที่มีกำลัง กว้างขวาง คมชัด เรื่องราวไหลมาเทมาเร็วรี่ ไม่ใช่มาทีละภาพเป็นห้วงๆแบบขาดตอนดังเคย
คล้ายจิตกลายเป็นอะไรอีกอย่าง อาจเทียบได้กับเอไอความเร็วสูง ที่ดูคลิปวิดีโอความยาว ๑ ชั่วโมงได้ภายใน ๑ นาทีแล้วรู้เรื่องทั้งหมด สรุปเนื้อหาได้ครบหมด
ย้อนไปถึงช่วงแรกคลอด ย้อนเข้าท้องช่วงเป็นทารกใกล้คลอด ย้อนไปเป็นหยดน้ำใสไร้หัว ตัว แขน ขา จากนั้นเกิดแสงแรกก่อนเข้าท้อง ระลึกได้ถึงร่างเทพธิดาชั้นยามาผู้มีใจสงบ อยู่ในดินแดนผาสุก เสพปีติอันเกิดจากศรัทธา บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยเสียงสวดมนต์อันเป็นทิพย์
จากนั้น เป็นร่างของแม่ชีเหลียนซิ่น ก่อนสิ้นชีวิตมีจิตผ่องแผ้ว ปรารถนาได้พบผู้พาไปหามรรคผลนิพพาน แล้วทราบว่าที่การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผล ก็เพราะก่อนหน้านั้น มีจิตผ่องแผ้วครองพรหมจรรย์ด้วยความสะอาดกายสะอาดใจอยู่หลายสิบปี และก่อนหน้าได้ครองพรหมจรรย์ ก็เคยเป็นหญิงอกหัก ก่อนเป็นหญิงอกหัก ได้เกิดในประเทศจีนกับครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนในปีพ.ศ. ๒๔๒๔
ก่อนหน้ามาเกิดในจีน เป็นวิญญาณบุญน้อย รอเกิดอยู่นับปี
ก่อนหน้านั้น เป็นร่างของนาธีรา ซึ่งตายอย่างเศร้าหมองจากเหตุการณ์จลาจล ก่อนตายจากเหตุการณ์จลาจล เป็นหญิงม่ายเพราะสามีจากไปในสงครามแบบไร้ข่าวคราว และก่อนหน้าได้กับสามี เธอคือยิปซีเร่ร่อนไร้นามสกุล แม้ชื่อก็ต้องเปลี่ยนหลายครั้งด้วยหลายเหตุผล เกิดที่ไหน ปีอะไรก็ไม่ทราบ
กระบวนการถอยทวีอัตราความเร็วพรวดพราดยิ่งขึ้นไปอีก คล้ายยกระดับจากเอไอบนคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง เป็นเอไอที่ทำงานด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ดูคลิปวิดีโอความยาว ๑ ชั่วโมงรู้เรื่องภายในวินาทีเดียว ทว่ารายละเอียดกลับครบชัดกว่าที่เคย เช่น ชื่อ นามสกุลของตนและตัวละครอื่นๆ เกิดเรื่องราวใดขึ้นในชีวิต เกิดข้อความสนทนาใดกับใคร ใครทำอะไรกับตน ตนทำอะไรกับใคร บางชาติก็มีข้อมูลอย่างวันเวลาเกิดและตายตามปฏิทินของยุคสมัยนั้นๆด้วย
บางชาติได้เป็นชาย แต่ก็เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่หน้าตาดี ชอบหลอกให้ผู้หญิงมีความหวังแล้วทิ้ง จึงต้องเกิดเป็นหญิงที่ถูกทิ้งขว้างอยู่เรื่อยๆ เมื่อเจอผู้ชายรักจริงก็ตายจากกันเร็วเสียอีก ยังไม่ทันมีความสุขด้วยกันนานสักเท่าใด
ช่วงแห่งการเกิดตายที่ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสทำบุญกับอริยสงฆ์ หรือสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตายแล้วก็ได้ขึ้นไปเป็นเทพยดา
แม้ไม่พบพระพุทธศาสนา แต่ได้อยู่ในสังคมแวดล้อมที่เกื้อกูลกัน ก็มีจิตใจดีงาม ตายแล้วก็ได้ไปดี
แต่บางจังหวะ ที่เป็นช่วงไร้ศาสนา ไร้ผู้นำทางจิตวิญญาณ ไร้สังคมที่เมตตาปรานี ก็มีจิตใจมืดบอด ตายแล้วพลัดหล่นไปเป็นภูตผีปีศาจ อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนสัตว์นรก หลายชั้นภูมิ หลายวงรอบของการเกิดตาย
ชั้นภูมิอันเป็นวงรอบเกิดตายแบบสัตว์นรก ไม่มีทางเลี่ยงอื่น นอกจากก้มหน้าก้มตาใช้หนี้กรรมให้หมด ไม่ว่าต้องถูกแผดเผาทรมานเพียงใด ขาดใจตายแล้วเกิดใหม่ในร่างสัตว์นรกเดิม หรือย้ายไปเป็นสัตว์นรกขุมอื่น
ชั้นภูมิอันเป็นวงรอบของการเกิดตายแบบสัตว์เดรัจฉาน มีช่อง มีโอกาสพัฒนาการขึ้นมาได้บ้าง เช่น เปลี่ยนจากสัตว์ที่มีแต่สัญชาตญาณนักล่าฆ่าไม่เลือก มาเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ แล้วต่อยอดเป็นเมตตา เช่นที่หมาป่าช่วยเลี้ยงลูก คายอาหารป้อนลูก ตลอดจนทำตัวเป็นพยาบาลเฝ้าแผลให้กับสมาชิกฝูงที่แก่หง่อมหรือบาดเจ็บ หมาป่าตัวใดมีจิตติดกระแสเมตตามาถึงวาระสุดท้าย ก็ได้สิทธิ์ยกระดับขึ้นเป็นสัตว์กินพืช และมีแนวโน้มเกื้อกูลสัตว์อื่น เช่น ช้าง กอริลลา ยีราฟ แมวบ้าน สุนัขบ้าน แล้วมีสิทธิ์ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก หลังจากมีเหตุปัจจัยยกระดับจิตสำนึกมากพอ
ส่วนชั้นภูมิอันเป็นวงรอบของการเกิดตายแบบเปรต ที่มักปรากฏในการรับรู้ของมนุษย์ว่าเป็นภูตผีปีศาจ อสุรกายร่างใหญ่ใจร้าย หรือวิญญาณร่างเล็กผอมกะหร่องน่าสงสาร ต่างก็มีความลุ่มๆดอนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ และที่พระพุทธเจ้าทรงยกให้ภพภูมิแบบเปรตเหนือกว่าเดรัจฉาน ก็เพราะมีเปรตบางจำพวกที่ร่างงามดุจเทวดาเป็นบางเวลา บางจำพวกมีฤทธิ์มีอำนาจแสดงตัวให้มนุษย์เห็น บางจำพวกที่มีวาสนาพอก็สามารถโมทนายินดีรับส่วนบุญที่มนุษย์อุทิศให้
เข้าถึงความจริงในสังสารวัฏแบบซึ้งถึงจิต โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องฟังใครมา นั่นคือ ถ้าพลาดก่อบาปหนัก ร่วงหล่นไปอยู่ในอบายภูมิชนิดลึก ไม่มีบุญเก่าฉุดขึ้นที่สูงบ้างเลย ก็ต้องเวียนว่ายอยู่ในวงรอบเกิดตายชั้นต่ำๆ แบบสัตว์นรก แบบเดรัจฉาน แบบเปรต ชนิดฝังลืม
นี่ก็ตรงกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในฉิคคฬสูตรว่า ความเป็นมนุษย์ คือสิ่งที่ได้มาโดยยาก เพราะคนพาลสันดานหยาบ เมื่อพลาดร่วงลงต่ำแล้ว ก็มักจะไม่ใช่ชาติเดียวหนเดียว แต่เทียวไปเทียวมาในอบายภูมินับครั้งไม่ถ้วน เพราะในอบายภูมิไม่มีการประพฤติธรรม ไม่มีการประพฤติชอบ ไม่มีการกระทำกุศล มีแต่การเคี้ยวกินกันและกัน หรือเคี้ยวกินผู้มีกำลังน้อยกว่า
มุมมองจาก ‘กล้องส่องความจริง’ ที่เรียกว่า ‘ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ’ ทำให้จิตเกิดความสลดสังเวชรุนแรง ชีวิตในภพชาติต่างๆถูกตีกรอบให้หลงเขลา แสวงหาแต่ความเหนือกว่าชีวิตอื่น แต่ไม่เคยแสวงหาความหลุดพ้นจากการมีชีวิตที่ต้องเกิดตายให้เป็นทุกข์ฟรี แบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่เอาเลย
นั่นก็เพราะเธอและเพื่อนร่วมสังสารวัฏทั้งหลาย ต่างหลงเข้ามาอยู่ในเกมโหด เกมที่ยอมให้จำได้แค่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนๆลืมหมด จึงไม่มีทางรู้ที่มาที่ไป ไม่มีทางเอะใจอยากศึกษาให้เข้าใจว่า กติกาการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างไร ขณะนี้กำลังเสวยผลจากกรรมเก่าแบบไหน ขณะนี้กำลังก่อกรรมใหม่แบบใดอยู่
สมาธิที่แจ่มใสเข้าขั้นเลื่อนเกรด เห็นย้อนไปหลายพันชาติได้ภายในสองชั่วโมงครั้งนี้ จัดเป็นวิชชา เพราะทำให้ตาสว่าง ลบการฝังใจจำว่าเธอมีตัวตนเป็นชาย เป็นหญิง เป็นเทพยดา เป็นมนุษย์ เป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรกได้เกลี้ยงฉาด
นอกจากนั้นยังเกิดญาณทัศนะ รู้แจ้งเห็นจริงว่า เธอเป็นเพียง ‘กระแสนามรูป’ ที่ไหลต่อเนื่องไม่หยุด กล่าวคือ มีการปรากฏอัตภาพหนึ่งๆชั่วคราวตามกรรมเก่า เมื่อถึงอายุขัย ดับจากอัตภาพนั้นๆ กรรมใหม่ก็ตกแต่งอัตภาพใหม่ขึ้นมาแทนที่ไปเรื่อยๆ ไร้วันจบวันสิ้น
ทราบชัดว่า ทุกชาติมีชาติก่อนเสมอ กล่าวคือ ต้องมีบุญหรือบาปบันดาลให้เกิดอัตภาพน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจเสมอ ไม่ใช่อยู่ๆมี ‘อัตภาพบังเอิญเกิด’ ที่สุ่มสร้างขึ้นจากความบังเอิญ
ดังนั้น ชาติแรกจึงไม่มี!
จิตที่ประกอบด้วยองค์มรรคทั้ง ๘ ได้มาถึงการพิจารณาเงื่อนต้นของสังสารวัฏ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่มีชาติแรก มีแต่อวิชชา ความหลงกล ติดกับดักบ่วงแร้วที่พรานวางล่อไว้
เมื่อจิตเริ่มจับเป้าถูก ก็เห็นภาพรวมของความไม่รู้ในอดีต ที่ยังคงปรากฏเป็นความไม่รู้เดียวกัน ปกคลุมจิตในอัตภาพปัจจุบันอยู่ จึงไล่ย้อนทีละชาติใหม่ช้าๆ ทบทวนความไม่รู้ ณ ขณะขาดใจตายของแต่ละชาติ
ก่อนจิตดับของทุกชาติ ปรากฏความหลงนึกว่ามีตัวตนหนึ่งกำลังจะตาย
แต่ละครั้งที่จะตาย หาได้เอะใจแม้แต่น้อยว่า นอกจากกายเกิด ไม่เคยมีใครเกิด นอกจากจิตดับ ไม่เคยมีใครดับ
กายเป็นทุกข์
ใจเป็นทุกข์
ความสำคัญผิด คิดว่ากายใจเป็นสุข กายใจคือตัวของตนนั่นแหละ คือต้นเงื่อนของมหันตทุกข์ ต้องติดแหง็กอยู่ในวงจรเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ระหว่างประทับอยู่ในกุรุชนบทว่า ด้วยความไม่รู้เงื่อนปมนี้ จึงพากันผูกปมยุ่งเหยิง
และเมื่อเกิดกับความไม่รู้ จึงไม่มีใครประพฤติดีได้ตลอด ท่องเที่ยวเกิดตายไปเรื่อยๆแล้วไม่อาจหนีพ้นอบาย ทุคติ วินิบาตไปได้เลย
ความไม่รู้ ความสำคัญผิดนี้แหละ ที่เรียกว่า ‘อวิชชา’
ตราบใดยังมีอวิชชา ตราบนั้นย่อมมีการรวบรวมกรรมดีไว้เป็นกองบุญ รวบรวมกรรมชั่วไว้เป็นกองบาป
เมื่อจิตจะดับโดยมีอวิชชาหุ้มห่อ จิตนั้นย่อมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองบุญกองบาป ที่ปรากฏเหมือนหลุมขาวหรือหลุมดำ อันเปรียบเหมือนประตูดูดเข้าสู่ภพภูมิสว่างหรือภพภูมิมืด
กองบุญกองบาปนั่นเอง จะเป็นผู้เนรมิตจิตดวงแรกในภพภูมิใหม่ขึ้น อย่างเช่นอัตภาพความเป็นมนุษย์ ก็เริ่มต้นจากที่กองบุญเก่าบันดาลจิตดวงแรกขึ้น ร่วมกับเชื้อพ่อเชื้อแม่ในกระบวนการปฏิสนธิ
การก่อรูปทารกขึ้นในครรภ์มารดา จัดเป็นการมี ‘นามรูป’ ซึ่งหมายถึงว่า ทารกมีทั้งรูปกายแบบมนุษย์ มีทั้งนามอันประกอบด้วยความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนจิตแบบมนุษย์
นับจากนั้น จึงเกิดการเจริญขึ้นเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พร้อมเผชิญโลก พร้อมเกิดสุขทุกข์ พร้อมเกิดความอยากนั่นอยากนี่ เป็นที่มาของอุปาทานว่านี่ฉัน นั่นเธอ รวมแล้วเกิดภพเกิดชาติ ที่มีความตายรออยู่
จิตพิจารณาย้อนเฉพาะ ๓ ชาติสุดท้าย แล้วมาจบลงที่ความเป็นภพชาติของแพตรี วิมุตติมารา
เห็นว่าก่อนหน้านั้น คือเทพธิดาชั้นยามาผู้รู้วาระฤกษ์เหมาะสม ที่จะมาเกิดภายใต้การอุปถัมภ์ของอริยบุคคลผู้รู้ทางพระนิพพาน
เห็นอวิชชา สำคัญว่าตนเป็นเทพธิดา
เห็นนิมิตพ่อแม่ผู้จะเป็นแดนเกิดให้ รู้ล่วงหน้าว่าเป็นคู่ชายหญิงที่กำลังจะถึงฆาตในไม่กี่ปี
เห็นแสงสว่างนำเกิดปรากฏ เสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้เข้าไปจับจองพื้นที่ในครรภ์มารดา
เห็นความสว่างทั่วในครรภ์มารดา โดยความเป็นสถานที่ปลอดภัยใหม่ ที่จะปกป้องชีวิตใหม่ให้เติบโตขึ้นได้
เห็นการเติบโตในครรภ์มารดาตลอด ๙ เดือน
เห็นการร้องอุแว้เยี่ยงทารกผู้เกิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เห็นการถูกเรียกชื่อ ‘น้องแพ’ ให้รู้ตัวเป็นวาระแรกว่า ฉันชื่อนี้ แล้วจิตก็หลงทึกทักนับแต่นั้นว่า ฉันคือแพ แพตรี วิมุตติมารา
เห็นการเติบโตขึ้นมาด้วยข้าวด้วยน้ำเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
เห็นการรู้จักทั้งความสุขและความทุกข์เยี่ยงวิญญูชนผู้หนึ่ง
เห็นวาระโอกาสที่ถูกฝึกให้ระลึกได้ว่าตนเคยเป็นแม่ชีผู้ปรารถนาความหลุดพ้น
เห็นห้วงเวลาแห่งการยักแย่ยักยัน ย้อนแย้ง ขัดแข้งขัดขากันเองระหว่างสมองกับหัวใจ เหงา อยากอยู่เป็นคู่กับใครสักคน งัดข้อกันกับความอยากพ้นไป ซึ่งเป็นมรดกมาจากตัวตนก่อน
เห็นเกาทัณฑ์เข้ามาในชีวิต เห็นความคิดตัวเองแอบส่งไปหาเขาเรื่อยๆตั้งแต่วันแรกที่เจอ ทว่าขณะเดียวกันก็เห็นจิตตนเองหันหลังวิ่งหนีเขาหัวซุกหัวซุน กล่าวคือ ตอนเจอ รำคาญจริง อยากขับไล่ไสส่งจริง แต่ตอนไม่เจอ ก็คิดถึง บางครั้งถึงขั้นถวิลหา
เห็นเรือนแก้วก้าวเข้ามาเป็นตัวแปร เห็นความยินดีปรีดา เห็นความโล่งอกที่พบทางออกให้ตนเป็นอิสระ
เห็นเงาของแม่ชีเหลียนซิ่นอันเป็นต้นกำเนิดของแพตรี จึงครอบงำความยินดีแบบสาวน้อยผู้ยังมียางเหนียวแห่งความอาลัยอาวรณ์ ยินดีในเพศรสเสียได้แบบคู่คี่สูสี
ที่ตรงนั้น เกิดใจสละออกได้ ไม่เอา ไม่เสียดาย เห็นลงมาที่จิตปัจจุบัน รู้กระจ่างว่า อะไรต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นเพียงสมมุติ สุดท้ายเหลือแต่จิตยึดหรือจิตไม่ยึด
เมื่อไม่หลงยึด ก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีบุคคลเกิดมา
แพตรีหายไป ผู้นั่งสมาธิหายไป ความเป็นบุคคลหายไป เหลือแต่จิตที่รู้ตัวว่าถูกหุ้มห่อด้วยเมฆหมอกโมหะ และโมหะถูกปัญญาแผดเผาสลายเกลี้ยง
มรรคสมังคีปรากฏ
จิตรู้สภาพกาย โดยปล่อยให้กายเป็นไป
จิตรู้สุข โดยปล่อยให้สุขไป
จิตรู้จิตเบ่งบาน โดยปล่อยให้จิตเบ่งบานไป
ไม่มีความเป็นใครปรากฏ มีแต่อนัตตาเท่านั้นที่จะหายไป
มีสติ มีการพิจารณาธรรม มีวิริยะ มีปีติ มีความสงบกายสงบใจ มีสมาธิ และมีมหาอุเบกขาครอบงำอุปาทานทั้งปวง
ในห้วงแห่งปรากฏการณ์ สักว่าเหลือแต่กิริยารู้ของจิต ความคิดระลอกหนึ่งปรากฏบางๆ เหมือนเกิดคำถามว่า ‘มีฉันคิดอยู่หรือ?’
ลำดับนั้น เกิดดวงรู้ที่แยกออกไปเป็นใหญ่เหนือความคิด เป็นต่างหากจากความคิด เกิดการเห็นความคิดเป็นเศษเล็กเศษน้อย เป็นของแปลกปลอม เป็นของอื่น ต่างหากจากผู้รู้ และเห็นว่าแม้ผู้รู้ก็ไม่ใช่ใครแจ่มแจ้ง
ฉับพลัน คำตอบที่ไม่ใช่ความคิดก็ผุดโพล่งขึ้น เป็นความเบ่งบานถึงขีดสุดของจิต ประดุจดอกบัวถึงวาระโผล่พ้นน้ำ
กระบวนธรรมเริ่มจากการวูบลงพักตัวนิ่งกลางอกชั่วครู่ แล้วคล้ายเกิดน้ำวนที่นั่นสามรอบ สำนึกดับลงชั่วขณะแบบภวังค์เล็ก ก่อนจิตรวมอย่างใหญ่ถึงฌาน ปรากฏแสงประหารสักกายทิฏฐิผุดโพล่งเจิดจ้าจากกลางอก ธาตุรู้ธาตุธรรมอันเป็นที่สุดฉีกกรงขาด โผล่พ้นไปรู้อีกมิติที่ไร้ขีดจำกัด ไร้การเกิด ไร้การดับ เหมือนเปิดกะลาไปรู้ฟ้าทั้งฟ้ารอบทิศ
ทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตร จากด้านหนึ่งที่เต็มไปด้วยของปลอมอันจำกัด ไปสู่อีกด้านหนึ่งที่เต็มไปด้วยของจริงอันไม่มีประมาณ กระจ่างแจ้งจางปาง ค้างนิ่งในความว่างอย่างอุกฤษฏ์ชั่วครู่ ก่อนสำนึกถูกดึงกลับมาอยู่ในกายเดิม
กายเดิม ให้สัมผัสทางกายแบบเดิมๆ แต่จิตเดิมที่ไม่เคยรู้จักพระนิพพาน ถูกแทนที่ด้วยจิตเบิกบานที่รู้จักพระนิพพานแล้ว
จิตที่รู้จักพระนิพพานนั้น บันดาลรอยยิ้มพิสุทธิ์แห่งความสิ้นกังขา สิ้นความเคลือบแคลงในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ทั้งตานอกและตาในสว่างแจ้ง เพราะสิ้นความงมงายในทางอันไม่ใช่ทางแล้ว
หยั่งทราบและบอกตนเองถูกว่า ภาวะโพล่งขึ้นพบพระนิพพานนั้น คือการบรรลุแจ้งแทงธรรม บังเกิดธรรมาภิสมัยในระดับโสดาปัตติผล!!